ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 60 ดอกไม้ป่าสองต้นที่เบ่งบานเต็มหน้าผา (ตอนต้น)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ก่อนหน้าชิวซานจวิน ม่ออวี่ก็คือผู้ที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวที่อายุน้อยที่สุด แน่นอนว่านางมีคุณสมบัติจะแสดงความดูถูกและเย้ยหยันของตนใส่ผู้ที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียร

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนางแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเฉินฉางเซิงกำลังทำเรื่องเหลวไหล”

นิ้วมือของม่ออวี่ชะงักไป ก็เหมือนกับบุคคลสำคัญจำนวนมาก นางเองก็เคยแอบไปที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าการประลองเหล่านั้นล้วนไม่อยู่ในสายตาของนาง แต่นางต้องยอมรับว่า พรสวรรค์กับความสามารถของเฉินฉางเซิงที่แสดงผ่านกระบี่ในมือของพวกนักเรียนใหม่จากสำนักฝึกหลวงเหล่านั้น ไม่ว่าจะเทียบกับตนในตอนที่อายุเท่ากับเขา หรือแม้กระทั่งตนในตอนนี้ ก็ยังเทียบเขาไม่ได้อยู่บ้าง

นี่เป็นคำถามของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ นางไม่อาจจะโกหกไปได้ จึงกัดริมฝีปากขึ้นเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ข้าพูดถึงถังถังต่างหาก”

“สายตาของทุกคนล้วนมองไปที่เฉินฉางเซิง และคิดว่าถังซานสือลิ่วกำลังทำเรื่องเหลวไหล…หรือว่าเจ้าเองก็คิดเช่นนี้”

ถึงแม้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะรู้ว่านางกำลังพูดไปเรื่อย ก็ยังคงไม่พอใจความคิดของนาง จึงพูดขึ้น “เฉิงอู่กับใต้เท้ามุขนายกทั้งสองใช้เวลาเตรียมการอยู่สามเดือน ไม่รู้ว่ามีแผนการอยู่เท่าไหร่ ซึ่งแสนจะละเอียดรอบคอบ ไม่ว่าพระราชวังหลีจะรับมืออย่างไร พวกเขาก็มีวิธีที่จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา แต่จนถึงวันนี้ เจ้าเคยเห็นพระราชวังหลีแสดงท่าทีออกมาสักครั้งหรือไม่ เคยลงมือสักครั้งหรือเปล่า”

แน่นอนว่าม่ออวี่รู้ถึงเจตนาของตระกูลเทียนไห่กับใต้เท้ามุขนายกแห่งตำหนักทั้งสองคนนั้น

เทียนไห่เฉิงอู่พูดกับสวีซื่อจีว่า เขาอยากจะทำตามโอกาส รอให้สวีโหย่วหรงกลับจิงตูมากำหนดการต่อสู้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความจริง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด

บุคคลสำคัญที่เหมือนกับเขานี้ร่วมมือกับใต้เท้ามุขนายกของตำหนักทั้งสองคน แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะทำอะไรระมัดระวังเช่นนี้

สำนักไม้เลื้อยต่างๆ พากันท้าประลองสำนักฝึกหลวง เป็นเพียงการเริ่มต้นของเรื่องใหญ่โตเท่านั้น

เดิมทีม่ออวี่คิดว่า ใต้เท้าสังฆราชน่าจะกดดันเรื่องนี้ก่อนที่จะระเบิดออกมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่า จนกระทั่งถึงตอนนี้ใต้เท้าสังฆราชก็ยังคงรักษาความเงียบเอาไว้

นี่ทำให้นางคิดไม่ถึงอย่างมาก

ในตอนนี้เมื่อถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยเตือนขึ้นมา นางถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมตั้งแต่ต้นจนจบพระราชวังหลีถึงไม่ได้แสดงท่าที ทำไมตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องของสำนักฝึกหลวงถึงยังจำกัดอยู่เพียงแค่ภายในสำนักฝึกหลวง และไม่เหมือนที่ตระกูลเทียนไห่ไปจนถึงใต้เท้ามุขนายกของตำหนักทั้งสองคนวางแผนเอาไว้ในตอนแรกสุดที่ให้กระทบไปถึงพระราชวังหลีเช่นนั้น และทำให้การประลองระหว่างสำนักไม้เลื้อยเปลี่ยนเป็นการต่อกรกันของกลุ่มอำนาจเก่าและใหม่ของนิกายหลวงอย่างเต็มรูปแบบ

เพราะว่าเหตุผลที่แสนเรียบง่ายข้อหนึ่ง

สำนักฝึกหลวง…ได้จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้ว

เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่ว เดิมทีก็ไม่ต้องการให้พระราชวังหลีแสดงท่าที ไม่ต้องการให้ใต้เท้าสังฆราชพูดอะไร ก็จัดการเรื่องนี้เสียเรียบร้อยอย่างงดงามแล้ว

ตระกูลเทียนไห่กับใต้เท้ามุขนายกของตำหนักทั้งสองคนนั้น ในตอนแรกที่ตัดสินใจจะผลักดันเรื่องนี้ คาดว่าจะต้องคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน เรื่องที่เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในสายตาของพวกเขา ก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มสองคนนี้ ทำให้ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปเป็นตลอดกาลไปแล้ว

เรื่องใหญ่โตเรื่องนั้นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ก็ดูเหมือนว่าจะเดินต่อไปไม่ได้แล้ว

“ขอเพียงแค่สำนักฝึกหลวงสามารถฝืนต่อไปได้ ใต้เท้าสังฆราชก็ไม่มีทางเอ่ยปากพูดขึ้น”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เดินไปที่ระเบียง มองไปยังสำนักฝึกหลวงที่โคมไฟส่องสว่างซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป แล้วพูดขึ้น “การรับมือจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ถูกถังถังเพียงคนเดียวตัดขาดไปแล้ว ถ้าหากใต้เท้าสังฆราชมีความคิดอะไรต่อเฉินฉางเซิง ก็ถูกเขาตัดขาดไปแล้ว ในตอนนี้เจ้ายังรู้สึกว่าเขาเพียงแค่กำลังทำเรื่องเหลวไหลอยู่หรือ”

ม่ออวี่ไร้คำพูด นางคิดไม่ถึงจริงๆ ถังซานสือลิ่วที่ดูเหมือนเหลาะแหละไร้ความสามารถผู้นี้ ถึงกับมองออกถึงการวางแผนอันแยบยลของบุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้

“สมแล้วที่เป็นยุคสมัยที่ดอกไม้ป่าผลิบาน”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “ถังถังไม่เลว เฉินฉางเซิงก็ยิ่งไม่เลว ถ้าหากให้เวลาและโอกาสที่มากพอกับพวกเขา อนาคตของต้าโจวกับมนุษย์ไหนเลยจะยังต้องเป็นกังวลอีก”

ดอกไม้ป่าถ้าหากมีเพียงต้นเดียว ผลิบานอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนหน้าผา จะสามารถพูดว่างดงามได้อย่างไร

มีเพียงดอกไม้ป่าหลายต้นเรียงแถวผลิบาน เช่นนั้นถึงจะสามารถเรียกได้ว่าบานสะพรั่ง ถึงจะสามารถงดงามจนสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ

คิดถึงการเปลี่ยนแปลงในปีนี้ ม่ออวี่ก็ต้องยอมรับที่สำนักฝึกหลวงสามารถมีท่าทีที่จะกลับมารุ่งเรืองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ นอกจากเฉินฉางเซิง เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดก็คือถังซานสือลิ่วออกจากสำนักเทียนเต้า และเข้ามาที่สำนักฝึกหลวง ถ้าหากการวิเคราะห์ของเหนียงเหนียงถูกต้อง วิธีการที่ดูเหมือนจะเหลวไหลของถังซานสือลิ่วนี้ ที่จริงแล้วเป็นการรับมืออย่างสุขุม เช่นนั้นก็สามารถพูดได้ว่า ที่จำเป็นต่อสำนักฝึกหลวงในตอนนี้ที่สุด ก็คือคนแบบเขาผู้นี้

นางรู้ถึงเหตุการณ์ในตอนที่เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วพบกันเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นถังซานสือลิ่วเป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว และเฉินฉางเซิงก็เป็นนักพรตน้อยไร้ชื่อจากชนบท ได้พบเจอรู้จักกันในการสมัครสอบเข้าสำนักเทียนเต้า อีกทั้งยังเป็นถังซานสือลิ่วที่เข้าไปพูดกับเฉินฉางเซิงก่อน ในตอนนี้นึกขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ต้องยอมรับว่าการพบเจอกันเช่นนี้มีความหมายของโชคชะตาบางอย่างอยู่บ้าง

“สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยคืออะไร ไม่ใช่ความร่ำรวยและก็ไม่ใช่การวางแผน แต่เป็นสายตา”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองดูสำนักฝึกหลวงที่มีโคมไฟส่องสว่าง แล้วพูดขึ้น “ในตอนนั้นผู้เฒ่าถังก็เป็นคนแรกที่มองเห็นความสามารถของซูหลี ภายหลังนับร้อยปีมีใครกล้าไม่เคารพต่อตระกูลถังบ้าง ต่อให้เป็นแปดมรสุมก็เป็นเช่นนี้ ภายหลังตระกูลถังก็ยังแบกรับความกดดันจากราชสำนักอีก โดยการให้หวังผ้อเป็นพนักงานบัญชีอยู่สิบปี เชื่อว่าจะสามารถแลกความสงบนับสิบปีได้ ในตอนนี้ก็ยังมีมิตรภาพของถังถังกับเฉินฉางเซิงเช่นนี้อีก ถ้าหากในอนาคตเฉินฉางเซิงได้เป็นใต้เท้าสังฆราชจริงๆ สถานะของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยก็ยิ่งไม่อาจจะถูกสั่นคลอนแล้ว”

ไม่รู้เหตุใดม่ออวี่ถึงพูดขึ้น “พูดเช่นนี้แล้ว ที่จริงเฉินฉางเซิงก็เทียบถังถังไม่ได้”

“หญิงสาวนั้นมองแต่ภายนอกจริงๆ” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนางแวบหนึ่ง ดูมีความหมายแฝงอยู่

ม่ออวี่ค่อนข้างจะรู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “หอความลับสวรรค์ได้ส่งคนมาดูกระบี่ ในเมื่อเจ้ารู้จักกับเฉินฉางเซิง ก็ให้เจ้าเป็นคนพาไปแล้วกัน ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของเฉินฉางเซิงแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เห็น”

……

……

ต่างกันกับเมื่อปีก่อน ต่างกันกับเมื่อยี่สิบปีก่อน สำนักฝึกหลวงในคืนนี้มีโคมไฟส่องสว่างไสว

ถึงแม้จะดึกมากแล้ว ที่ป่าข้างทะเลสาบกับข้างน้ำพุ ทุกที่ยังสามารถมองเห็นเงาคน สามารถได้ยินสรรพเสียง

เฉินฉางเซิงไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เขาส่ายหน้า และคิดถึงเรื่องเรื่องนั้นที่คุยกันเมื่อตอนเช้า พลางมองไปที่ถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้น “เมื่อวานซืนนิทานเรื่องนั้นที่เจ้าพูดไม่ถูกต้อง ข้าไม่เคยพูดว่าจะเอาอันดับหนึ่งของการสอบใหญ่ ในตอนนั้นซูม่ออวี๋ก็อยู่บนถนนเสิน น่าจะจำได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นสิ่งที่ใต้เท้ามุขนายกพูด ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงได้ลืมเรื่องที่สำคัญขนาดนี้”

“เห็นได้ชัดเจนว่านี่คือภาพที่อยู่ในความทรงจำของทุกคน ประโยคนี้ก็คือสิ่งที่เจ้าพูด ดังนั้นไม่ต้องไปแก้ตัวแล้ว” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “อีกทั้งข้ายังจำได้อย่างชัดเจน ที่โรงเตี๊ยมในสวนหลีจื่อ เจ้าเคยพูดเรื่องนี้กับข้ามาก่อน”

เพราะว่าคำพูดประโยคนี้ ทั้งสองคนถึงได้นึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่เลี้ยงข้าวในโรงเตี๊ยมตอนนั้นขึ้นมา ในตอนนั้นพวกเขาทักทายปราศรัยกันโดยการเลียนแบบผู้ใหญ่ ในตอนนี้เมื่อนึกดูแล้วกลับมีท่าทีไร้เดียงสาอยู่บ้าง

ทั้งสองสบตากันแล้วหัวเราะขึ้นมา

เวลาดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผ่านไปนานนัก ก็มีเรื่องราวมากมายที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

เมื่อหนึ่งปีก่อน สำนักฝึกหลวงยังทรุดโทรมและเงียบเหงาเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะถูกสำนักการศึกษากลางซ่อมแซมไปแล้ว แต่นอกจากเขตที่พวกเขามักจะอยู่กันนั้น สถานที่อื่นยังคงวังเวงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ย่างเข้ายามราตรี ก็ยิ่งเป็นเหมือนกับสุสานก็ไม่ปาน หนึ่งปีให้หลัง สำนักฝึกหลวงได้รับนักเรียนใหม่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังมามากมาย ความเงียบเหงาในยามค่ำคืนนั้นถูกแสงไฟจากหอพักขับไล่ไปเสียแล้ว หอตำราที่เป็นเวลานานมากแล้วมีคนอยู่เพียงคนเดียว ในตอนนี้กลับมีคนจำนวนมากกำลังอาศัยแสงจากโคมไฟอ่านหนังสือคัมภีร์

คนจำนวนมากได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แล้ว ทุกครั้งที่คิดถึงว่าเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วยังมีอายุน้อยขนาดนี้ ก็สามารถทำให้สำนักฝึกหลวงเปลี่ยนไปจนมีรูปร่างขึ้นมา ทำให้เรื่องนี้มีทั้งชื่อเสียงและอำนาจ ก็อดไม่ได้ที่จะคาดไม่ถึง หลังจากนั้นก็ชื่นชม เรื่องที่เฉินฉางเซิงคิดกลับไม่ได้อยู่ตรงนี้ เขามองถังซานสือลิ่วแล้วถามขึ้น “ทำไมถึงต้องทำเรื่องเหล่านี้กัน”