ขั้นแรกของโอรสสวรรค์จ้องนภาคือขอบเขตเปลี่ยนแปลงวิญญาณมันคือระดับพื้นฐานของการปรับวิญญาณให้แข็งแกร่ง
ขั้นต่อมาคือขอบเขตคุมวิญญาณที่จะสามารถควบคุมวิญญาณของคนที่มีระดับพลังสูงกว่าตนเองได้วิชานี้ช่วยซือหยูมาหลายต่อหลายครั้ง
ขั้นที่สามคือขั้นที่เขายังไม่รู้จักขั้นที่ชื่อว่าขอบเขตวิญญาณมายา
“เจ้าบ่มเพาะขั้นที่สองจนสูงสุดแล้วขั้นสามคงจะบ่มเพาะเองได้บ้าง ถ้ามีเวลาจงบ่มเพาะตามคำชี้แนะของข้า”
เขาให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะโอรสสวรรค์จ้องนภาของซือหยูมากกว่าสิ่งอื่นซึ่งแปลกที่วิถีเทพของหยุนย่าสีในหลายปีก่อนไม่ใช่วิถีของดวงวิญญาณ เขาได้โอรสสวรรค์จ้องนภามาจากสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งและเริ่มบ่มเพาะมันโดยไม่ได้วางแผนการอะไร เขาตั้งความสำคัญของวิชาบ่มเพาะนี้ยิ่งกว่าวิถีเทพที่เขาเดินนั่นหมายความว่าเขาคาดหวังกับโอรสสวรค์จ้องนภาเป็นอย่างสูง
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
ซือหยูดีใจตอนที่เขาบ่มเพาะในขอบเขตเปลี่ยนแปลงดวงวิญญาณและขอบเขตคุมวิญญาณ หยุนย่าสีไม่เคยตั้งใจชี้แนะเขามาก่อน แต่เมื่อมาถึงขั้นสาม หยุนย่าสีได้เริ่มออกปากเองว่าจะชี้แนะให้ซือหยู
ด้วยคำชี้แนะจากเขาซือหยูจะต้องบ่มเพาะขั้นสามได้ในเวลาที่น่าประทับใจแน่นอน
“ฮ่าๆ เจ้าบ่มเพาะไปก่อน ถ้าหากสับสนสิ่งใดจงหารือกับข้า ก่อนที่เจ้าจะไปแดนมณี ข้าจะทำให้เจ้าปลอดภัย”
หยุนย่าสีกล่าว
ซือหยูโล่งใจการที่ไม่ต้องระแวงความปลอดภัยนั้นจะทำให้เขาบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นเลยที่หยุนย่าสีจะมาชี้แนะเขาด้วยตัวเองซือหยูเรียกแผ่นหินที่พบในตัวจินมู่ออกมา
แผ่นหินนี้เป็นส่วนแกนของหุ่นเชิดมันมีเศษส่วนพลังของเซียนซึ่งอันตรายอย่างมากอยู่ด้วย ซือหยูไม่กล้าจะสัมผัสมันตรง ๆ แม้กระทั่งตอนนี้ เขาไม่อยากจะใช้พลังสัมผัสมัน
“ท่านอาจารย์ข้าได้สิ่งนี้มาจากหุ่นเชิด ข้าจะใช้มันเองได้หรือไม่?”
ซือหยูถามด้วยความคาดหวัง
หยุนย่าสีมองด้วยสีหน้าประหลาด
“โอ้?นี่ไม่ใช่หัวใจหุ่นเชิดที่สร้างจากชาวช่างสวรรค์หรอกรึ? มีของของชาวช่างสวรรค์อยู่ในจิวโจวจริง ๆ หรือ?”
ชาวช่างสวรรค์…นี่คือครั้งแรกที่ซือหยูได้ยินถึงชื่อนี้หรือว่าพวกเขาจะเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์เช่นกัน?
“ท่านอาจารย์มีคนพวกนั้นจริงบนโลกด้วยสินะ”
ซือหยูถามข้อสงสัยที่ค้างคาใจมานาน หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ เขาคิดก่อนจะตอบอย่างช้า ๆ
“แน่นอนเป็นเรื่องจริง”
“ท่านอาจารย์เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
ซือหยูตาลุกวาวเขาสงสัยเรื่องนี้มานานมากแล้ว
แต่หยุนย่าสีก็ตอบกลับอย่างน่าฉงน
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เจ้าต้องรู้”
“ทำไมกันเผ่าพันธุ์เหล่านั้นเป็นสิ่งต้องห้ามหรือ?”
ซือหยูแปลกใจ
หยุนย่าสีถอนหายใจ
“ไม่หรอกข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าได้เห็นความจริงที่มิอาจยอมรับได้ก่อนที่เจ้าจะบ่มเพาะสำเร็จ เมื่อระดับพลังเจ้าอยู่ในขั้นที่มากพอ เจ้าจะได้รู้ความจริงโดยที่ข้าไม่ต้องบอกเจ้า แต่มันจะทำให้เจ้าเป็นอันตรายเสียมากกว่าหากเจ้ารู้ในตอนนี้” ความจริงที่มิอาจยอมรับได้หรือ?ในใจของซือหยูมีแต่ความสับสน อะไรบนโลกกันที่เขาจะยอมรับไม่ได้? แต่เขาก็ยอมรับคำพูดของหยุนย่าสี ถ้าหยุนย่าสีไม่อยากให้เขารู้ มันก็ย่อมต้องมีเหตุผล
“ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์แต่ชาวช่างสวรรค์มีชื่อเสียงโด่งดังใช่ไหม?”
ซือหยูถามต่อไปอีกเมื่อมองแผ่นหินไอลีนโนเวล
“ในรายการของเผ่าพันธุ์ทั้งหมดชาวช่างสวรรค์คือเผ่าพันธุ์ชั้นสูง มีทักษะในด้านการสร้างอุปกรณ์ ฝึกฝนกองทัพ และตีอาวุธ หัวใจหุ่นเชิดนับเป็นสินค้าของเผ่าช่างสวรรค์ แทบจะไม่มีเผ่าพันธุ์ใดลอกเลียนได้ สิ่งนี้แพงมาก ราคาไม่ได้ถูกกว่าสมบัติภูติเลย”
“ข้าไม่อยากจะเชื่อว่ามันอยู่ในทวีปจิวโจวแล้วเจ้าก็ยังได้มันมา ช่างโชคดีนัก”
หยุนย่าสีพูดอย่างไร้อารมณ์
เทียบได้กับสมบัติภูติรึ?ซือหยูใจเต้นแรง
“ข้าจะใช้หัวใจหุ่นเชิดได้ยังไง?” ซือหยูถาม
“ไม่ยากหากเจ้ามีหุ่นเชิด เจ้าก็ใส่หัวใจไปที่ส่วนในของหุ่นเชิดแล้วใช้งานมัน เจ้าจะควบคุมมันได้ตามใจนึก”
ซือหยูได้ฟังแล้วดีใจ
“ข้ามีหุ่นเชิดอยู่ถ้าท่านอาจารย์เห็นอาจจะรู้ว่ามันใช้ได้หรือไม่”
ซือหยูเรียกหุ่นเชิดสีเงินออกมาก่อนหน้านี้มีวิญญาณอยู่ในส่วนลึกของหุ่นเชิดและมันถูกทำลายไปจากเส้นขนอสูร ตัวหุ่นเชิดมิได้เสียหาย
“นี่มันของหายากมันคือหุ่นเชิดเปลี่ยนรูปร่าง”
หยุนย่าสีบอกชนิดของหุ่นเชิดได้จากการมองเพียงครั้งเดียว
หุ่นเชิดตรงหน้าเขาอยู่ในสภาพที่เป็นเหล็กแต่ซือหยูจำได้ชัดเจนว่าหุ่นเชิดสีเงินตัวนี้ได้แปลงร่างเป็นสามรูปแบบ แบบแรกคือชายหนุ่มรูปหน้าหล่อเหลา อีกร่างคือเส้นไหมสีเงินนับไม่ถ้วนที่สามารถกลืนกินเลือดเนื้อของทุกชีวิตได้ และร่างสุดท้ายก็คืออสรพิษร่างยักษ์
“วัตถุดิบสร้างหุ่นเชิดนี้นับว่าเป็นของชั้นเยี่ยมมันเหมาะที่จะเป็นตัวช่วยของเจ้า”
หยุนย่าสีคว้าหุ่นเชิดและแผ่นหินเขาทำให้มันลอยอยู่ที่กลางอากาศ
ซือหยูรีบบอก
“ระวังนะท่านอาจารย์!มีพลังเซียนอยู่ในแผ่นหินนั่น”
ก่อนที่เขาจะพูดจบคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวได้ปะทุออกมาจากแผ่นหิน พลังเซียนระเบิดออกมา
แต่หยุนย่าสีไม่สะทกสะท้านเขาซัดมือไปที่แผ่นหิน พลังนั้นสลายไปทันที อีกทั้งพลังยังไม่แพร่กระจายต่อ คนนอกมิอาจรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย
ซือหยูตกตะลึงกับสิ่งที่เขาทำเขามิอาจบอกได้เลยว่าพลังปัจจุบันของหยุนย่าสีอยู่ในระดับใด
เกิดไฟที่ปลายดัชนีหยุนย่าสีมันเป็นเพลิงขาวราวหิมะ เมื่อสัมผัสกับหุ่นเชิดสีเงินก็ได้เกิดรูโหว่ขนาดเท่ากำปั้นที่ลำตัวของหุ่นเชิด
จากนั้นหยุนย่าสียัดแผ่นหินเข้าไปในรูโหว่นั้น แผ่นหินสั่นเล็กน้อยไม่นาน จากนั้นจึงจมเข้าไปในตัวหุ่นเชิดราวกับสิ่งมีชีวิต แผ่นหินปล่อยพลังมิติออกมาล้อมรอบตัวเอง
“ท่านอาจารย์มันกำลังทำอะไรน่ะ?”
ซือหยูถามด้วยความตกใจ
หยุนย่าสีตอบ
“มันกำลังสร้างมิติไว้ซ่อนตัวมันคือจุดแข็งของหัวใจหุ่นเชิด หากหุ่นเชิดเสียหายร้ายแรง มันจะซ่อนตัวเองทันที”
สร้างมิติเองได้รึ?มันไม่ใช่สิ่งที่มีแต่เซียนที่จะทำได้หรอกหรือ? แต่ซือหยูก็ตระหนักได้เมื่อนึกถึงพลังเซียนที่มีอยู่ในหัวใจหุ่นเชิด
“ด้วยพลังเซียนที่มันเหลืออยู่การสร้างมิติคงจะกินเวลาไปบ้าง คงใช้เวลาสักเกือบเดือน เจ้าอดทนรอไปก่อน”
ซือหยูพยักหน้า
“ท่านอาจารย์หากมันสร้างมิติเสร็จแล้ว หุ่นเชิดจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?”
หยุนย่าสีตอบ
“หัวใจดวงนี้เป็นระดับต่ำสุดหุ่นเชิดเองก็ไม่นับว่าเป็นระดับสูง มันคงจะมีพลังไม่เกินอสูรเนรมิตรขั้นสาม”
ซือหยูใจเต้นแรงอสูรเนรมิตรระดับสามก็เกินพอแล้ว!
หลังจากรับหุ่นเชิดคืนซือหยูเก็บมันไว้ที่มุกวิญญาณเก้าหยก
หยุนย่าสีทำเป็นไม่เห็นเขาไม่เคยขอให้ซือหยูบอกความลับเลยสักครั้ง
“สุดท้ายก่อนที่เจ้าจะเริ่มฝึกฝน มีสิ่งที่สำคัญกว่าที่เจ้าต้องจัดการ…”
หยุนย่าสีใบหน้าจริงจังขึ้น ซือหยูใจหายก่อนที่หยุนย่าสีจะกลับไปฟื้นพลังคราวที่แล้ว เขาพูดอย่างชัดเจนว่าหากเขาออกมาอีก เขาจะหาทางจัดการกับเนตรเทาเทีย! ซือหยูจำเรื่องนี้ขึ้นใจ
“ท่านอาจารย์เนตรเทาเทียมีอันตรายเช่นใดหรือ?”
ซือหยูถามอย่างเคร่งเครียด
ก่อนหน้านี้ซือหยูเสี่ยงฝังเนตรอสูรกลืนสวรรค์เพื่อขจัดพลังสวรรค์ในร่าง นอกจากเขาจะกำจัดพลังนั้นได้ เขายังได้การมองเห็นและวิชาเนตรกลับมาด้วย
เจ้าวิหคเพลิงฉิวบอกเขาว่าเทาเทียนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายเป็นอย่างมากไม่มีสิ่งใดที่ปลูกถ่ายเนตรเทาเทียเข้าไปแล้วที่จะมีชะตาที่น่าพอใจ
ซือหยูไม่คิดถึงเรื่องนี้มานานจนหยุนย่าสีเอ่ยถึงมัน
“อันตรายรึ?จะเล็กหรือใหญ่ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น” หยุนย่าสีตอบด้วยความสุขุมเยือกเย็น