ตอนที่ 1002 - กฎสวรรค

The Divine Nine Dragon Cauldron

ซือหยูถาม
  “โปรดชี้แนะข้าด้วยท่านอาจารย์ปัญหาเล็กหรือใหญ่ที่ท่านอาจารย์พูดถึงจะเป็นสิ่งใดได้บ้าง?”
  หยุนย่าสีตอบ
  “เทาเทียคือหนึ่งในสี่สัตว์ป่าดุร้ายแห่งยุคโบราณมันคือสิ่งที่น่าหวาดผวาที่สุดในโลก…”
  “ตอนเกิดมันต้องกลืนกินชีวิต กลืนกินเลือดของเหล่าอสูรเนรมิตร ตอนมันเติบโต มันต้องกลืนกินเซียนที่แข็งแกร่ง พอมันโตเต็มมวัย มันจะเริ่มกลืนกินเทพ”
  กลืนกินเทพงั้นรึ?ซือหยูหนาวสั่นไปถึงกระดูก เหล่าเทพมิใช่ผู้ที่มีพลังสูงสุดหรือ?
  จะมีคนบนโลกสักกี่คนกันที่กล้าเผชิญหน้ากับสัตว์ที่กลืนกินเทพเป็นอาหาร?
  “บางคนกล่าวว่าบางแห่งในจักรวาลมีเทาเทียตนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับการเกิดโลกมันคือบรรพบุรุษของเทาเทียทั้งหมดและเป็นเทาเทียร่างสุดยอด มันกลืนกินดวงดาวของจักรวาลเป็นอาหาร ไม่ว่ามันจะไปที่ใด จักรวาลส่วนนั้นจะถูกกลืนกินจนทุกชีวิตดับสูญ แม้แต่เทพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนั้นก็มิอาจต้านทาน มันเหนือกว่าทุกสิ่งมีชีวิต”
  ซือหยูสูดลมหายใจอันเยือกเย็นมีเทาเทียที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นบนโลกด้วยหรือ? แล้วมันยังเหนือกว่าเทพทั้งมวลด้วย?
  “ตอนนี้เจ้าคงจะเข้าใจแล้วว่าเทาเทียคือสิ่งใดใช่ไหม?”
  หยุนย่าสีถาม
  ซือหยูพยักหน้าในอดีต เขาคิดเพียงแค่ว่าเทาเทียเป็นสิ่งมีชีวิตตามตำนานโบราณที่ไม่มีอยู่จริง เขาเพิ่งจะได้รู้ความน่าสะพรึงกลัวของมันในวันนี้
  “ท่านอาจารย์แล้วมันเกี่ยวข้องกับอันตรายต่อข้าอย่างไรหรือ?”   ซือหยูชี้ที่ระหว่างคิ้วของตัวเอง
  “เทาเทียตนนั้นจะสัมผัสได้ว่าข้ามีเนตรของมันแล้วมาตามล่าข้าหรือ?”
  เจ้าวิหคเพลิงฉิวเคยบอกเขาเช่นนี้พวกเทาเทียเป็นพวกชั่วร้ายที่ไม่เคยล้มเหลวในการล้างแค้น ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่ปลูกถ่ายเนตรเทาเทียแล้วจะหนีรอดปลอดภัย บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่หยุนย่าสีกังวล
  “ไม่ใช่”
  หยุนย่าสีบอกคำตอบที่ทำให้ซือหยูแปลกใจ
  “พวกเทาเทียเป็นพวกหายากไม่เคยมีใครได้เห็นรอยเท้ามันในเวลาชั่วชีวิต แทจะไม่มีโอกาสที่เจ้าจะได้เจอกับเทาเทียสักตนในชีวิตนี้”
  ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาถามต่อไปด้วยความสงสัย
  “แต่ท่านอาจารย์เผ่าพันธุ์ที่มีเนตรเทาเทียล้วนตายหมด ไม่ใช่เพราะถูกเทาเทียล้างแค้นหรอกหรือ?”
  “นั่นก็แค่ข่าวลือจากพวกที่กลัวเทาเทีย”
  หยุนย่าสีตอบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
  “พวกมันไม่ได้ตายเพราะถูกเทาเทียฆ่าแต่พวกมันเจอปัญหาจากการฝังเนตรเทาเทียไป ส่งผลให้ต้องตาย”
  และสุดท้ายมันก็ยังคงเป็นเรื่องเนตร
  “ท่านอาจารย์เนตรของข้ามีปัญหาอันใดหรือ?”
  ซือหยูถาม
  หยุนย่าสีตอบ
  “มันเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนของเทาเทียพวกเทาเทียจะแข็งแกร่งได้ก็เพราะครอบครองพลังพิเศษในการกลืนกิน ยิ่งกลืนกินมาก พลังกลืนกินก็ยิ่งจะแข็งแกร่ง นี่คือเหตุผลที่เทาเทียเติบโตจนกลืนกินเทพได้ แต่สวรรค์ย่อมมีกฎเกณฑ์ แม้พลังพิเศษเทาเทียจะขัดหลักธรรมชาติ พวกมันก็มีจุดอ่อนตั้งแต่ถือกำเนิด จุดอ่อนที่ถึงฆาต จำนวนเทาเทียบนโลกจึงเหลือน้อยนัก เทาเทียส่วนมากตายไปก่อนจะโตเต็มที่ เพราะจุดอ่อนที่สืบทอดมา”
  ซือหยูราวกับเข้าใจบางอย่างเมื่อฟัง
  “ท่านอาจารย์หรือว่าจุดอ่อนของมันจะอยู่ที่เนตร?”
  หยุนย่าสีมองระหว่างคิ้วของซือหยูด้วยความเป็นห่วง
  “ใช่เนตรเทาเทียเป็นที่รู้กันว่าคือเนตรอสูรกลืนสวรรค์ เนตรน่าสะพรึงกลัวที่กลืนกินเหล่าทวยเทพได้ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มีปัญหาร้ายแรงอยู่ในเนตรเช่นกัน”
  “ท่านอาจารย์จุดอ่อนมันคืออะไรกัน?”
  ซือหยูใจเต้นเบาๆ แม้แต่เทาเทียที่กินเทพได้ยังตายเพราะเนตร แล้วจุดอ่อนนี้จะน่ากลัวแค่ไหนกัน?
  หยุนย่าสีตอบอย่างเคร่งขรึม
  “จุดอ่อนถึงฆาตของมันก็คือเมื่อเนตรอสูรกลืนสวรรค์เบิกมันจะต้องกลืนกินต่อไปเรื่อย ๆ หากความต้องการมิได้ตอบสนอง มันโลกจึงเหลือน้อยนัก เทาเทียส่วนมากตายไปก่อนจะโตเต็มที่ เพราะจุดอ่อนที่สืบทอดมา”
  ซือหยูราวกับเข้าใจบางอย่างเมื่อฟัง
  “ท่านอาจารย์หรือว่าจุดอ่อนของมันจะอยู่ที่เนตร?”
  หยุนย่าสีมองระหว่างคิ้วของซือหยูด้วยความเป็นห่วง
  “ใช่เนตรเทาเทียเป็นที่รู้กันว่าคือเนตรอสูรกลืนสวรรค์ เนตรน่าสะพรึงกลัวที่กลืนกินเหล่าทวยเทพได้ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มีปัญหาร้ายแรงอยู่ในเนตรเช่นกัน”
  “ท่านอาจารย์จุดอ่อนมันคืออะไรกัน?”
  ซือหยูใจเต้นเบาๆ แม้แต่เทาเทียที่กินเทพได้ยังตายเพราะเนตร แล้วจุดอ่อนนี้จะน่ากลัวแค่ไหนกัน?
  หยุนย่าสีตอบอย่างเคร่งขรึม
  “จุดอ่อนถึงฆาตของมันก็คือเมื่อเนตรอสูรกลืนสวรรค์เบิกมันจะต้องกลืนกินต่อไปเรื่อย ๆ หากความต้องการมิได้ตอบสนอง มันจะเริ่มกลืนกินตัวเอง ทั้งกายเนื้อและวิญญาณ ทุกอย่างจะถูกดูดกลืนจนไม่เหลือสิ่งใด หลงเหลือไว้เพียงแต่เนตรอสูรกลืนสวรรค์ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เนตรอสูรกลืนสวรรค์ของเจ้าอาจจะเป็นของเทาเทียที่กลืนกินตัวเองแล้วเหลือไว้แต่เนตร”
  ซือหยูใจสั่นอย่างบ้าคลั่งเนตรอสูรที่จะกลืนกินตัวเองเรอะ? novel-lucky
  “แต่ท่านอาจารย์ข้าฝังเนตรมาหลายปีแล้ว ข้าไม่พบความผิดปกติมาก่อนเลย”
  ซือหยูคิดว่ามันคงเป็นเรื่องโชคดี
  หยุนย่าสีส่ายหน้าช้าๆ ด้วยดวงตาที่ยังกังวล
  “ตั้งแต่ฝังเนตรเจ้าเคยเบิกเนตรนั้นมาก่อนหรือไม่? ถ้ายังไม่เคย ข้าก็มีวิธีเอามันออกมา”
  ซือหยูใจหายเขาเคยใช้เนตรอสูรกลืนสวรรค์แค่ครั้งเดียวเพื่อต้านทานพลังจากจักรพรรดิโลหิต นี่คือการใช้เนตรครั้งเดียวของเขา
  หยุนย่าสีหายใจเข้าลึกเมื่อรู้ว่าซือหยูเคยใช้เนตรมาก่อน
  “ไม่สำคัญว่าเจ้าจะใช้มันเป็นเวลาสั้นๆ หรือเวลานาน ตราบเท่าที่เบิกเนตรมาแล้ว การใช้เนตรก็ถือเป็นการยอมรับ กฎสวรรค์ในเนตรก่อเกิดที่ดวงวิญญาณเจ้าแล้ว ต่อให้กายเนื้อเจ้าแหลกสลายไป เนตรก็จะติดตามวิญญาณเจ้าไม่หยุดจนกว่าเจ้าจะถูกมันกลืนกิน ข้าไม่รู้แล้วว่าจะกำจัดมันได้ยังไง”
  “ส่วนเรื่องความผิดปกที่ไม่เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าไม่ได้กลืนกินอะไรมาหลายปีมันก็คือความผิดพลาดจากเผ่าพันธุ์อื่นที่ฝังเนตรอสูรกลืนสวรรค์ มันเป็นความเข้าใจผิด ๆ ว่าข้อบกพร่องนี้มาจากการกดพลังของมันไว้ด้วยสมบัติวิญญาณบนโลก เพราะแม้แต่เผ่าพันธุ์ลำดับสูงสุดสามเผ่าพันธุ์ยังทำได้แค่หาวิธียื้อเวลาเท่านั้น”
  “การที่เจ้าไม่ได้รับผลอะไรมิได้หมายความว่าเจ้าจะปลอดภัยเจ้าก็แค่หน่วงเวลามันไปได้ไม่กี่ปีเท่านั้น”
  หยุนย่าสีอธิบาย
  ซือหยูรู้สึกเหมือนหัวใจได้จมดิ่งสู่ห้วงวารีลึกเป็นเรื่องของเวลาไม่ช้าก็เร็วเท่านั้นที่เนตรอสูรกลืนสวรรค์จะเล่นงานเขา ถึงตอนนั้นเขาจะถูกบังคับให้กลืนกินสิ่งมีชีวิตอย่างไม่หยุดหย่อน และเมื่อถึงจุดที่เขาไม่สามารถหาสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อกลืนกินได้ เนตรก็จะเริ่มกลืนกินตัวเขา
  “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลมากนักถึงเนตรจะเริ่มแสดงพลัง เจ้าก็เริ่มบ่มเพาะในวิถีของเทาเทียได้ ฝึกฝนการกลืนกินสิ่งมีชีวิตเสีย นับว่าเป็นโอกาสดีเช่นกัน”
  หยุนย่าสีพยายามปลอบ
  สีหน้าของเขามีทั้งความดีใจและความเศร้า
  “เนตรอสูรกลืนสวรรค์เป็นสิ่งที่จะพบได้โดยความบังเอิญเท่านั้นในทุกชั่วกัลป์จะมีการฝังเนตรเทาเทียสักสองสามกรณีเท่านั้น แต่ทุกคนที่มีเนตรก็ล้วนประสบความสำเร็จอย่างน่าตกตะลึง”
  หยุนย่าสีกล่าว
  ซือหยูยิ้มอย่างขมขื่น
  “ท่านอาจารย์ไม่ต้องปลอบข้าหรอกข้ารับได้”
  วิกฤติถึงตัวเขาแล้วการหนีปัญหาย่อมไม่ใช่วิธีแก้ไขที่แท้จริง และเขาก็ยังมีเวลาอีกหลายปีในการหาวิธีชะลอพลังของมัน
  “คงจะดีนักถ้าเจ้าหาทางได้ข้าก็จะไปหาอ่านในตำราโบราณตอนที่ข้าปิดประตูฝึกตนครั้งต่อไป เราจะได้รู้กันว่ามีวิธีแก้ไขปัญหาของเจ้าหรือไม่”
  หยุนย่าสีเสนอ
  ซือหยูรู้ว่าโอกาสสำเร็จมีอยู่ร้อยมากเทาเทียถูกลิขิตให้ตายจากเนตรของตัวเอง ยกเว้นเทาเทียที่แก่ที่สุดแล้วก็ไม่มีเทาเทียตนใดรอดพ้นบ่วงลิขิตนี้ได้ หยุนย่าสีเพียงแค่ทำให้ซือหยูรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น  “ขอบคุณท่านอาจารย์มากเวลาจะหมดแล้ว ข้าไปเริ่มบ่มเพาะก่อนจะดีกว่า”
  ซือหยูพูด
  หยุนย่าสีพยักหน้าและนั่งสมาธิข้างซือหยูเขาเริ่มชี้แนะการบ่มเพาะให้
  เวลาเคลื่อนคล้อยไหลไป
  สามวันต่อมาปรากฏการณ์ประหลาดได้เกิดขึ้นทั่วทุกแห่งในทวีปจิวโจว ต้นท้อที่เหี่ยวเฉามาเกือบร้อยปีและที่เกือบจะถูกย่อยสลายได้กลับมามีดอกงอกงามอีกครั้งในข้ามคืน น้ำพุได้ผุดขึ้นมาจากผืนดินแตกระแหงอีกครั้ง เหล่าคนธรรมดาไร้พลังที่ตามืดบอดและป่วยเจียนตายมาหลายปีฟื้นคืนกลับมาแข็งแรง คนที่ตาบอดกลับมามองเห็น คนป่วยกลับมามีกำลังวังชา!
  ทารกเกิดใหม่ได้กลายเป็นผู้มีพรสวรรค์แต่กำเนิดที่ทุกขุมกำลังต้องการตัว
  เรื่องดีๆ กำลังดำเนินไปในจิวโจวไม่ขาด มันคือร้อยปีที่ผู้มีพรสวรรค์ถือกำเนิดมากมายใครจะติดอยู่ในพลังเดิมหรือได้ก้าวต่อไปล้วนตัดสินใจยุคสมัยนี้ แดนมณีกำลังจะมาถึงอย่างรวดเร็ว
  แดนมณีถูกเซียนมณีทิ้งเอาไว้นางคือเซียนที่มีอายุยืนยาวที่สุดก่อนจะสิ้นลมหายใจ สิ่งที่นางเคยมีทั้งหมดล้วนอยู่ในแดนมณีของนาง
  ด้วยพลังเซียนที่แข็งแกร่งเกินกว่าใครของนางนี้เองแดนมณีจะโคจรท่ามกลางกลุ่มดาวในจักรวาลและจะกลับมาทวีปจิวโจวในทุก ๆ ร้อยปี และหนึ่งร้อยปีเองก็เป็นช่วงเวลาที่ผู้มีพรสวรรค์ในร้อยปีก่อนรามือแล้ว เป็นเวลาที่คนรุ่นใหม่จะมาแทนที่
  ไม่ว่าจะดินแดนพรสวรรค์หรือมีดสวรรค์เขตกลางหรืออีกแปดเขตที่เหลือ ทวีปฝั่งตะวันออกหรือตะวันตก เหนือหรือใต้ ทั้งแผ่นดินจิวโจวกำลังให้ความสนใจกับแดนมณี
  ยอดฝีมือชั้นสูงกำลังเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้เหตุการณ์แห่งศตวรรษที่จะสั่นคลอนไปทั้งจิวโจวกำลังจะเริ่มต้นขึ้น