บทที่ 416.1 ความภาคภูมิใจที่สุดในโลก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุยเสด็จมาร่วมงานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยน ทูตจากต้าหลีก็คือรองเจ้ากรมพิธีการที่ปีนั้นเคยไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียน หากเฉินผิงอันได้เห็นต้องจำเขาได้ในทันที

ในงานเลี้ยงที่มองไปทางใดก็เห็นแต่เส้นผมสีขาวโพลน ซ่งจี๋ซินและสวี่รั่วที่นั่งขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวาของรองเจ้ากรมต้าหลีต่างก็ใช้ชื่อปลอม ส่วนจื้อกุยนั้นไม่ได้มาร่วมงานด้วย

สวี่รั่วยังคงแต่งกายเป็นจอมยุทธพเนจรที่สะพายกระบี่ในแนวขวางไว้ด้านหลัง

คาดว่านอกจากซิ่วหู่ในวัยเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วก็คงไม่มีใครรู้ว่าสวี่รั่วทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน

ปะทะกับอาจารย์ฟ่านซึ่งๆ หน้า เป็นฝ่ายเอ่ยอนุญาตให้หนึ่งในสายการค้าสามารถบุกครึ่งทางเข้ามาเข่นฆ่าสังหารในงานเลี้ยงเถาเถี่ย (สัตว์ในตำนานชนิดหนึ่ง เป็นตัวแทนของความตะกละ) ที่หอบเอาอาณาเขตของหนึ่งทวีปเข้ามาเกี่ยวข้องครั้งนี้แทนต้าหลี ปล่อยให้พวกเขาได้พัฒนารุ่งเรืองไปตามใจปรารถนา ภายในเวลาสามสิบปี สกุลซ่งต้าหลีจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก

สวี่รั่วดื่มเหล้า สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องใหญ่และสถานการณ์ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ แต่กำลังคิดว่าควรจะอบรมปลูกฝังต่งสุ่ยจิ่งที่ยังคงขายเกี้ยวน้ำผู้นั้นให้กลายเป็นคนเชื่อดาบที่แท้จริงได้อย่างไร

ซ่งจี๋ซินมองฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุย แล้วก็กวาดตามองไปรอบด้าน รู้สึกเพียงว่าตลอดทั้งราชสำนักต้าสุยมีแต่กลิ่นอายของความท้อแท้โรยรา

จื้อกุย หรือควรจะเรียกว่าหวังจู อยู่ในจุดพักม้าที่เงียบสงัดเพียงลำพัง

นักพรตวัยกลางคนร่างสูงผอมคนหนึ่งร่ายใช้เวทอำพรางตา ปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริง นำพาผู้ฝึกตนของภูเขาเจินอู่สองคนมาเยือนจุดพักม้าอย่างเงียบเชียบ พวกเขาเดินตรงเข้ามาหาจื้อกุยที่กำลังยืนเอนตัวพิงราวระเบียงฟังเสียงลมพัดกระดิ่งลมใต้หลังคา

นักพรตวัยกลางคนถอนเวทคาถาออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง กลิ่นอายเซียนอบอวลไปทั่วร่างของเขา บนศีรษะสวมกวานหางปลา เพียงแค่ยืนอยู่ในลานบ้านก็มีกลิ่นอายของมหามรรคาอันไกลโพ้นที่อยู่ร่วมกับฟ้าดิน ร่างของเขาจึงเป็นเหมือนขุนเขายิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน

จื้อกุยเพียงแค่ชำเลืองตามองฉีเจิน เต้าจวิน (หรือเต๋าจวิน) ของสำนักโองการเทพ ผู้ปกครองระบบเต๋าแห่งแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนผู้ฝึกตนที่สะพายกระบี่ของภูเขาเจินอู่ นางกลับไม่แม้แต่จะปรายตามอง ความสนใจส่วนใหญ่ของนางอยู่ที่คนหนุ่มที่มีแมวดำนั่งอยู่บนไหล่ผู้นั้นมากกว่า ท่าทางของเขาสุภาพสงบนิ่ง ไม่ต่างจากเจ้าโง่ของตรอกซิ่งฮวาในความทรงจำสักเท่าไหร่ หน้าตาของเขาค่อนข้างหล่อเหลา แต่ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย เขากำลังมองนางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น และมีความปรารถนาอยากครอบครองที่เร่าร้อนซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของดวงตา

จื้อกุยไม่ค่อยชอบเจ้าหมอนี่สักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่ามีอคติอะไรกับเขา แต่เป็นเพราะย่าของหม่าขู่เสวียนผู้นี้ทำให้นางรังเกียจเดียดฉันท์มากจริงๆ นิสัยไม่ดีที่สตรีในหมู่ชาวบ้านของใต้หล้าควรมีหรือไม่ควรมี ดูเหมือนว่าหญิงชราผู้นั้นจะยึดครองไว้หมด ทุกครั้งที่ออกไปตักน้ำตรงบ่อโซ่เหล็ก ขอแค่เจอกับหญิงชราคนนั้น นางก็จะต้องทนฟังคำพูดแปลกแปร่งระคายหูอยู่หลายประโยค หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นจื้อกุยถูกกฎเกณฑ์ของถ้ำสวรรค์หลีจูกำราบไว้อย่างแน่นหนา นางก็มีวิธีการนับร้อยรูปแบบที่จะทำให้หญิงชราปากยืดปากยาวอยู่ไม่สู้ตาย ภายหลังหยางเหล่าโถวเสียสติ ถึงขั้นมอบโชควาสนาครั้งหนึ่งให้แก่หญิงชรา ทำให้นางกลายเป็นแม่ย่าลำคลองของลำคลองหลงซวีในเมืองเล็ก จื้อกุยก็ได้แต่รอคอยโอกาสต่อไป สักวันหนึ่งนางจะต้องทำให้หญิงชราที่มีชื่อเดิมว่าหม่าหลันฮวาผู้นั้นได้ลิ้มรสชาติของนรกบนดินดูให้ได้

ส่วนหม่าขู่เสวียนจะทำอย่างไรเมื่อถึงเวลานั้น นางสนใจหรือ? นางไม่สนเลยสักนิดเดียว

ฉีเจินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แม่นางจื้อกุย เรื่องที่เจ้าลัทธิลู่ไหว้วานให้ผินเต้า (คำเรียกแทนตัวอย่างถ่อมตัวของนักพรต) ทำ ผินเต้าทำเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สำนักโองการเทพเพิ่งจะได้พื้นที่มงคลที่ปริแตกใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งมาครอง ผินเต้าขอต้อนรับแม่นางจื้อกุยให้เข้าไปหาโชควาสนาข้างในนั้น และผินเต้าก็ยินดีจะช่วยคุ้มครองแม่นางตลอดการเดินทาง”

หากย้อนสืบสาวกันไปถึงต้นกำเนิดแล้ว แม้ว่าฉีเจินจะเป็นสายของเต๋าเหล่าเอ้อร์ แต่เดิมทีลู่เฉินก็เป็นหนึ่งในสามเจ้าลัทธิใหญ่ อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นผู้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิง การที่ฉีเจินได้ทำงานให้กับลู่เฉิน เขาย่อมปลาบปลื้มยินดี การที่สามารถเข้าตาเจ้าลัทธิลู่ได้นั้น ฉีเจินมั่นใจไม่คลางแคลง แต่เขากลับไม่วาดหวังแล้วว่าในอนาคตตนจะไปสู่ขอบเขตบินทะยานได้ ตอนที่ฉีเจินยังเยาว์ก็เคยได้รับคำทำนายจากยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่ง ด้วยประโยคว่า ‘เซียนเองก็ต้องมองลูกบ๊วยดับกระหายเช่นกัน’ ก่อนที่จะมาถึงขอบเขตสิบสอง เขาคิดว่ามันเป็นคำอวยพรที่เป็นมงคล แต่รอจนฉีเจินเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวิน มันกลับกลายเป็นคำทำนายอัปมงคลที่ราวกับจะบอกว่าเขาได้เดินมาจนสุดปลายทางและกำลังรอความตายอย่างเชื่องช้า และเจ้าลัทธิลู่เฉินก็คือหนึ่งในบุคคลยิ่งใหญ่ของหลายใต้หล้าที่ชอบเปลี่ยนชะตาชีวิตให้กับคนที่ถูกชะตามากที่สุดพอดี เล่าลือกันว่างานอดิเรกสี่เรื่องใหญ่ที่เจ้าลัทธิลู่ชอบทำมากที่สุด หนึ่งในนั้นก็คือแกะสลักไม้ผุ

ในสายตาของหม่าขู่เสวียนมีแต่นาง เขามองแม่นางคนที่ตัวเองชื่นชอบมาเนิ่นนานแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องรบกวนเทียนจวิน ข้าจะทำหน้าที่นั้นให้เอง”

จื้อกุยเองก็ไม่ได้สนใจเทียนจวินลัทธิเต๋า ถึงขั้นไม่คิดจะนั่งตัวตรงให้เรียบร้อย ยังคงเอียงศีรษะอย่างเกียจคร้านมองหม่าขู่เสวียน “เจ้าก็คือโชควาสนาที่ลู่เฉินรับปากว่าจะมอบให้ข้า? วันหน้าเจ้าจะฟังคำสั่งจากข้าทุกอย่างหรือไม่?”

ปีนั้นลู่เฉินตั้งแผงดูดวง หลังจากได้พบฮ่องเต้ต้าหลีกับซ่งจี๋ซินแล้วก็ได้ไปเยือนตรอกหนีผิงเพียงลำพังเพื่อมาหานาง บอกว่าเขาอาศัยอุบายเล็กๆ น้อยๆ จนได้คำว่า ‘จะปล่อยไปสักครั้ง’ จากซ่งเจิ้งฉุนซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของเขาลู่เฉินพอดี ด้วยเหตุนี้จึงสามารถคล้อยตามสถานการณ์ เก็บเอาหม่าขู่เสวียนเข้าเป็นของในกระเป๋าได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และเขาลู่เฉินก็คิดจะมอบหม่าขู่เสวียนให้แก่จื้อกุย

จื้อกุยไม่สนใจความเป็นไปเป็นมาเหล่านั้น ตอนแรกนางเองก็ไม่ค่อยจะใส่ใจสักเท่าไหร่ เพราะไม่คิดว่าหม่าขู่เสวียนคนเดียวจะสร้างเรื่องก่อราวอะไรได้ ภายหลังหม่าขู่เสวียนมีชื่อเสียงโด่งดังในภูเขาเจินอู่ ฝ่าทะลุขอบเขตสองครั้งติดต่อกันราวกับผ่าลำไม้ไผ่ นางถึงได้รู้สึกว่าแม้หม่าขู่เสวียนจะไม่ใช่หนึ่งในห้าคน แต่ไม่แน่ว่าอาจจะมีความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างอื่น จื้อกุยคร้านจะคิดมาก มีมีดเพิ่มมาในมืออีกหนึ่งเล่ม ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องร้าย ตอนนี้นอกจากตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าแล้ว นางก็ไม่มีลูกสมุนคนอื่นที่เรียกใช้งานได้ตามใจปรารถนาอีก

หม่าขู่เสวียนพยักหน้ารับ “ทุกอย่างล้วนฟังเจ้า เจ้าอยากฆ่าใครก็แค่พูดมาคำเดียว ขอแค่ไม่ใช่ตะพาบเฒ่าห้าขอบเขตบน ข้ารับรองว่าจะต้องเอาหัวของเขากลับมาให้เจ้าให้จงได้ ส่วนห้าขอบเขตบนคงต้องรออีกหน่อย วันหน้าข้าย่อมทำได้ อีกทั้งยังไม่ต้องรอนานมากเกินไปด้วย”

เพราะชื่นชอบจื้อกุย ปีนั้นตอนที่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกซิ่งฮวา หม่าขู่เสวียนจึงต้องโดนท่านย่าบ่นและตำหนิใส่ไม่น้อย

มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ท่านย่าซึ่งรักและเอ็นดูเขาที่สุดจะตำหนิเขา

จื้อกุยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าฆ่าเฉินผิงอันได้หรือไม่?”

หัวใจของผู้ปกป้องมรรคาจากภูเขาเจินอู่คนนั้นบีบรัดตัว กล่าวเสียงทุ้มหนัก “ไม่ได้”

จื้อกุยเอาแต่จับจ้องหม่าขู่เสวียน

หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “อยู่ในสำนักศึกษาซานหยา มีอริยะเฝ้าพิทักษ์ ข้าไม่สามารถสังหารเฉินผิงอันได้ แต่เจ้าสามารถกำหนดระยะเวลาแก่ข้าได้ ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งปีหรือสามปี แต่บอกตามตรง หากคำเล่าลือเป็นจริง เฉินผิงอันในเวลานี้ฆ่าได้ไม่ง่ายนัก เว้นเสียแต่ว่า…”

จื้อกุยร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะตัดบทคำพูดของหม่าขู่เสวียนตรงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด ดูท่าแล้วเจ้าก็ไม่ได้เก่งกาจสักเท่าไหร่ ลู่เฉินไม่ค่อยมีคุณธรรมเอาเสียเลย คนรุ่นหลังที่มอบให้เทียนจวินเซี่ยสือก็คือเจ้าคนคิ้วยาวทึ่มทื่อนั่น ลงมือทีหนึ่งก็เป็นเจดีย์จิ๋วที่เทียบเคียงได้กับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง แต่พอมาถึงคราวข้ากลับใจแคบเช่นนี้”

ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของภูเขาเจินอู่ท่านนั้นกลัวว่าหม่าขู่เสวียนได้ยินประโยคนี้แล้วจะมีโทสะ นึกไม่ถึงว่าเขาลองใช้เวทลับลอบสังเกตทะเลสาบหัวใจของอีกฝ่าย กลับพบว่ามันสงบนิ่งดุจกระจก ถึงขั้นที่ว่าบนพื้นผิวกระจกนั้นยังมีประกายแสงแวววาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยินดีปรากฎขึ้นด้วย

หม่าขู่เสวียนคลี่ยิ้มเจิดจ้า “หวังจู เจ้ารอก่อนเถอะ สักวันหนึ่งเจ้าจะรู้ว่าข้านั้นดีที่สุด อาวุธเซียนที่มีมูลค่าควรเมือง หรือลูกรักแห่งสวรรค์อะไรทั้งหลายแหล่ ถึงเวลาเมื่อย้อนกลับมามองดูก็เป็นแค่สิ่งเละเทะและมดตัวน้อยเท่านั้น”

จื้อกุยกล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าชอบข้าที่ตรงไหน? ตอนอยู่ในเมืองเล็ก ข้าไม่เคยคบค้าสมาคมกับเจ้าสักหน่อย จำไม่ค่อยได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เคยคุยกันเลยสักคำด้วย”

ถูกมองข้ามและเย็นชาใส่ขนาดนี้ การแสดงออกของหม่าขู่เสวียนก็ยังคงมากพอจะทำให้บรรพบุรุษของภูเขาเจินอู่ทุกคนอ้าปากค้าง เห็นเพียงว่าเขามีท่าทางเขินอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่กลับไม่ได้ให้คำตอบ

จื้อกุยพลันหัวเราะ ยื่นนิ้วมาชี้หม่าขู่เสวียน “ตอนนี้เจ้าหม่าขู่เสวียนก็ไม่ใช่ลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปหรอกหรือ?”

มุมปากของหม่าขู่เสวียนตวัดขึ้น พริบตานั้นเขาก็กลับคืนมาเป็นผู้ฝึกตนจอมยโสโอหังมีพรสวรรค์เลิศล้ำที่คนบนโลกคุ้นเคย ผู้ฝึกตนที่ทำให้คนวัยเดียวกันเกิดความสิ้นหวัง ทำให้ผู้ฝึกตนวัยชรารู้สึกเพียงว่าเวลาหลายร้อยปีที่มีชีวิตมาล้วนเอาไปใช้บนร่างสุนัขเสียหมด ประเด็นสำคัญก็คือหลายครั้งที่หม่าขู่เสวียนลงจากภูเขาไปฝึกขัดเกลาประสบการณ์หรือไม่ก็ต่อสู้บนสนามประลองกับคนอื่นบนภูเขาเจินอู่ เขาเข่นฆ่าสังหารได้อย่างเด็ดขาด อำมหิตเลือดเย็น เพียงชั่วพริบตาก็ตัดสินเป็นตาย อีกทั้งยังชอบตัดรากถอนโคน ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล เขาก็ล้วนไม่ละเว้น

หม่าขู่เสวียนเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าไม่ใช่ลูกรักแห่งสวรรค์อะไรทั้งนั้น”

แมวดำที่นั่งอยู่บนไหล่ของเขางอตัว ยกกรงเล็บขึ้นมาเลีย ท่าทางอ่อนโยนว่าง่ายเป็นพิเศษ

จื้อกุยมองประเมินเขาแวบหนึ่งก็เบ้ปาก “ก็แล้วแต่”

หม่าขู่เสวียนเอ่ยถาม “หากวันใดข้าสังหารซ่งจี๋ซิน เจ้าจะโกรธหรือไม่?”

จื้อกุยถลึงตาใส่คล้ายมีโทสะ “หม่าขู่เสวียน ก่อนที่เจ้าจะมีความสามารถเช่นนั้นก็อย่าพูดจาวางโตนักเลย เพราะมันจะทำให้คนรังเกียจ”

หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “ข้าเชื่อเจ้า”

อารมณ์ของผู้ปกป้องมรรคาจากภูเขาเจินอู่ที่มองดูหม่าขู่เสวียนเติบโตมาทีละก้าวซับซ้อนยิ่ง

ส่วนเทียนจวินฉีเจินกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย

แต่เพราะความเคารพที่มีต่อเจ้าลัทธิลู่ที่ย้อนกลับป๋ายอวี้จิงไปแล้วผู้นั้น เขาถึงได้อดทนยืนอยู่ตรงนี้ มองดูพวกเด็กรุ่นหลังพูดคุยกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

ไม่ว่าจื้อกุยกับหม่าขู่เสวียนจะมีตัวตนเช่นไร ขอแค่ยังเป็นหนึ่งวันที่พวกเขายังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน พวกเขาก็เป็นแค่เครื่องกระเบื้องงดงามสองชิ้นที่คิดจะแตกก็แตกได้ทุกเมื่อ

หม่าขู่เสวียนกล่าวอย่างเสียดาย “เดี๋ยวข้าต้องไปเยือนราชวงศ์จูอิ๋งแล้ว ไปสังหารผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสองสามคนเพื่อฝ่าทะลุขอบเขต”

จื้อกุยพูดอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ข้าไม่เห็นอยากรู้ว่าเจ้าจะไปไหน”

หม่าขู่เสวียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง หันหน้าไปพูดกับฉีเจิน “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เทียนจวินช่วยพาพวกเราออกจากเมืองทีเถอะ”

ฉีเจินพยักหน้ารับ พูดกับจื้อกุยว่าไว้พบกันใหม่ จากนั้นเงาร่างของคนทั้งสามก็หายไป

ค่ายกลใหญ่ของเมืองหลวงต้าสุยไม่มีความผิดปกติเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

เสมือนเข้าออกดินแดนที่ไร้ผู้คน

โลกมนุษย์ด้านล่างภูเขาตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป คาดว่าคงมีแค่เมืองหลวงต้าหลีเท่านั้นที่พอจะทำให้เทียนจวินท่านนี้กริ่งเกรงได้บ้าง

จื้อกุยฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง รู้สึกง่วงงุนเล็กน้อย นางหลับตาลง เล็บบนนิ้วเรียวยาววาดไปตามราวระเบียงอย่างเรื่อยเปื่อย เกิดเสียงดังครืดๆ

นางพลิกตัวกลับ เอนหลังพิงรั้ว แหงนศีรษะไปด้านหลัง ส่วนเว้าส่วนโค้งของตลอดทั้งร่างปรากฎเด่นชัด

นางงอนิ้วแล้วดีดออกครั้งแล้วครั้งเล่า กระดิ่งที่แขวนไว้ใต้หลังคาพวงนั้นส่งเสียงกรุ้งกริ้งไปตามจังหวะ

ท่ามกลางแสงสนธยา

นางลืมดวงตาทั้งคู่ที่มีตาดำเป็นสีทองตั้งตรงคู่นั้นขึ้น

แต่ชั่วแวบเดียวภาพปรากฎการณ์ผิดปกติก็พลันหายไป

นางยืดเรือนกายสะโอดสะองขึ้นตรง ยิ้มมองไปทางประตูเรือน

ซ่งจี๋ซินที่บนร่างมีกลิ่นสุราจางๆ เดินเข้าเรือนมา

นางเอ่ยถาม “งานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยนสนุกไหม?”

ซ่งจี๋ซินสะบัดชายแขนเสื้อ ทอดถอนใจอย่างเศร้าสลด “ตาแก่ในงานเลี้ยงพวกนั้นคงนึกอยากจะเลาะหนังดึงเส้นเอ็นแล้วกินเนื้อดื่มเลือดของพวกเราทั้งสามคนเต็มที ข้าตกใจเกือบตายแน่ะ”

จื้อกุยถามอย่างใคร่รู้ “ไม่ใช่ว่าไปเพื่อลงนามพันธมิตรร้อยปีหรอกหรือ? พวกเขาไม่มีความแค้นอะไรกับคุณชาย กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีพวกเราก็ยังไม่เคยย่ำผ่านหน้าประตูบ้านของพวกเขา แต่ตรงดิ่งไปทางใต้เลย ทำไมพวกเขาต้องทำตัวไม่เป็นมิตรแบบนั้นด้วย?”

—–