บทที่ 416.2 ความภาคภูมิใจที่สุดในโลก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ซ่งจี๋ซินเอนตัวพิงราวระเบียง ครุ่นคิดแล้วก็ตอบว่า “มีชีวิตดีๆ มาจนเคยชินแล้วน่ะสิ พอต้องเจอกับความอยุติธรรมนิดๆ หน่อยๆ เลยรับไม่ได้”

สีหน้าจื้อกุยกระจ่างแจ้ง “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นนิสัยของบ่าวก็ดีกว่าพวกเขามากเลย”

ซ่งจี๋ซินเข้าใจผิดนึกว่านางพูดถึงเรื่องหยุมหยิมไม่มีสาระในตรอกทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงของปีนั้น จึงยิ้มกล่าวว่า “รอให้คุณชายได้ดิบได้ดีเมื่อไหร่ จะต้องช่วยระบายโทสะแทนเจ้าแน่”

จื้อกุยอืมรับหนึ่งที แล้วถามว่า “หนังสือสามเล่มนั้น คุณชายยังมองอะไรไม่ออกอีกหรือ?”

ซ่งจี๋ซินเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาหลับตาลง ยกสองมือนวดคลึงข้างแก้ม “ไม่แน่ว่าอาจเป็นแค่ตำราทั่วไป ทำให้ข้าสงสัยโน่นนี่อยู่เป็นนาน”

ซ่งจี๋ซินพลันสอดมือเข้าไปในชายแขนเสื้อ หยิบงูสี่ขาสีเหลืองดินที่ลักษณะเหมือนงูสี่ขาทั่วไปในป่าเขาออกมาโยนลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนอยู่ในงานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยน มันกระเหี้ยนกระหือรือเต็มที หากไม่เป็นเพราะสวี่รั่วใช้ปราณกระบี่กำราบเอาไว้ เกรงว่ามันคงพุ่งไปกัดหัวฮ่องเต้ต้าสุยเอามากินเป็นอาหารมื้อดึกแล้ว”

สาวใช้ย่อตัวลงนั่งยอง หยิบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาวางบนฝ่ามือ

งูสี่ขาตัวนั้นทำท่าขลาดกลัว ยังคงไม่กล้าเขมือบกลืนอาหารเลิศรสนั่น

ซ่งจี๋ซินก้มตัวลงมองเจ้าตัวน้อยที่บนหน้าผากมีเขางอกออกมาแล้วกล่าวอย่างระอาใจว่า “ดูท่าทางขี้ขลาดของเจ้านี่สิ แล้วก็ลองมองงูน้ำที่ทะเลสาบเจี่ยนหูตัวนั้น ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ”

ซ่งจี๋ซินไม่สนใจมันอีก เขาอ้าปากหาวหวอด เดินไปนอนในห้องที่อยู่ด้านใน

จื้อกุยแกว่งฝ่ามือ งูสี่ขายังคงไม่กล้าเดินขึ้นหน้ามา

“ถือว่าเจ้ายังรู้ความ”

จื้อกุยยิ้มตาหยีโยนเงินฝนธัญพืชใส่เข้าปากตัวเอง เจ้าตัวน้อยส่งเสียงฟ่อเบาๆ คล้ายน้อยเนื้อต่ำใจ

จื้อกุยกำหมัดต่อยลงบนหัวของมัน “สามปีไม่เปิดกิจการ เปิดกิจการทีกินได้สามปี แค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ?”

นางลุกขึ้นยืน เตะงูสี่ขาตัวนั้นกระเด็นเข้าไปในลานบ้าน “ไม่มีความสามารถสักนิด แต่ยังกล้าปรารถนาอยากครอบครองคราบร่างเซียนบรรพกาลของราชครู แอบน้ำลายไหลก็ยังพอว่า แต่นี่ยังทำให้คนเขาจับได้อีก ทำไมข้าถึงต้องมาเจอเจ้าตัวที่มือไม้พายเอาเท้าราน้ำอย่างเจ้าด้วยนะ”

จื้อกุยนั่งลงบนขั้นบันได ถอดรองเท้าปักออกมาข้างหนึ่ง กวักมือเรียกมันมา

เจ้าตัวน้อยวิ่งมาหยุดอยู่ข้างเท้านางแต่โดยดี นางที่ยังโมโหจึงยกรองเท้าปักลวดลายตบลงบนตัวเจ้าตัวเล็กครั้งแล้วครั้งเล่า

……

บนภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียน สำนักศึกษาหลินลู่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เกาเซวียนองค์ชายแห่งต้าสุยมาขอศึกษาต่อที่นี่ ทั้งต้าสุยและต้าหลีต่างก็ไม่ได้จงใจจะปิดบังเรื่องนี้

นี่เป็นครั้งที่สองที่เกาเซวียนได้เข้ามาในเขตการปกครองหลงเฉวียน แต่ครั้งแรกนั้นเขาต้องเดินผ่านบันไดทอดฟ้าขึ้นไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่บนท้องฟ้า ครั้งนี้กลับอยู่บนดิน อยู่บนอาณาเขตของต้าหลีอย่างแท้จริง

ตอนนี้ภูเขาพีอวิ๋นคือขุนเขาเหนือของต้าหลี ภูเขาคือลูกใหม่ สำนักศึกษาก็คือแห่งใหม่ ตั้งแต่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ไปจนถึงปัญญาชนหนุ่มสาวที่มาขอศึกษาต่อก็ล้วนถือว่าเป็นคนใหม่

สำนักศึกษาหลินลู่คือสำนักศึกษาที่ราชสำนักต้าหลีเป็นผู้สร้าง ไม่มียศหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา เจ้าขุนเขาและรองเจ้าขุนเขาไม่มีชื่อเสียงมากนัก หนึ่งในนั้นก็คือรองเจ้ากรมผู้เฒ่าจากแคว้นหวงถิงที่ในอดีตเคยเป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าสุย แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสำนักศึกษาหลินลู่ต้องพุ่งเข้าหา ‘เจ็ดสิบสอง’ อย่างแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่สกุลซ่งต้าหลีต้องครอบครองให้จงได้

ตอนแรกเริ่มเกาเซวียนยังนึกว่าตัวเองที่อยู่ในสำนักศึกษาจะต้องพบเจอกับความขัดแย้งมากมาย อย่างน้อยก็ต้องถูกคนดูแคลนหรือทำตัวเย็นชาใส่ ไม่ก็ลองหยั่งเชิงด้วยเจตนาร้าย เหมือนอย่างที่พวกหลี่เป่าผิงและอวี๋ลู่ที่ไปอยู่สำนักศึกษาซานหยาบนภูเขาตงหัวโดนกระทำ จะอย่างไรก็ต้องเจอกับความยากลำบากที่ถูกรังแกบ้าง แต่เกาเซวียนมาอยู่สำนักศึกษาหลินลู่ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่านับตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงลูกศิษย์ พวกเขาต่างก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับลูกศิษย์หรือเพื่อนร่วมชั้นอย่างองค์ชายจากแคว้นศัตรูเช่นเขาเท่าไหร่ แทบจะไม่มีใครเผยความเป็นศัตรูออกมาอย่างชัดเจน

เกาเซวียนยังเคยฉงนสนเท่ห์กับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ ภายหลังถึงได้รับคำชี้แนะจากบรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนภูเขาพีอวิ๋น

ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ร้อยปี ราชวงศ์ต้าหลีก็เปลี่ยนจากแคว้นที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลหลู เปลี่ยนจากขันทีที่มีส่วนร่วมกับงานบริหารบ้านเมืองและพระญาติที่กุมอำนาจในช่วงยุคแรกซึ่งไม่ต่างจากบ่อโคลนเละๆ เติบโตกลายมาเป็นผู้พิชิตพื้นที่ทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปอย่างในทุกวันนี้ ในช่วงเวลานี้มีศึกสงครามเกิดขึ้นไม่หยุดย่อน พวกเขาคอยต่อสู้อยู่ตลอดเวลา มีคนตายอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งฮุบกลืนแคว้นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ต่อให้ชาวบ้านของเมืองหลวงต้าหลีจะเป็นคนที่มาจากสี่ด้านแปดทิศ ไม่มีฐานะและตัวตนอย่างคนมากมายในราชสำนักต้าสุย ตอนนี้เป็นเช่นไร เหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาเมื่อสองสามร้อยปีก่อนก็เป็นเช่นเดียวกัน

เกาเซวียนรู้เพียงแค่นี้ก็กระจ่างแจ้ง น้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่เน่า วงกบประตูที่ถูกเปิดตลอดเวลามอดย่อมไม่กิน (อุปมาว่าเมื่อฝึกปรือฝีมือตลอดเวลาก็ย่อมเกิดความคล่องชำนาญ)

แต่บรรพบุรุษสกุลเกาที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย ใช้ฐานะของนักเล่านิทานปะปนอยู่กับหมู่ชาวบ้านกลับเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “น้ำไหล? เลือดไหลน่ะสิไม่ว่า”

ยามที่เกาเซวียนมีเวลาว่างก็มักจะสะพายหีบหนังสือไปท่องเที่ยวตามภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนเพียงลำพัง บ้างก็ไปเดินเล่นตามตรอกซอกซอยของเมืองเล็ก หรือไม่ก็ไปเที่ยวในเมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ทางทิศเหนือ อีกทั้งยังตั้งใจเดินอ้อมเล็กน้อยเพื่อไปจุดธูปที่ศาลภูเขาแห่งหนึ่งทางทิศเหนือ ระหว่างทางก็แวะกินเกี้ยวน้ำ เจ้าของร้านแซ่ต่ง เป็นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่ มักจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความมีไมตรีปรองดอง ไปๆ มาๆ เกาเซวียนจึงกลายเป็นเพื่อนกับเขา หากต่งสุ่ยจิ่งไม่ยุ่งก็จะเข้าครัวทำกับข้าวธรรมดาสองจาน แล้วคนทั้งสองก็กินแกล้มเหล้าด้วยกัน

บางครั้งเกาเซวียนก็จะไปเยือนบ้านหลังหนึ่งที่ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้ว ว่ากันว่าเจ้าของบ้านคือบุรุษที่มีนามว่าหลี่เอ้อร์ ตอนนี้บ้านหลังนี้ถูกคนบ้านเดิมฝั่งภรรยาของเขายึดครองไปแล้ว กำลังคิดว่าจะเอามาขายในราคาสูง เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะติดขัดที่ฝ่ายอาคารบ้านเรือนของที่ว่าการอำเภอ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีโฉนดที่ดิน

ในหีบหนังสือของเกาเซวียนมีข้องราชามังกรอยู่ใบหนึ่ง

ทุกวันเขาจะต้องใช้เวทลับที่บรรพบุรุษสกุลเกาถ่ายทอดให้ นำเงินร้อนน้อยมาหลอมเล็กแล้วกรอกเทเข้าไปข้างใน เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณที่อยู่ในนั้นเข้มข้นราวกับน้ำ

ในข้องปลาที่สานด้วยไม้ไผ่มีปลาหลีสีทองตัวหนึ่งว่ายวนอยู่อย่างเชื่องช้า

นั่นเป็นครั้งแรกที่เกาเซวียนได้พบหลี่เอ้อร์ แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันด้วย

อันที่จริงก่อนจะมาที่นี่ เกาเซวียนก็เตรียมใจมาก่อนแล้ว ไม่แน่ว่าวันใดเขาอาจจำเป็นต้องมอบข้องราชามังกรและปลาหลีสีทองให้กับบุคคลที่มีอำนาจบางคนของราชวงศ์ต้าหลี เพื่อเป็นค่าตอบแทนให้ตัวเองสามารถเรียนอยู่ในสำนักหลินลู่ได้อย่างปลอดภัย

แต่จนถึงทุกวันนี้ แม้แต่นายอำเภอหยวนและเจ้าเมืองอู๋ก็ยังไม่เคยมาพบเขา

วันนี้ขณะที่เกาเซวียนกำลังนั่งล้างหน้าอยู่ริมลำธาร เขาหันขวับกลับไปก็เห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ หูข้างหนึ่งสวมต่างหูวงกลมสีทอง

เกาเซวียนรีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ “เกาเซวียนคารวะองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือ”

เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลียิ้มกล่าว “ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ เห็นว่าเจ้าเดินเที่ยวไปหลายสถานที่ เอาแต่สะพายข้องราชามังกรไว้บนหลังแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง หากเจ้าเชื่อใจข้า ไม่สู้เปิดข้องราชามังกร ปล่อยปลาหลีสีทองตัวนั้นลงไปในลำธาร เลี้ยงมันไว้ในน้ำที่มีชีวิต ใช้ปราณวิญญาณต่างน้ำคือการเลี้ยงให้ตาย นานวันเข้ามันจะสูญเสียสติปัญญา แม้ว่าขอบเขตจะสามารถไต่ทะยานได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น แต่จะถูกสกัดขวางไว้บนคอขวดของขอบเขตก่อกำเนิด แม้ว่าการปล่อยมันลงน้ำ ปราณวิญญาณที่ดูดซับมาได้ในแต่ละวันจะด้อยกว่ามาก การพัฒนาของขอบเขตก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่หากมองในระยะยาวก็ยังถือว่ามีผลดีมากกว่าผลเสีย”

เว่ยป้อชี้ยังทิศไกล “จากลำคลองหลงซวีตรงนี้ไปจนถึงแม่น้ำเถี่ยฝู มันสามารถแหวกว่ายได้อย่างอิสระเสรี ข้าจะบอกกล่าวแก่แม่ย่าลำคลองและเทพแม่น้ำทั้งสองท่านไว้ก่อนว่าไม่ให้ขัดขวางการฝึกตนของมัน”

อันที่จริงเกาเซวียนรู้สึกลังเลเล็กน้อย

เขาไม่เคยไปมาหาสู่กับเทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีผู้นี้มาก่อน จะให้เขาวางใจได้อย่างไร?

ปลาหลีสีทองในข้องปลาตัวนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่ท่านบรรพบุรุษยกย่องว่าในอนาคตมีหวังจะกระโดดข้ามประตูมังกรของแผ่นดินกลาง กลายเป็นมังกรที่แท้จริงตัวหนึ่งเชียวนะ

บนเส้นทางของการฝึกตน ความมืดดำของจิตใจคน กลอุบายและแผนการมีหลากหลายสารพัดรูปแบบ

หากถูกคนช่วงชิงโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ไป ในเมื่อเกาเซวียนต้องมาอยู่ภายใต้ชายคาผู้อื่น เขาก็คงต้องยอมรับ ยอมรับในสถานการณ์ใหญ่ ทว่าจิตแห่งเต๋าของตนกลับยิ่งยึดมั่นหนักแน่น บุกรุดหน้าทวนกระแสไปอย่างห้าวเหิม สามารถขัดเกลาจิตใจได้ดีที่สุด

แต่หากถูกคนวางแผนเล่นงาน ทำให้ต้องสูญเสียโชควาสนาที่อยู่ในมือของตัวเองแล้วไป ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่เขาสูญเสียจะไม่ใช่แค่ปลาหลีสีทองหนึ่งตัว แต่ยิ่งเป็นการทำให้มหามรรคาของเขาเกาเซวียนเกิดรูรั่วและช่องโหว่ขึ้น

เว่ยป้อยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร รอวันใดที่เจ้าคิดตกแล้วค่อยเลี้ยงมันแบบปล่อยก็ยังไม่สาย”

เว่ยป้อพูดจบก็เตรียมจะหมุนตัวจากไป

บรรพบุรุษสกุลเกาพลันพุ่งตัวจากยอดเขาพีอวิ๋นมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเกาเซวียน พูดกับเกาเซวียนว่า “เชื่อท่านเว่ยย่อมต้องมีแต่เรื่องดีไม่มีเรื่องร้ายแน่นอน”

เกาเซวียนเห็นว่าบรรพบุรุษของตนปรากฏตัวก็ไม่มัวลังเลอีก เขาเปิดหีบหนังสือ หยิบเอาข้องราชามังกรออกมา ปล่อยปลาหลีสีทองตัวนั้นลงลำธาร

ปลาหลีสีทองส่ายสะบัดหางอย่างลิงโลด พริบตาเดียวก็ว่ายพรวดไปตามกระแสน้ำตอนล่าง

เกาเซวียนนั่งยองอยู่ริมน้ำ ในมือถือข้องปลาที่ว่างเปล่า พึมพำเบาๆ ว่า “ถูกขังอยู่ในกรงมานาน ได้หวนกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้งแล้ว”

……

ปีนั้นจ้าวเหยานั่งรถเทียมวัวเดินทางออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูตามแผนการของท่านปู่ เพื่อที่จะเดินทางไปฝึกตนในสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของภาคกลางแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ติดกับมหาสมุทรใหญ่ทิศตะวันตก

เพียงแต่ว่าระหว่างทางเขาเจอกับเด็กหนุ่มที่มีใฝแดงกลางหน้าผาก อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าซิ่วหู่

สุดท้ายจ้าวเหยามอบตราประทับตัวอักษรชุนที่อาจารย์ฉีมอบให้ออกไป เพราะอีกฝ่ายคือราชครูชุยฉานแห่งต้าหลี

ในบรรดาคนรุ่นนี้ของโรงเรียนประจำเมืองเล็ก เป็นเขาจ้าวเหยาที่อยู่เคียงข้างอาจารย์บ่อยที่สุด เด็กๆ อย่างพวกหลี่เป่าผิง และซ่งจี๋ซินคนวัยเดียวกันที่จ้าวเหยารู้สึกเลื่อมใสนั้น ล้วนเทียบเขาไม่ได้ในเรื่องนี้

การเดินทางของจ้าวเหยาอาศัยวิชาลับในการฝึกตนหนึ่งวิชาและอาวุธตระกูลเซียนสองชิ้นที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนกับชุยฉาน จึงเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้ตลอดทาง

เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วขณะที่จ้าวเหยาใกล้จะไปถึงตระกูลเซียนแห่งนั้น รถเทียมวัวเดินทางไปถึงตีนเขาแล้ว จ้าวเหยาที่อ่อนระโหยโรยแรงกลับเปลี่ยนความคิดกะทันหัน เขาสละรถเทียมวัวทิ้ง คลายพันธนาการให้กับวัวตัวนั้น ส่วนตัวเองมุ่งหน้าไปยังทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตกเพียงลำพัง สุดท้ายก็พบท่าเรือตระกูลเซียนในตำนานแห่งหนึ่ง เขาโดยสารเรือข้ามฟากไปเยือนเกาะเทพเซียนที่อยู่โดดเดี่ยวนอกโพ้นทะเล จากนั้นก็เปลี่ยนเรือข้ามฟากอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ถึงอย่างไรตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป เรือข้ามทวีปก็มีแค่ที่นครมังกรเฒ่าเท่านั้น อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นเรือพานิชย์ของภูเขาห้อยหัว ด้วยเหตุนี้หากผู้ฝึกลมปราณของแจกันสมบัติทวีปต้องการเดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ได้แต่ใช้วิธีการเดียวกับจ้าวเหยา นั่นคือโดยสารเรือข้ามฟากของตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่บนทะเลในระยะทางสั้นๆ ต่อไปเป็นทอดๆ

เพียงแต่ว่าหลังจากเดินทางมาได้เกินครึ่งทาง เรือตระกูลเซียนลำที่จ้าวเหยาโดยสารมาก็เจอกับหายนะ ถูกปลาบินชนิดหนึ่งที่บินกันมามืดฟ้ามัวดินราวกับฝูงตั๊กแตนพุ่งมาชนเรือจนแตก จ้าวเหยากับคนส่วนใหญ่ล้วนจมลงสู่มหาสมุทร บางคนก็ตายคาที่ จ้าวเหยาอาศัยสมบัติอาคมป้องกันกายชิ้นหนึ่งหนีพ้นหายนะมาได้ แต่มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล มองไปทางใดก็มีแต่ทางตาย ไม่ช้าก็เร็วคงต้องทิ้งร่างไว้ในท้องปลา

ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองสองคนที่อยู่บนเรือคิดจะทะยานลมหนีไป คนหนึ่งพยายามจะพุ่งฝ่าขบวนปลาบินไปให้ได้ ผลกลับต้องร่างแหลกเหลวอยู่ท่ามกลางฝูงปลาที่มากมหาศาลจนมองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุดอย่างสิ้นหวัง คนหนึ่งเห็นท่าไม่ดี อีกทั้งยังใช้พละกำลังจนหมดสิ้นแล้ว จึงได้แต่รีบดิ่งลงเบื้องล่าง หลบหนีเข้าไปในทะเล

จ้าวเหยานั่งอยู่บนไม้ยักษ์ที่เป็นเศษซากของเรือข้ามฟาก รัดห่อสัมภาระห่อนั้นเอาไว้บนร่างแน่น ไม่รู้ว่าล่องลอยอยู่นานเท่าไหร่ เรือนกายของเขาผ่ายผอมลงทุกขณะ มีชีวิตแต่ก็เหมือนอยู่ไม่สู้ตาย

—–