ราชันเร้นลับ 647 : ทะเลซากปรักหักพัง

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 647 : ทะเลซากปรักหักพัง โดย Ink Stone_Fantasy

แม้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะไม่แสดงออก แต่คล้ายกับพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียาอ่านความคิดออก จึงมอบคำอธิบาย

“มันคือการ ‘บิน’ ที่แจ้งมรณะหมดโอกาสไล่ตามทันโดยสิ้นเชิง”

ขณะกล่าว หญิงสาวพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่งกายไม่เหมือนเมื่อวาน เปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตคอกลม แจ็คเก็ตสีน้ำตาล กางเกงขาบานสีขาว หมวกสีเข้ม ดูไม่เหมือนนักผจญภัย แต่คล้ายกับชนพื้นเมืองของบายัม ‘เมืองให้การให้’ มากกว่า

ตามคำบอกเล่าของนีน่า เมื่อคืน คลื่นลูกใหญ่ได้ชนกับเรือจนละอองน้ำสาดใส่เสื้อเกอร์มัน… เขามีเสื้อผ้าทางการแค่ชุดเดียวเองหรือ…

แคทลียาครุ่นคิดจนพบสาเหตุ

เธอไม่แปลกใจสักเท่าไร ตรงกันข้าม เธอมองว่าการพกเสื้อผ้าทางการแค่ชุดเดียว สอดคล้องกับอุปนิสัยของเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างมาก เพราะเงินที่เหลือคงหมดไปกับการซื้อสมบัติวิเศษ อาวุธวิเศษ และยันต์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง

นี่คือสาเหตุที่แจ้งมรณะมิได้ไล่ตามมาสินะ… พวกมันโจมตีใส่เรือที่แล่นสวนกันด้วยความคึกคะนองเพียงอย่างเดียว มิได้เคียดแค้นจนต้องไล่ตามมาไกล… เข้าใจแล้ว หากเป็นพลเรือโจรสลัดมากประสบการณ์ โอกาสหลบหนีจากราชาโจรสลัดก็ยังพอมีอยู่…

ใกล้จะเข้าเขตแล้วหรือ… ชิ! เรายังย่อยโอสถผู้ไร้หน้าไม่เสร็จ…

แต่อย่างน้อย การสวมบทบาทเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในเหตุการณ์เมื่อคืน ก็ช่วยให้ได้ผลตอบรับในเชิงบวก ลูกเรือตอบสนองอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง อีกสองสามวันก็คงย่อยโอสถเสร็จ และถึงจะเข้าสู่น่านน้ำอันตรายแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะได้พบนางเงือกทันที เรายังพอมีเวลา…

ไคลน์พยักหน้า เก็บงำความสงสัยอื่นไว้ในใจ เตรียมเดินผ่านพลเรือเอกดวงดาวเข้าไปหาอะไรกินรองท้อง

ถึงตรงนี้ ไคลน์เหลือบเห็นโจรสลัดคนหนึ่งกำลังวิ่งอุ้มปลาเกล็ดเงินตัวใหญ่ที่ดิ้นไปดินมา มุ่งหน้าตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องอาหาร

บุคคลที่นั่งรออยู่ในจุดดังกล่าวคือชายผิวขาวซีดจนดูเหมือนโปร่งแสง ดั้งจมูกไม่สอดคล้องกับใบหน้า เป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ช่วยกัปตันเรือแห่งอนาคตกาล ฮีธ·ดอยล์

ตุ้บ!

ปลาทะเลยาวเกือบหนึ่งเมตรถูกวางลงตรงหน้า ‘ผู้ไร้เลือด’

ฮีธ·ดอยล์เหยียดแขนสองข้าง จับหัวท้ายปลาที่กำลังดิ้น พลางโน้มตัวลงทีละนิดอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเกล็ดปลาหากจากใบหน้าเพียงไม่กี่คืบ ประหนึ่งอีกฝ่ายเตรียมจุมพิตปลาอย่างอ่อนโยน

ทันใดนั้น ปลาเกล็ดเงินพลันแน่นิ่ง ชะงักการดิ้นรนโดยสมบูรณ์ ร่างกายทุกส่วนเริ่มละลายจนดูคล้ายเทียนไขถูกไฟเผา แปรสภาพกลายเป็นบ่อเลือดน่ารังเกียจ

ไม่กี่อึดใจถัดมา เลือดเนื้อกองดังกล่าวไหลเข้าไปในปากฮีธ·ดอยล์ พร้อมกับแผ่ปกคลุมชั้นผิวหนังและอวัยวะทุกส่วนของ ‘ผู้ไร้เลือด’

เมื่อเสร็จขั้นตอนอันน่าสะอิดสะเอียนที่คนปรกติยากจะฝืนใจมอง ปลาเกล็ดเงินตัวยาวกว่าหนึ่งเมตรได้อันตรายหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่ก้างกระดูก ราวกับทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา ใบหน้าฮีธ·ดอยล์เริ่มกลับมามีชีวิตชีวา ผิวพรรณกระจ่างใส ริมฝีปากแดงสดดุจดังกลีบกุหลาบ

นักบวชกุหลาบ…

ไคลน์พ่นชื่อลำดับโอสถในใจ

แคทลียาที่ยืนข้างด้าน ใช้นิ้วดันใต้กรอบแว่นตาพลางอธิบาย

“บิชอปกุหลาบทุกคนล้วนต้องใช้เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตมาเติมเต็มร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นจะใช้พลังพิเศษออกมาได้ไม่เต็มที่ วิธีนี้ยังใช้เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บหลังการต่อสู้ได้ด้วย หากไม่ทำ พวกเขาจะเข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่ง”

มุมปากหญิงสาวยกขึ้นเล็กน้อย กล่าวเสริม

“พวกวิปลาสของชุมนุมแสงเหนือเข้าใจกันไปเองว่าต้องใช้เนื้อมนุษย์เท่านั้น แต่ความจริงแล้วสามารถใช้เลือดเนื้อของสัตว์อื่นทดแทนได้”

ดูเหมือนว่า ‘ผู้ไร้เลือด’ เจ้าของค่าหัวเจ็ดพันหกร้อยปอนด์จะโชคดีอย่างมาก ไม่เพียงกระโดดมาถึงลำดับ 6 ทันทีโดยปราศจากผลข้างเคียง แต่ยังโชคดีที่ได้เป็นลูกเรือของแคทลียา หากขาดปัญญาของหญิงสาวผู้ถูกความรู้ไล่ล่าช่วยนำทาง ต่อให้ฮีธ·ดอยล์ไม่ได้ยินเสียงกระซิบของพระผู้สร้างแท้จริง เขาก็จะเริ่มกินเนื้อมนุษย์ตามสัญชาตญาณ และลงเอยด้วยความวิปลาส…

เมื่อได้ทราบข้อมูลของเส้นทางคนเลี้ยงแกะมากขึ้น ไคลน์ก็ยิ่งมั่นใจว่าจากบรรดาทุกเส้นทางที่มันรู้จัก ไม่มีสายใดง่ายต่อการคลุ้มคลั่งหรือเป็นบ้ามากไปกว่าคนเลี้ยงแกะอีกแล้ว แม้แต่เส้นทางปีศาจที่ลำดับ 0 คือ ‘นรก’ ก็ยังเทียบไม่ติด

ไคลน์เบือนหน้าจากหญิงสาว เตรียมก้าวเข้าไปหาอะไรกิน แต่ทันใดนั้น เรือทั้งลำพลันเกิดภาวะหมุนเคว้งอย่างกะทันหัน

พร้อมกันนั้น ฉากนิมิตลางสังหรณ์รอบนาวาอนาคตกาลเริ่มผุดขึ้นในหัวไคลน์

ท่ามกลางท้องทะเลสีฟ้าคราม เรือใบลำใหญ่กำลังแล่นลงไปในหุบเหวลึก ดำดิ่งสู่ความมืดมิดอันเวิ้งว้างและไร้ก้นบึ้ง

ฉากตรงหน้าช่างงดงามและลุ้นระทึก ไคลน์อดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือดาวเคราะห์ดวงเดียวกับที่ตนกำลังอาศัยอยู่จริงหรือ

ฟ้าว—!

อนาคตกาลกำลังร่วงหล่นโดยไม่มีสิ่งใดยับยั้ง

โครม! โครม! โครม!

โจรสลัดทุกคนในห้องอาหารกำลังบินว่อน หลายคนกระแทกเพดานสูง บรรดาขนมปังปิ้ง ขนมปังขาว เนย ครีม เบียร์ ปลาทอด และอาหารชนิดอื่น ๆ ต่างลอยละลิ่วปลิวในทิศทางอันยุ่งเหยิง บางส่วนร่วงหล่นลงพื้นโดยทำได้เพียงแค่มอง

ไคลน์เองก็เสียสมดุล ลอยขึ้นไปหาเพดาน

แต่ชายหนุ่มจัดระเบียบร่างกายได้ว่องไว รีบเหยียดแขนขึ้นฟ้าเพื่อรับการกระแทกจากแผ่นเพดาน ช่วยให้ตัวเองไม่ตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชมากนัก

ห่างออกไปไม่ไกล นีน่าแสดงสมดุลอันน่าทึ่งให้ได้ประจักษ์ อาศัยแรงสะท้อนจากเพดาน ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ แต่เธอใช้ปลายเท้าถีบใส่แฟรงค์ ส่งผู้เชี่ยวชาญบินออกไปในแนวเฉียง กระแทกถังเบียร์จนแตก ของเหลวสีเหลืองอ่อนสาดกระเซ็นจนร่างกายชุ่มฉ่ำ

ถึงตรงนี้ คนที่รับมือได้อย่างสมบูรณ์แบบและสง่างามมีเพียงพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา หญิงสาวกำลังถูกรายล้อมด้วยดวงดาวพราวพราย ฝ่าเท้าลอยสูงจากพื้น มิได้รับผลกระทบใด จากความโกลาหล

ถ้าไม่นับเธอ ฮีธ·ดอยล์คือผู้ที่ประสบความน่าสมเพชน้อยที่สุด นักบวชกุหลาบเลือนหายไปในเงามืดโดยไม่มีใครพบเบาะแส

ขณะ ‘มอง’ อนาคตกาลกำลังดำดิ่งลงไปในหุบเหวแห่งความมืด ไคลน์เห็นกระแสน้ำพุปริศนาพุ่งสวนกลับขึ้นมาจากด้านล่าง

น้ำพุลึกลับดันท้องเรือจนลอยสูงขึ้นไปยังฟากอีกฝั่งของหุบเหวสีดำ

เมื่อเริ่มหายใจทั่วท้อง ไคลน์ยืนยันได้ว่าอนาคตกาลกำลังแล่นไปบน ‘ทะเล’ อย่างปลอดภัย เป็นอีกครั้งที่ยันต์เทพสมุทรในมือขวาไม่ถูกหยิบออกมาใช้งาน

ถึงตรงนี้ แสงแดดนอกหน้าต่างเริ่มสว่างจนแยงตา เผยให้เห็นสภาพอันยุ่งเหยิงของห้องอาหารภายในเรือ

ไคลน์ที่ทรงตัวได้รวดเร็ว รีบเดินไปยังหน้าต่างเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมด้านนอก ภาพแรกในการมองเห็นคือ มหาสมุทรสีทองอร่ามอันกว้างไกลไร้ขอบเขต เปรียบประหนึ่งทะเลเพลิงที่กำลังลุกโชน

สว่างยังกับเที่ยววัน!

แต่นี่เพิ่งจะตอนเช้า!

ไคลน์เงยหน้าขึ้น หรี่ตาลง จ้องแสงแดดอันอบอุ่นที่ปราศจากเมฆ ไม่มีดวงอาทิตย์

ท้องฟ้าด้านบนมีเพียงสีทองฉาบปกคลุม

กระจกวิเศษอาโรเดสถึงได้มอบนิยามเอาไว้ว่า ที่นี่มิใช่มหาสมุทรของจริง แต่เป็นมรดกตกค้างจากสงครามแห่งทวยเทพ…

กวาดตามองสักพัก ไคลน์เห็นซากปรักหักพังแห่งหนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลในแนวเฉียง

ตัวอาคารส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำทะเล เหนือลานกว้างเต็มไปด้วยก้อนหินและต้นเสาสีเทาขนาดใหญ่ คอยค้ำจุนสิ่งที่น่าจะเคยเป็นโดมสูง

ซากปรักหักพังแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล ไคลน์จ้องลงไปและเห็นผ่านน้ำทะเลใส พบว่าบริเวณลานกว้างทอดยาวไปตามก้นทะเลจนมองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุด

“ทะเลในแถบนี้อันตรายมาก” พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา เดินมายืนข้างไคลน์ตอนไหนไม่มีใครทราบ

ไคลน์หมุนศีรษะเล็กน้อย จ้องอีกฝ่าย รอให้เธออธิบายเพิ่มเติม

แคทลียามองตรง ถอนหายใจแผ่ว พลางกล่าวเสียงเรียบ

“ฉันเคยมาที่นี่ไม่บ่อยครั้ง และครั้งสุดท้ายก็ผ่านมานานมากแล้ว”

เธอพูดว่า ‘ฉัน’ ไม่ใช่ ‘เรา’ … หมายความว่าไม่ได้มากับกลุ่มโจรสลัดดวงดาว…

เธอเคยที่นี่มากับราชินีเงื่อนงำ?

ไคลน์พบความผิดปรกติในคำบอกเล่า จึงเริ่มคาดเดาอย่างคลุมเครือ

แคทลียาเบือนหน้ามาทางชายหนุ่ม มิได้สนใจทัศนียภาพดุจดังทะเลเพลิงด้านนอก

“ไม่มีใครเคยเห็นขอบเขตของทะเลแห่งนี้ ไม่มีใครทราบว่าพวกมันกว้างใหญ่แค่ไหน เกอร์มัน คุณรู้ไหม สิ่งใดอันตรายที่สุดที่นี่”

เราน่าจะถามอาโรเดสให้ละเอียด…

ไคลน์ส่ายหน้าสุขุม

เนื่องจากเคยเผชิญหน้ากับครึ่งเทพซึ่งเป็นบริวารของพระผู้สร้างแท้จริง และเอาตัวรอดมาได้อย่างฉิวเฉียดด้วยพลังลูกเต๋าความน่าจะเป็น ไคลน์จึงไม่ติดต่อกับอาโรเดสเลยตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ด้วยเกรงว่า ตนอาจถูกบริวารพระผู้สร้างแท้จริงในพื้นที่แถบเกาะโอลาวีตรวจพบ

แผนเดิมของไคลน์คือ รอให้เข้าใกล้น่านน้ำอันตราย และอาศัยนกกระเรียนกระดาษปรึกษากับอสรพิษแห่งชะตา วิล·อัสติน ให้อีกฝ่ายช่วยประเมินสถานการณ์จากสภาพแวดล้อมใกล้เคียง

แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เผชิญหน้ากับราชาอมตะกลางทาง อนาคตกาลจึงแล่นเข้าเขตน่านน้ำอันตรายก่อนกำหนด โดยไม่เปิดโอกาสให้เขียนข้อความถามถึงที่ปรึกษา

แคทลียาจ้องไคลน์ด้วยดวงตาสีม่วงเข้มซึ่งมีแว่นตาเลนส์หนาปกปิด

“น่านน้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและสัตว์ประหลาดจำนวนมาก รวมไปถึงครึ่งเทพที่คลุ้มคลั่งและสัตว์วิเศษโบราณ แต่นั่นยังไม่ใช่อันตรายสูงสุด เพราะหากมีเพียงอุปสรรคข้างต้น เจ็ดโบสถ์หลักคงส่งคนมาเก็บกวาดอย่างอิ่มหนำไปนานแล้ว ถึงที่นี่จะเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและครึ่งเทพคลุ้มคลั่ง แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่ของจริง แน่นอน พวกมันฆ่าเราได้ แต่ถ้าเราฆ่ามัน ตะกอนพลังจะไม่ปรากฏ ไม่มีสิ่งใดให้เก็บเกี่ยว”

ได้ยินถึงตรงนี้ ไคลน์พลันนึกถึงพลังของ ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล

ทุกเรื่องที่มหาราชามังกรคิด จะถูกเปลี่ยนให้เป็นความจริงเสมอ!

หรือว่า… น่านน้ำแถบนี้ทั้งหมดคือซากอารยธรรมจากสงครามทวยเทพในยุคสมัยที่สอง?

ไคลน์เกือบขมวดคิ้ว

พลเรือเอกดวงดาวเล่าต่อ

“หากเป็นที่นี่ คุณมิอาจคาดเดาได้ว่าตัวเองกำลังจะเผชิญกับสิ่งใด บางที เพียงเฉียดใกล้ซากปรักหักพังสักแห่ง ร่างกายของคุณจะละลายกลายเป็นซากขี้ผึ้ง หรือหากเดินเรือผิดแม้เพียงเล็กน้อย ร่างกายคุณก็อาจแข็งทื่อเป็นก้อนหินท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ และถูกสายลมพัดผ่านจนแตกกระจัดกระจาย สำหรับผู้วิเศษระดับเรา เหตุการณ์ข้างต้นคืออันตรายร้ายแรงที่สุด”

ไคลน์ซักถามอย่างสนใจ

“แล้วคนที่อยู่เหนือกว่าพวกเรา?”

แคทลียายิ้มพลางถอนหายใจ

“ทะเลแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงที่ไม่ควรได้ยิน ยิ่งมีลำดับสูง ยิ่งได้ยินง่าย เป็นสาเหตุให้ครึ่งเทพส่วนใหญ่เกิดความผิดปรกติขณะสำรวจ บางคนวิปลาส บางคนคลุ้มคลั่ง และถูกขังอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”

เป็นสาเหตุที่เจ็ดโบสถ์หลักถึงไม่ส่งครึ่งเทพเข้ามาเก็บเกี่ยว… หืม… เธอพูดว่า ‘ส่วนใหญ่’ หมายความว่ามีครึ่งเทพจำนวนหนึ่งสามารถสำรวจและดำรงชีวิตที่นี่ได้?

ไคลน์ครุ่นคิดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง

ถึงตรงนี้ ระยะห่างระหว่างอนาคตกาลและซากปรักหักพังตรงหน้า ลดลงจากเดิมมาก

ทันใดนั้น ทุกคนบนเรือพลันได้ยินเสียงหนึ่งอย่างกึกก้อง เป็นเสียงหายใจหอบของบางสิ่ง!

……………………