ราชันเร้นลับ 648 : กลางวันกลางคืน โดย Ink Stone_Fantasy
แฮ่ก! แฮ่ก!
เสียงหอบคำใหญ่บรรจงดังในโสตประสาทของไคลน์อย่างต่อเนื่อง แผ่นหลังเย็นวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน ร่างกายหนาวสั่นอย่างไร้เหตุผล แต่ถึงอย่างนั้น สัญชาตญาณต่างๆ กลับมิได้แจ้งเตือนถึงภัยอันตราย
ไม่ใช่แค่ไคลน์ แต่รวมถึงพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา ผู้เชี่ยวชาญพิษ·แฟรงค์·ลี และโจรสลัดคนอื่นต่างได้ยินเสียงหอบกันถ้วนหน้า
หลังจากจำแนกความแตกต่าง ไคลน์พบว่าเสียงหายใจที่คมชัดดังมาจากซากปรักหักพังด้านหน้าเรือ ต้นตออยู่ระหว่างสองยอดเสาหินที่ลอยเหนือน้ำทะเล
ในวินาทีนี้ ‘ผู้ไร้เลือด’ ฮีธ·ดอยล์ โผล่ออกจากเงามืดพร้อมกับใช้สองมือกุมหัว ลมหายใจสั่นกระเส่าด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“มีศพ… ตรงนั้นมีศพ!”
ศพ? เจ้าของเสียงหายใจหอบคือศพ?
สมองไคลน์พลันประมวลผลรวดเร็ว ทางด้านแคทลียารีบถอดแว่นตาหนาเตอะออกและหันไปมองทางซากปรักหักพัง สีหน้าหญิงสาวแปรเปลี่ยนจากดำมืดเป็นองอาจ ปากตะโกนออกคำสั่งกับโจรสลัดในห้องอาหาร
“เร็วเข้า! เร่งความเร็วอ้อมไป! อย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด!”
เสียงหญิงสาวดังกังวานประหนึ่งโลหะกระทบ ปลุกให้ทุกคนตื่นจากภวังค์แตกตื่น บรรดาลูกเรือต่างวิ่งออกจากห้องอาหารเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ภายใต้การนำของต้นหนอ็อตโตลอฟและสรั่งเรือนีน่า พวกมันรีบปรับใบเรือเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง ส่งผลให้ลำเรือแล่นออกจากซากปรักหักพังไปไกลลิบ
จนกระทั่งยอดเสาหินที่ซ้อนทับกันเลือนหายไปจากสายตา ‘ผู้ไร้เลือด’ ฮีธ·ดอลย์ลดมือลงด้วยสีหน้าคลายความเจ็บปวด
ไคลน์หรี่ตาลงเมื่อเห็นภาพดังกล่าว เนื่องจากเริ่มตระหนักว่า ‘บิชอปกุหลาบ’ ผู้ช่วยกัปตันแห่งอนาคตกาล มีความเสี่ยงสูงมากในภารกิจการเดินทางครั้งนี้
ข้ออนุมานข้างต้นมิได้เกิดจากเหตุผลที่อีกฝ่ายอยู่บนเส้นทาง ‘ผู้วิงวอนความลับ’ เพียงอย่างเดียว แต่ยังประเมินจากสิ่งที่พลเรือเอกดวงดาวเคยอธิบายไว้ รวบไปถึงท่าทีที่ฮีธ·ดอยล์แสดงออก
ในจังหวะเมื่อครู่ ทุกคนได้ยินเสียงหายใจหอบดังกังวานเหมือนกันหมด แต่มีเพียงฮีธ·ดอยล์เท่านั้นที่แสดงสีหน้าเจ็บปวด แถมยังทราบทันทีด้วยว่า ภายในซากปรักหักพังมีศพอยู่ การรีบตอบสนองอย่างทันทีทันใดของแคทลียาถือเป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องนี้ในทางอ้อม
กล่าวคือ แม้ฮีล·ดอยล์จะไม่เคยฟังเสียงเพรียกของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ มาก่อน แต่ก็ยังมีพลังของ ‘ผู้สดับ’ ติดตัว จึงมีโสตประสาทรับรู้สภาพแวดล้อมได้มากกว่าคนธรรมดาและผู้วิเศษลำดับต่ำหรือกลาง ส่งผลให้เวลาที่ได้ยินเสียงหอบในระยะใกล้ อาการของมันจะยิ่งกำเริบหนัก แต่ขณะเดียวกันก็ได้ทราบข้อมูลที่คนอื่นไม่ทราบ
สรุปก็คือ หากเป็นที่นี่ การเอาแต่หลีกเลี่ยงซากปรักหักพังไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา เคยระบุว่า ท้องทะเลแถบนี้เต็มไปด้วยเสียงที่สามารถทำให้ครึ่งเทพคลุ้มคลั่ง เป็นเสียงที่ไม่ควรได้ฟังด้วยประการทั้งปวง หากเมื่อไรที่ฮีธ·ดอลย์อยู่ในสภาพไม่พร้อม การได้ยินเสียงดังกล่าวแม้เพียงผิวเผินก็อาจนำพาไปสู่จุดจบ
แม้ลำดับ 6 อย่างบิชอปกุหลาบจะมีพลังในการได้ยินต่ำกว่าครึ่งเทพ แต่ก็คงด้อยกว่าไม่มากนัก เปรียบกับลูกเต๋าความน่าจะเป็น หากทอยได้หนึ่งหรือสองแต้ม ฮีธ·ดอยคงคลุ้มคลั่งทันทีที่ได้ยินเสียงอันไม่ควรได้ยิน… เราต้องเตือนมาดามเฮอร์มิท ไม่ว่าจะเธอจะเตรียมตัวรับมือไว้ดีแค่ไหนก็ตาม…
ขณะไคลน์เบือนสายตากลับ มันกับได้ยินเสียงคำรามของกระเพาะอาหารตัวเอง
ชายหนุ่มยังไม่ได้กินมื้อเช้า
กวาดตาไปรอบตัว มันเห็นเบียร์เย็นสาดกระเซ็นนองเต็มพื้น เนยถูกย่ำจนเปื้อนเปรอะ อาหารนานาชนิดจำพวกขนมปังปิ้ง ปลาทอด และขาวปังขาว ต่างกระจัดกระจายเต็มพื้นหรือไม่ก็แปะติดข้างฝาจนสกปรกเลอะเทอะ
ถ้าลอกชั้นนอกออกก็น่าจะยังพอกินได้อยู่… ไคลน์มองไปยังขนมปังก้อนหนึ่งที่วางเอนพิงขาโต๊ะอาหาร ภายในใจเกิดความลังเลว่าตนควรทำเช่นไร
นิสัยเช่นนี้ขัดแย้งกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์!
ขณะมันตัดสินใจรอกินอาหารกลางวันทีเดียว พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา หันไปออกคำสั่งกับพ่อครัว
“ช่วยเตรียมอาหารเช้าชุดใหม่ให้กับคนที่ยังไม่ได้กินด้วย… สำหรับเศษอาหารเหล่านี้ บางทีแฟรงค์อาจมีวิธีจัดการ”
เอาไปเลี้ยงสัตว์ประหลาดน่ะสิไม่ว่า… ไคลน์รำพัน
จากนั้นไม่นาน มันได้กินอาหารเช้าที่มิได้หรูหราเหมือนหนก่อน เป็นไส้กรอกหมูรมควันกับขนมปังปิ้งสองชิ้นที่ปิ้งจนผิวนอกกรอบ รวมถึงเบียร์รสอ่อนหนึ่งแก้วที่ปราศจากยาระงับประสาท ซึ่งไคลน์มองว่าไม่ต่างอะไรจากน้ำเปล่า
เนื่องจากกำลังเล่นผ่านน่านน้ำอันตรายที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ ไคลน์สำแดงฤทธิ์เดชของ ‘วิชากินไว’ ที่ฝึกมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย เพียงหนึ่งถึงสองนาทีก็จัดการอาหารเช้าจนราบคาบเกลี้ยงเกลา
เมื่อออกจากห้องอาหารโจรสลัดและกลับมายังดาดฟ้า มันเดินกึ่งย่อยอาหารกึ่งสำรวจสภาพแวดล้อมรอบลำเรือ
สำหรับปัจจุบัน ท้องทะเลยังคงถูกฉาบด้วยแสงอาทิตย์สีจางคล้ายยามเที่ยง
ไคลน์หยุดเดินและมองไปยังจุดห่างไกล จนกระทั่งพบจุดแสงแห่งหนึ่งซึ่งกำลังขยายขนาดขึ้น
ท่ามกลางแสงตะวันสาดทอ จุดแสงดังกล่าวสะท้อนกับสภาพแวดล้อมจนส่องประกายระยิบระยับและเต็มไปด้วยสีสันหลากหลาย ราวอัญมณีสีใสเม็ดใหญ่ก็มิปาน
ขณะอนาคตกาลกำลังแล่นไปด้านหน้า จุดแสงเริ่มเผยตัวตนที่แท้จริง
ในตอนแรก ประกายแสงแตกตัวและแยกห่างจากกัน ก่อนจะกลายเป็นเสาขนาดใหญ่จำนวนสี่ต้นที่สร้างจากเพชรบริสุทธิ์
ดูคล้ายกับหอคอยกลางทะเลในตำนาน สี่ต้นเสาทอดยาวลงไปใต้น้ำอย่างมั่นคงเพื่อรองรับเกาะลอยขนาดใหญ่ด้านบน
เหนือเกาะลอยดังกล่าว เม็ดดินมีสีดำสนิทปราศจากเศษเสี้ยวของความเขียว ลึกเข้าไปบนเกาะมีแสงสว่างที่เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงตะวันยามเที่ยงรอบนอก
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องดังลอยออกจากเกาะ
เป็นเสียงอันหนักหน่วงปราศจากการยับยั้ง แต่ก็มิได้มอบความรู้คุกคามหรือทำให้จิตใจไคลน์เกิดความสั่นคลอน
เพียงไม่นาน ไคลน์เริ่มได้ยินเสียงเท้าม้าตะกุยพื้น ก่อนจะเห็นอาชาทองคำสองตัววิ่งออกจากเกาะลอย ด้านหลังม้าทั้งสองเป็นราชรถสีทองอร่ามซึ่งงดงามไม่ต่างกัน
ในวินาทีนี้ พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ตะโกนด้วยเสียงที่ถูกขยายให้ทรงพลังขึ้น ใจความถูกถ่ายทอดไปยังทุกซอกมุมของอนาคตกาลอย่างถ้วนทั่วและรวดเร็ว
“ก้มศีรษะลง! ห้ามจ้องมอง!”
เมื่อเป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวกับชีวิต ไคลน์ไม่ใช่คนกล้าหาญอะไรนัก สัญชาตญาณสั่งให้ก้มศีรษะลงอย่างว่าง่าย ทัศนวิสัยปัจจุบันมีเพียงรองเท้าบูตหนังของตน
จากนั้นไม่นาน แสงแดดรอบดาดฟ้าเริ่มทวีความสว่าง ก่อนจะกลับไปเป็นแสงสีปรกติ
“ปลอดภัยแล้ว” แคทลียาส่งเสียงไปรอบลำเรืออีกครั้งโดยปราศจากความสั่นคลอนทางอารมณ์
ไคลน์เงยหน้าขึ้น และพบว่าม้าสีทองสองตัวกับราชรถอันงดงามถูกดึงหายกลับไปในเกาะลอย เหลือเพียงเสาเพชรที่ยังคงเด่นตระหง่านชูชันเกาะด้วยประกายแสงแพรวพราว
เป็นเพชรที่เม็ดใหญ่อะไรแบบนี้… เกาะลอยพิสดาร… จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ก้มหัวลงและยังคงจ้องราชรถทองคำต่อ? ไคลน์กวาดตามองซ้ายขวาเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้ว
โจรสลัดคนหนึ่งที่เคยยืนห่างจากมันราวเจ็ดถึงแปดเมตรเมื่อครู่ ยามนี้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา เหลือไว้เพียง ‘รอยเท้า’ แวววาวสองข้างในจุดที่เคยยืน
เมื่อชำเลืองเห็นเศษขี้เถ้าที่ลอยอยู่ในอากาศ ไคลน์ทราบทันทีว่า จุดจบของตนจะเป็นเช่นไรหากมิได้ก้มศีรษะลง
โชคยังดีที่พลเรือเอกดวงดาวเคยมาเยือนแล้วสองสามหน เธอทราบว่าสิ่งใดต้องแก้ปัญหาด้วยการหลีกเลี่ยง และสิ่งใดต้องแก้ด้วยการหมอบกราบ หากเราขึ้นเรือของแฮงแมนแทน แม้นั่นจะเป็นเรือผีสิง แต่ก็คงไม่แคล้วถูกทำลายอย่างง่ายดาย… ไม่สิ เป็นเพราะอนาคตกาลมาถึงที่หมายเร็วกว่ากำหนดต่างหาก เราจึงไม่มีเวลาเตรียมตัวอย่างเหมาะสม เช่นการตั้งคำถามกับวิล·อัสติน เพราะนักมายากลต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ… อีกอย่าง ถ้าเราจ้างมิสเตอร์แฮงแมน ก็คงไม่ลืมซื้อข้อมูลที่จำเป็นมาจากมาดามเฮอร์มิทอยู่ดี… ไคลน์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะรวบรวมสติ
มันมิได้เสนอให้เข้าไปสำรวจเกาะลอยตัว เพียงปล่อยอนาคตกาลแล่นผ่านออกไป
ตลอดช่วงเวลาที่เหลือ ท้องทะเลแห่งนี้คล้ายกับเป็นโลกภายนอก มีเพียงคลื่นน้ำอันราบเรียบ กว้างไกล และไร้ขอบเขต
ไคลน์มองเห็นแสงไฟเป็นระยะ แต่ก็ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตรอบลำเรือ ไม่มีแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์นางเงือกที่เป็นเป้าหมาย
จากวินาทีกลายเป็นนาที ถึงเวลาของอาหารกลางวัน
ขณะไคลน์เตรียมเดินจากดาดฟ้าเข้ามาในห้องอาหาร มันพบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวพลันแปรเปลี่ยนเป็นความมืด
ท้องฟ้ายามเที่ยงตรงเลือนหาย ถูกแทนที่ด้วยความดำสนิทโดยปราศจากเส้นแสง
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จนไคลน์เผลอคิดว่ามีใครแอบปิดไฟหรือไม่
ท่ามกลางความเงียบ ทุกซอกมุมของอนาคตกาลถูกครอบงำด้วยประกายดวงดาวหลายชั้น
เสียงคล้ายโลหะกระทบของแคทลียาดังกังวานในโสตประสาททุกคนอีกหน
“รีบกลับห้องของตัวเอง หามุมหลบและทำให้ตัวเองหลับ… จากนั้นก็รอให้ตื่นตามธรรมชาติ”
‘เจ้าแห่งพิษ’ แฟรงค์·ลี ซักถามด้วยเสียงสับสน
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่หลับ?”
เสียงโทนต่ำที่ค่อนข้างดังทำให้ภาพลักษณ์ของมันดูคล้ายหมีป่า
แคทลียาที่กำลังยืนด้านหลังกระจกห้องกัปตัน มอบคำตอบ
“เมื่อพวกเราตื่นขึ้น จะพบว่านายหายไปตลอดกาล”
กลางคืนที่นี่น่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียว? ไคลน์เริ่มสนใจ แต่ก็ไม่คิดฝ่าฝืนคำสั่งการนอน
เมื่อกลับถึงห้อง อาศัยแสงไฟภายในอนาคตกาลที่ยังไม่ดับสนิท ชายหนุ่มคลี่นกกระเรียนกระดาษพร้อมกับลงมือเขียนด้วยดินสอ
“ต้องระวังอันตรายใดบนน่านน้ำสุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนียบ้าง แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะหานางเงือกพบ?”
ไคลน์เก็บดินสอและพับนกกระเรียนกระดาษกลับ โดยมิได้ถอดเสื้อโค้ท ชายหนุ่มเอนตัวนอนลงบนเตียง และหลับสนิทภายใต้อำนาจของการเข้าฌาน
ท่ามกลางโลกสีเทา มันสะดุ้งตื่นพร้อมกับกระจ่างว่าตนกำลังฝัน
ไม่มีคนบุกรุก… ไคลน์มองไปรอบตัวและพบว่าตนกำลังอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะด้านหลัง ซ้าย หรือขวา ทุกทิศรายล้อมด้วยอาคารทรงศาสนาสีดำทึบ ด้านหน้าเป็นต้นไม้สีเหลืองเหี่ยวเฉากับหินก้อนใหญ่ยกสูง
ในจุดเหนือก้อนหิน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังนั่งตามลำพังโดยใช้มือวางชันบนเข่า เธอโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย สายตาเพ่งไปยังภูเขาฝั่งตรงข้าม
หญิงสาวยังคงสวมชุดคลุมสีดำทรงโบราณที่แฝงกลิ่นอายความลึกลับ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังสับสนจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก
ณ ปัจจุบัน เธอไม่ขยับเขยื้อนร่างกายจนดูคล้ายรูปปั้นหิน
ทำไมหล่อนถึงอยู่ในความฝันของเรา? ไคลน์ก้าวไปข้างหน้า ออกแรงกระโดดขึ้นไปบนหิน
แต่ก่อนจะได้เปิดปากถาม ฉากอันกว้างใหญ่ตรงหน้าพลันสร้างความตกตะลึงให้ชายหนุ่ม คล้ายกับร่างกายและจิตใต้สำนึกถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วง
ด้านหน้าของก้อนหินใหญ่คือผาไร้ก้น ฝั่งตรงข้ามเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยพระราชวัง ยอดแหลมของหอคอย และกำแพงเมืองสูงตระหง่าน
สิ่งปลูกสร้างทุกชนิดล้วนงดงามหรูหรา เรียงรายเป็นทิวแถว โดยทั้งหมดมีขนาดมหึมาจนดูไม่เหมือนกับถิ่นอาศัยของมนุษย์ เมื่อนำทุกปัจจัยประกอบเข้าด้วยกัน มันจะดูคล้ายกับสถาปัตยกรรมสุดมหัศจรรย์ตามตำนานปรัมปรา
ดวงอาทิตย์ลอยห่างออกไปไกล แผ่แสงหลากหลายระยิบระยับเหนือเมืองฝั่งตรงข้าม แสงทุกเส้นงดงามและสงบนิ่งคล้ายกับถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์
“นี่คือความฝันร่วมกันของเราทุกคน…” แคทลียายังคงนั่งในท่าชันเข่า พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงล่องลอยชวนฝัน
……………………