หลังจากร่ำลากันเสร็จ คยอกรังที่ถูกผูกจดหมายไว้ที่ขาอย่างแน่นก็บินวนรอบๆท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วจึงบินไปยังบ้านของมหาเสนาบดี หลังจากที่ทั้งสองคนออกไป ฮอนจึงเหลืออยู่ในห้องเพียงลำพัง เขาเอาจดหมายของรยูฮาที่เก็บถนอมไว้ในหน้าอกออกมากางแทนที่จะล้มตัวลงนอนบนเตียง ภายในนั้นไม่มีข้อความอะไรถูกเขียนอยู่เลย มีเพียงแค่ ‘ฮอน’ ซึ่งเป็นชื่อผู้รับเท่านั้น 

 

 

แต่ฮอนกลับชอบจดหมายว่างเปล่าที่อย่าว่าแต่จะบอกคิดถึงหรือบอกรักเลย แค่ถามว่าสุขภาพร่างกายเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่มีนั้นเป็นอย่างมากเพราะสมกับเป็นรยูฮาดี ตัวอักษรเพียงหนึ่งตัวนี้คือเสียงของรยูฮาที่เรียกเขาและคือความรู้สึกของนางที่ถูกบรรจุไว้จนเต็มเปี่ยม ฮอนไม่กล้าแม้แต่จะจับเพราะกลัวหมึกจะเลือน ได้แต่จ้องมองอยู่อย่างนั้น แต่อยู่ๆ ก็พับมันอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ ใส่ลงไปในอก ยอนฮวากำลังเรียกเขาจากด้านนอก 

 

 

“ฝ่าบาท ยอนฮวาเองเพคะ” 

 

 

“เข้ามาสิ” 

 

 

ยอนฮวาโค้งคำนับอย่างนุ่มนวลแล้วเข้ามาในห้อง ในโต๊ะสำรับที่นางยกมามีถ้วยชาสองใบ รวมถึงอุปกรณ์ชงชาถูกวางไว้อย่างสวยงาม 

 

 

“หม่อมฉันจะขอดื่มชาร่วมกับฝ่าบาทได้ไหมเพคะ” 

 

 

“อืม ข้ากำลังคอแห้งอยู่พอดี ได้อยู่แล้ว มานั่งตรงนี้สิ” 

 

 

คำชมของฮอนทำให้แก้มของยอนฮวาเป็นสีแดงระเรื่อ ในขณะที่ยอนฮวากำลังรินชา ฮอนก็มองดูมือนั้นพร้อมกับจมอยู่ในความคิด ต่อมายอนฮารินชาสีสวยลงในถ้วยชาทั้งสองใบ แล้วจึงวางไว้ข้างหน้าฮอนหนึ่งและข้างหน้าตัวเองหนึ่ง 

 

 

“มีเรื่องจะพูดสินะ” 

 

 

เสียงนุ่มนวลลดต่ำลงบนถ้วยชาอุ่น 

 

 

“หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องฝ่าบาทจึงกระทำสิ่งที่ไร้มารยาทเช่นนี้เพคะ” 

 

 

“บอกมาสิ ข้าจะรับฟังทุกอย่าง” 

 

 

อย่าร้องไห้นะ อย่าร้องไห้ คำพูดที่ยอนฮวาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายสิบรอบในใจกลายเป็นน้ำตาหนึ่งหยดใหญ่ๆ ร่วงลงไปผสมกับน้ำชาอย่างน่าอับอาย 

 

 

“ได้โปรดให้หม่อมฉันออกไปข้างนอกพระราชวังด้วยเถิดเพคะ หากทรงพระราชทานอนุญาต หม่อมฉันต้องการที่จะลงภูเขาไปในเช้าวันพรุ่งนี้เลยเพคะ” 

 

 

นี่คือการตัดสินใจของยอนฮวา แน่นอนว่าหากกลับไปยังพระราชวัง นางก็จะถูกแต่งตั้งเป็นนางสนม เพราะรยูฮาให้คำมั่นไว้เช่นนั้น ซึ่งนั่นคือตำแหน่งที่นางในทุกคนที่ปรนนิบัติคนอื่นมาทั้งชีวิตต่างเฝ้าฝันถึง 

 

 

แต่ในวันที่หิมะสีขาวปกคลุมโลกราวกับผ้าห่ม ฮอนซึ่งฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาเจียนเป็นเลือดสีดำเรียกเพียงแค่ชื่อของรยูฮาอย่างเดียวจนหมดสติไปอีกครั้ง ไม่มีช่องว่างให้ยอนฮวาแทรกเข้าไปได้แม้แต่ปลายเข็ม ดังนั้นยอนฮวาจึงตัดสินใจที่จะจากไปพร้อมกับเก็บความทรงจำของที่นี่ซึ่งงดงามที่สุดตั้งแต่เกิดมาเอาไว้ 

 

 

“เจ้าต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือ” 

 

 

“แม้จะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง…แต่หม่อมฉันมีใจให้ฝ่าบาทเพคะ” 

 

 

น้ำตาร่วงลงมาพร้อมกับเสียงที่ขาดๆ หายๆ หัวใจที่จะต้องแยกจากกับฝ่าบาทผู้ซึ่งรักและถวิลหาเป็นคนแรกของชีวิตและพระชายาผู้ซึ่งมอบความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดให้กับตัวเองเป็นคนแรกของชีวิตนั้นแหลกสลาย ยอนฮวาล้มเลิกที่จะพูดอะไรต่อและลุกขึ้นจากที่นั่ง 

 

 

“ยอนฮวา” 

 

 

เสียงเรียกนั้นรั้งข้อเท้าของยอนฮวาที่กำลังจะเดินตรงไปที่ประตูเอาไว้ ตัวของยอนฮวาที่โค้งคำนับอย่างมีมารยาทซึ่งติดเป็นนิสัยและหันหลังกลับไปถูกโอบกอดด้วยอกกว้าง 

 

 

“เจ้าลำบากมามากเลยนะ รยูฮากับข้ารักและห่วงใยเจ้าราวกับน้องสาว ตอนนี้ได้ออกไปยังโลกภายนอกแล้วก็จงทำสิ่งที่เจ้าอยากทำและแบ่งปันความรักกับชายหนุ่มที่รักเจ้าเพียงคนเดียวเถอะนะ” 

 

 

ฮอนตบไหล่ของยอนฮวาที่ขยับขึ้นลงเบาๆ และหยิบกระดาษกับพู่กันออกมา ครืดๆ เสียงฝนหมึกทำให้ยอนฮวาใจเย็นลง ฮอนเขียนชื่อตัวเองกับตัวอักษรที่เรียบร้อยเหมือนกับเขาลงบนกระดาษ จากนั้นจึงรอให้แห้งแล้วพับกระดาษแผ่นนั้น 

 

 

“เก็บสิ่งนี้ไว้ เอามันให้ทหารเฝ้าประตูดูและมาหาพวกเราได้ทุกเมื่อ เพราะพระราชวังคือบ้านของเจ้า และข้าก็เป็นพี่ชายของเจ้าอย่างไรเล่า” 

 

 

วันต่อมา ยอนฮวาจากไปก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น โฮจินยิ้มอย่างขมขื่นแล้วถามขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ต้องอดข้าวหรือขอรับ” แล้วจึงถูกฮาแบคตีหน้าผาก ฮอนมองรอยเท้าเล็กๆ ที่ถูกประทับไว้ตรงลานหน้าบ้านพร้อมกับภาวนาให้น้องสาวผู้ซุ่มซ่ามและขี้แยคนนี้ออกไปจากพระราชวังอย่างมีความสุข 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“ข้าบอกให้ไปเรียกพระสนมซอมา” 

 

 

เมื่อชานพูดซ้ำๆ ด้วยเสียงต่ำ ขันทีที่ตกใจกลัวจึงก้มหัวที่ก้มต่ำอยู่แล้วลงไปต่ำกว่าเดิม 

 

 

“ฝ่าบาททรงต้องเตรียมตัวสำหรับพิธีราชาภิเษกตั้งแต่รุ่งสางนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เดี๋ยวนี้” 

 

 

แม้จะพยายามห้ามเท่าไหร่ก็ยังคงฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ขันทีจึงคิดว่ารีบไปเรียกมาน่าจะดีกว่าจึงออกจากวังจงซูและวิ่งไปยังห้องนอนของซอยางเจ ในตอนที่มาถึงห้องนอนจึงเห็นว่านางกำลังจ้องมองแสงไฟในตะเกียงซึ่งสั่นไหวอยู่โดยที่แต่งตัวแล้วเรียบร้อยราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าองค์รัชทายาทจะทรงเรียก 

 

 

“พระสนม องค์รัชทายาททรง…” 

 

 

ขันทีถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยเพราะสายตาที่เหลือบมองมา แววตานั้นที่เหมาะกับทหารหรือนักฆ่ามากกว่านางสนม เห็นทีไรก็ยังไม่ชิน ฝ่าบาททรงชอบผู้หญิงแบบนั้นตรงไหนกันนะถึงได้เรียกหาทุกวัน ขันทีคิดเช่นนั้นและพามินอาที่ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ไปยังวังจงซู 

 

 

“ทุกคนกรุณาถอยไปห่างๆ ด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

มินอาเดินไปตามโถงทางเดินมืดสนิทเพียงลำพังหลังจากบอกให้ทุกคนออกไปจากรอบๆ ห้องบรรทม ในใจของนางนั้นได้แต่หวังว่าทางเดินนี้จะไม่มีจุดสิ้นสุดตลอดไป แต่ไม่นานนักชายชุดที่ระพื้นจนเกิดเสียงดังซวบซาบก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องที่ชานอยู่ ต่างจากที่หวังไว้อย่างสิ้นเชิง  

 

 

“ฝ่าบาท” 

 

 

“เข้ามาสิ” 

 

 

ท่าทางของมินอาที่เข้ามาในห้องแล้วโค้งคำนับอย่างมีมารยาทดูแปลกตาเหมือนเป็นสิ่งแปลกใหม่ ชานเท้าคางด้วยมือข้างหนึ่งมองนางพลางโบกมือให้นั่งลงฝั่งตรงข้ามของตัวเอง มินอาจะไม่เปิดปากพูดถ้าไม่เริ่มชวนคุยก่อนและจะไม่มองเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ชานก็รู้สึกสบายใจ เขารู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวและรู้สึกเหมือนอยู่ด้วยกันไปพร้อมๆ กัน 

 

 

“ถ้าเจ้าชนะก็คงจะดี” 

 

 

หลังจากเงียบสักพัก เสียงของชานก็ทำให้แสงไฟในตะเกียงสั่นไหวเล็กน้อย 

 

 

“ทรงหมายถึงอะไรหรือเพคะ” 

 

 

“ตอนที่เจ้าเคยท้าพนันเมื่อก่อนไง เจ้าขอให้ข้าหักห้ามใจจากพระชายาหากเจ้าชนะ” 

 

 

ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา แต่ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือคำตอบ พอนึกย้อนกลับไปดูแล้ว การเดินทางซึ่งออกเดินทางตอนฤดูใบไม้ผลิและกลับมาตอนต้นฤดูหนาวในครั้งนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดสำหรับชานที่โดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่เสมอ ช่วงเวลาในตอนนั้นที่ได้ขี่ม้าได้ตามใจชอบไม่ว่าจะเป็นรุ่งสางหรือกลางดึกและมีชายเสื้อสีขาวของรยูฮาปลิวไสวจากข้างหน้า 

 

 

“ในตอนนั้นเจ้าควรที่จะชนะ ถ้าข้าได้ฝืนหักห้ามใจ พรุ่งนี้ก็คงจะเป็นพิธีราชาภิเษกของฮอน และอาจจะ…” 

 

 

“มันไม่มีคำว่า ‘อาจจะ’ หรอกเพคะ” 

 

 

สายตาของมินอาที่มองตรงไปยังที่ไกลๆ หันกลับมามองชาน 

 

 

“ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะชนะฝ่าบาทในตอนนั้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเพคะ เพราะหัวใจของคนเรานั้นอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์เพคะ” 

 

 

“แล้วเจ้าทำอย่างไรเล่า” 

 

 

สายตาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองตรงไปยังเงาที่อยู่บนผนังด้านหลังของชานอีกครั้ง 

 

 

“ข้าหมายถึงเจ้าทำอย่างไร ในขณะที่ข้าชอบพระชายา เจ้าก็แค่นั่งอยู่เฉยๆ แบบนั้นน่ะหรือ” 

 

 

“อย่างที่หม่อมฉันเคยบอกไปแล้วเมื่อก่อน เป็นความจริงที่หม่อมฉันเคยชอบฝ่าบาทในช่วงเวลาสั้นๆ แต่หม่อมฉันตัดใจไปนานแล้วเพคะ ตอนนี้อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยเพคะ” 

 

 

“ช่างอวดดีจริงๆ” 

 

 

ชานหัวเราะออกมาเบาๆ จะมีนางสนมคนไหนในโลกนี้อีกที่หยิ่งผยองและบอกว่าไม่ชอบต่อหน้าองค์รัชทายาทแบบนี้ แต่มินอาก็ถอดชุดผ้าฝ้ายออกและสวมชุดผ้าไหม หากทำให้เขาพึงพอใจได้ บางทีชานก็อาจจะไม่ตามหานางอีก ท่ามกลางท่าทีของทุกคนที่ปฏิบัติต่อเขาเปลี่ยนไปหลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนไป มีเพียงแค่หญิงสาวจอมหยิ่งผยองที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เท่านั้น 

 

 

“โชคดีที่มีเจ้าอยู่ด้วย” 

 

 

โชคดี และยังโชคดีที่แสงไฟในตะเกียงสั่นไหวด้วยการไหลเวียนของอากาศเล็กน้อยด้วย มิเช่นนั้นชานก็คงจะมองเห็นดวงตาที่สั่นเครือเป็นแน่ มินอาไม่อยากเพิ่มความเจ็บปวดหรือความรู้สึกผิดให้แก่เขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม 

 

 

“เข้านอนกันเถอะ วันนี้เจ้านอนที่นี่นะ” 

 

 

“แต่ว่าตั้งแต่เช้ามืดพรุ่งนี้…” 

 

 

“พิธีราชาภิเษก ยิ่งเป็นเช่นนั้นก็ต้องรีบเข้านอน”