ตอนที่ 35-2

จารใจรัก

เดินทางไปได้ราวสามลี้ ทันใดนั้นเสียงประหลาดก็ดังขึ้น 

 

           เซี่ยฟางหวาลอบฟังอย่างถี่ถ้วน ก่อนมีสีหน้าเปลี่ยนไป รีบเลิกม่านแล้วสั่งงานอวี้จั๋ว “หยุดรถ” 

 

           “มีอะไรหรือพี่สะใภ้” อวี้จั๋วตัวสั่น รีบดึงบังเหยียนแล้วหันมามองเซี่ยฟางหวา 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ มองไปยังที่ราบซึ่งโอบล้อมด้วยภูเขาเบื้องหน้า เพ่งสมาธิพักหนึ่งก็เอ่ยถามหลี่มู่ชิง “เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่” 

 

           “คล้ายเป็นเสียงหมาป่า” ในตอนนี้หลี่มู่ชิงก็มองไปยังจุดนั้นเช่นกัน สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา 

 

           “หากเจ้าก็ได้ยินเหมือนกัน เช่นนั้นข้าคงไม่ได้หูฝาด ไม่ใช่แค่เสียงหมาป่า แต่เป็นเสียงของฝูงหมาป่า” เซี่ยฟางหวากดดันขึ้นมาทันที  

 

           “มีฝูงหมาป่าปรากฏขึ้นในรัศมีร้อยลี้จากเมืองหลวงได้อย่างไร” หานซู่ตกใจ 

 

           เขาเพิ่งเอ่ยจบ ทันใดนั้นหมาป่าตัวหนึ่งก็ส่งเสียงหอนขึ้นมาจากจุดนั้น ตามมาด้วยเสียงหมาป่าตัวอื่นๆ หอนรับตามกันทีละเสียง หลังจากนั้นหมาป่าตัวแล้วตัวเล่าก็ปรากฏขึ้นจำนวนราวหลายร้อยตัว เงาตะคุ่มกระจุกตัวท่ามกลางฝนตกหนัก 

 

           ทันทีที่ฝูงหมาป่าปรากฏตัวขึ้น แม้ระยะห่างค่อนข้างไกล แต่ก็ทำเอาม้าตัวสั่นด้วยความตื่นกลัว ยกขาถีบอย่างเสียการควบคุม 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อหน้าซีดทันที พวกนางเข้าคุ้มครองเซี่ยฟางหวาขนาบซ้ายขวา “คุณหนู ทำเช่นไรดีเล่า เรารีบหนีกันเถิด” 

 

           “หนี จะหนีหมาป่าพ้นหรือ” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเงียบลงทันที 

 

           “หมาป่ากลัวไฟ เร็วเข้า รีบจุดคบเพลิง” หานซู่ตะโกนเสียงดัง 

 

           “ใต้เท้าหาน ตอนนี้ฝนตกหนักมาก ถึงแม้เรากางร่มจุดคบเพลิงได้ แต่คบเพลิงก็ถูกลมพัดอยู่ดี ทั้งลมทั้งฝนแบบนี้คงดับคบเพลิงอย่างรวดเร็ว นี่ไม่เหมือนกับตอนจุดดินปืนเมื่อครู่ ขอเพียงหมาป่ากรูเข้าล้อม คบเพลิงคงต้านได้ไม่นาน” หลี่มู่ชิงกล่าวขึ้น 

 

           “แล้ว…แล้วจะทำเช่นไรเล่า…” หานซู่ออกแรงดึงบังเ**ยน ม้าที่เขาขี่อยู่ไม่ฟังการควบคุม หมายจะวิ่งหนีไปให้ได้ 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก 

 

           “พี่สะใภ้ ข้าเคยฝึกภาษาหมาป่า ใช้ควบคุมหมาป่าได้ แต่ข้าไม่เคยควบคุมหมาป่าจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าจะควบคุมพวกมันได้หรือไม่…” อวี้จั๋วพลันกระซิบขึ้น  

 

           เซี่ยฟางหวาเดิมกำลังนึกหาวิธีก็ล้มเลิกความคิดทันที เอ่ยบอกเขา “เจ้าเคยเรียนมาย่อมดีมาก จะหมาป่าตัวเดียวหรือทั้งฝูงก็ไม่แตกต่าง” พูดจบก็กล่าวต่อ “เจ้าเริ่มตอนนี้เลย หาจ่าฝูงให้เจอ ควบคุมจ่าฝูงให้ได้ ขอเพียงควบคุมมันได้ ตัวอื่นๆ ก็จะไม่โจมตีพวกเรา” 

 

           อวี้จั๋วพยักหน้า ทิ้งเชือกบังเ**ยนแล้วลุกขึ้นยืน เลียนแบบเสียงหอนตามภาษาหมาป่า 

 

           หมาป่าตัวที่เดิมทีกำลังจะจู่โจมเข้ามาก็ชะงักในฉับพลัน 

 

           “ได้ผล อวี้จั๋ว” ซื่อฮว่าดีใจ 

 

           อวี้จั๋วคำรามเสียงดังอีกครั้ง 

 

           หมาป่าที่ฝ่าสายฝนมาหยุดชะงักเพียงชั่วคราว ทว่าเพียงครู่เดียวก็กรูกันเข้ามาหาอีกครั้ง 

 

           อวี้จั๋วคำรามขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ยอมหยุดพัก 

 

           ทว่าเพียงพริบตาเดียว ฝูงหมาป่าก็กรูกันเข้ามาหาพวกเซี่ยฟางหวาโดยเหลืออีกไม่ถึงสิบจั้งแล้ว 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อชักกระบี่ออกมาคุ้มครองเซี่ยฟางหวา 

 

           หานซู่ตกใจจนหน้าซีดเหลือง หลี่มู่ชิงเองก็ดึงดาบออกมาคุ้มครองหานซู่ 

 

           ชิงเกอนำกำลังคนหลายสิบคนปรากฏตัวขึ้นท้ายรถม้าอย่างเงียบเชียบ ทุกคนล้วนมีใบหน้าเคร่งขรึม พร้อมเข้าโจมตีทุกเมื่อ 

 

           อวี้จั๋วพลันเปลี่ยนเสียงคำราม ส่งเสียงแหลมประหลาดขึ้น ฝูงหมาป่าหยุดชะงักโดยพร้อมเพียงกันทันที หมาป่าตัวผู้ที่นำหน้าสะบัดขนบนตัว แยกเขี้ยวเผยให้เห็นฟันแหลมคม ดวงตาคู่นั้นส่องแสงสีเขียวจ้องมายัง 

 

อวี้จั๋วท่ามกลางสายฝน 

 

           อวี้จั๋วยกมือแล้วทำท่าไล่ออกไปอย่างมั่นคง พร้อมเอ่ยเชื่องช้า “ถอยไป ถอย…” 

 

           หมาป่าตัวผู้ยืนนิ่งไม่ไหวติง ฝูงหมาป่าข้างหลังก็เช่นกัน 

 

           อวี้จั๋วจ้องหมาป่าตัวนั้นด้วยแววตาดุดัน ฝ่ามือยังคงทำท่าทางไล่ออกไปดังเดิม ปากก็พร่ำบอกให้ถอยไปไม่หยุด 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง หมาป่าตัวผู้ก็ขยับตัว ทว่ามันไม่ได้ถอยกลับไป หากแต่ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง 

 

           “ถอย!” อวี้จั๋วตะโกนขึ้น สายตาของเขาดุดันพอๆ กับแววตาของจ่าฝูง 

 

           หมาป่าตัวผู้หยุดอีกครั้ง หัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ หางสะบัดอย่างแรง แววตาหมาป่าเผยท่าทีขัดขืน 

 

           “ถอย!” อวี้จั๋วตะโกนขึ้นอีกครั้ง 

 

           หมาป่าตัวผู้พลันก้าวขึ้นมาอีกก้าวหนึ่งก่อนหยุดลงอย่างรวดเร็ว จู่ๆ มันก็ยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้น สองขาหลังอยู่ที่เดิม ยกตัวตั้งขึ้นมากลายเป็นท่าทางเตรียมตะครุบเหยื่อ 

 

           อวี้จั๋วหน้าซีดคล้ายคุมไม่อยู่แล้ว 

 

           “อย่าหยุด บอกมันถอยไป” เซี่ยฟางหวาเอ่ยเสียงทุ้ม 

 

           “ถอย!” อวี้จั๋วตะโกนขึ้นอีกหน 

 

           หมาป่าตัวผู้ขนตั้งชัน ทั้งสะบัดอย่างแรง ทันใดนั้นก็หันหลังแล้วหอนขึ้นมา ฝูงหมาป่าที่เหลือหันหลังตาม ก่อนพากันย้อนกลับไปยังจุดที่จากมา 

 

           หานซู่เห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจโล่งอก ฟุบตัวลงกับหลังม้าอย่างอ่อนแรง 

 

           หลี่มู่ชิงก็โล่งอกเช่นกัน เก็บกระบี่ไว้ข้างเอวดังเดิม 

 

           อวี้จั๋วขาอ่อน กระโดดขึ้นมานั่งบนรถม้า 

 

           ม้าที่เคยถีบขากลางอากาศก็สงบลงแล้วเช่นกัน 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อผละออกจากเซี่ยฟางหวา เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ “คุณหนู อวี้จั๋วทำสำเร็จแล้ว ฝูงหมาป่ากลับไปแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ” 

 

           เซี่ยฟางหวานั่งนิง มองไปยังทางที่หมาป่าวิ่งกลับไป 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อผินหน้ามองนาง พบว่าสายตานางราวกับมองไปยังทางที่หมาป่ากลับไป ทั้งราวกับไม่ได้มองอยู่ ร่างกายแม้กำลังนั่ง ทว่าแข็งทื่ออย่างยิ่ง ใบหน้าติดซีดขาวเล็กน้อย 

 

           “คุณหนู” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนเอ่ยเรียก 

 

           เซี่ยฟางหวาเรียกสติคืนมา ลูกตาดำรวบรวมสมาธิเชื่องช้า ร่างกายพลันสั่นระริกขึ้นเล็กน้อย 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหน้ากันอีกครั้งด้วยความแปลกใจอย่างยิ่ง คุณหนูไม่คล้ายกับกลัวฝูงหมาป่า ระหว่างเกิดเรื่องก็นิ่งสงบมาก เมื่อครู่ยังบอกให้อวี้จั๋วอย่าหยุด ทว่าเหตุใดเมื่อฝูงหมาป่ากลับไปแล้วถึงได้เป็นเช่นนี้ ทันใดนั้นก็กังวลใจ เอ่ยเรียกนางอีกครั้ง “คุณหนู” 

 

           เซี่ยฟางหวาก้มหน้าลงเชื่องช้า เงียบลงพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็สงบลงก่อนสั่งงานขึ้น “ไปสืบดูว่าเหตุใดถึงมีฝูงหมาป่าได้ ไม่เพียงแค่ระยะทางจากเมืองหลวงมาค่ายใหญ่เขาตะวันตกสามสิบลี้ แต่ในรัศมีห้าสิบลี้ก็ตรวจสอบดูด้วย ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน จะต้องเจอสิ่งใดบ้างเป็นแน่” 

 

           “ขอรับ” ชิงเกอขานรับ ยกมือให้สัญญาณแล้วนำกำลังคนกลับไป 

 

           เซี่ยฟางหวามองอวี้จั๋วแวบหนึ่ง พบว่าใบหน้าเขาซีดขาว เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เปียกโชก นางจึงเอ่ยบอกซื่อฮว่ากับซื่อม่อ “พวกเจ้าไปขับรถแทน” หลังจากนั้นก็กล่าวขึ้นอีก “อวี้จั๋วเข้ามาข้างใน” 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นว่านางไม่เป็นไรแล้วจึงออกมาจากตัวรถม้า พบว่าอวี้จั๋วยังฟุบอยู่ที่หน้ารถจึงผลักเขาเข้าไปข้างใน 

 

           เซี่ยฟางหวายื่นมือไปจับข้อมืออวี้จั๋ว 

 

           “พี่สะใภ้” อวี้จั๋วสะดุ้งโหยง 

 

           “อย่าขยับ ข้าจะใช้พลังอบเสื้อผ้าให้ หากยังเปียกแบบนี้จะเป็นไข้เอา” เซี่ยฟางหวาบอก 

 

           อวี้จั๋วพยักหน้า 

 

           เซี่ยฟางหวาใช้พลังเพียงครู่เดียว เสื้อผ้าที่เคยเปียกชุ่มของอวี้จั๋วก็ค่อยๆ ถูกนางอบให้จนแห้ง เมื่อแห้งจนทั่วแล้วนางก็ปล่อยมือลงแล้วเอ่ยถาม “ใครสอนวิชาคุมหมาป่าให้เจ้า” 

 

           “ข้าเรียนเอง” อวี้จั๋วตอบ 

 

           “หืม” เซี่ยฟางหวามองเขา 

 

           “ข้าเรียนเองจริงๆ” อวี้จั๋วเกาศีรษะ “ข้าเคยอ่านบันทึกหมาป่า ในนั้นเขียนวิชาคุมหมาป่าไว้ ข้าจึงจับหมาป่าตัวหนึ่งมาลองฝึกดู ต่อมาพบว่าควบคุมมันได้จริงๆ จึงลองจับหมาป่ามาเพิ่มเพื่อฝึกดู แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องควบคุมหมาป่าหลายร้อยตัว เกือบเอาไม่อยู่แล้ว” 

 

           “บันทึกหมาป่า…” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก “บันทึกหมาป่าเป็นเช่นไร เจ้าจำได้หรือไม่ ลองบอกข้ามา” 

 

           “พี่สะใภ้ เจ้าสนใจอยากคุมหมาป่าบ้างหรือ” อวี้จั๋วกะพริบตาปริบ 

 

           แววตาของเซี่ยฟางหวาวูบไหวครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ 

 

           อวี้จั๋วรีบบอกนางทันที “บันทึกหมาป่าบันทึกไว้ว่า…” 

 

           เซี่ยฟางหวาฟังเงียบๆ 

 

           ผ่านไปสองถ้วยชาอวี้จั๋วก็หยุดลง มองเซี่ยฟางหวาแล้วหยั่งเชิงถาม “พี่สะใภ้ หากท่านอยากเรียน ข้าสอนให้ได้” 

 

           “หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ บันทึกหมาป่าที่เจ้าว่าคงเป็นเพียงผ้าไหมชิ้นหนึ่งเท่านั้น” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ  

 

           “ท่านเดาออกได้อย่างไร” อวี้จั๋วเบิกตากว้าง 

 

           เซี่ยฟางหวาพิงผนังรถ ไม่ตอบคำถาม 

 

           “พี่สะใภ้ ท่าน…ไม่เป็นไรใช่ไหม รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่” อวี้จั๋วมองนาง พบว่านางผิดปกติไปเล็กน้อยจึงถามเสียงเบา  

 

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ผ้าไหมบันทึกหมาป่าที่เจ้าว่ายังอยู่หรือไม่” 

 

           “อยู่ แต่ข้าไม่ได้นำมันมาด้วย อยู่ที่บ้านในเมืองผิงหยางโน่น” อวี้จั๋วพยักหน้า 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบลงอีกครั้ง 

 

           อวี้จั๋วมองนางด้วยสีหน้าเป็นกังวล 

 

           ผ่านไปครู่หนึ่งเซี่ยฟางหวาก็ถามอีก “เจ้าได้บันทึกหมาป่ามาจากที่ใด” 

 

           “หลายปีก่อน ท่านพี่มาที่เมืองผิงหยาง ข้าขอให้เขาช่วยสอนวิทยายุทธ์ที่ร้ายกาจให้ เขาจึงให้บันทึกหมาป่านี้กับข้า” อวี้จั๋วครุ่นคิดก่อนเอ่ยขึ้น  

 

           “เขา…เป็นคนให้เจ้าหรือ” มือของเซี่ยฟางหวาเคาะเข้ากับผนังรถทันที น้ำเสียงแหบแห้งลงฉับพลัน  

 

           “ใช่แล้ว ท่านพี่เป็นคนให้ข้า” อวี้จั๋วยืนยัน 

 

           “หมายความว่าเขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าใช้วิชาคุมหมาป่าได้” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก เอ่ยขึ้นเชื่องช้า  

 

           “หลังท่านพ่อกับท่านแม่ฝากฝังข้าไว้กับท่านพี่ ท่านพี่ก็เคยถามข้าว่าทำอะไรเป็นบ้าง ข้าจึงบอกท่านพี่ไป” อวี้จั๋วพยักหน้า  

 

           “เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง” เซี่ยฟางหวาพลันกระตุกมุมปาก 

 

           “วิทยายุทธ์ที่ถ่ายทอดจากตระกูลหวางกับตระกูลอวี้ข้าก็ใช้เป็นทั้งหมด นอกจากวิทยายุทธ์ ยังเรียนวิชาแพทย์กับวิชาพิษด้วย แต่สองสิ่งนี้ทำได้เพียงช่วยและปกป้องตัวเองเท่านั้น ไม่ได้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมียุทธวิธีการรบ การวางกลไก และวิชาคุมหมาป่านี้” 

 

           “หากเสร็จธุระวันนี้แล้ว ส่งคนไปเมืองผิงหยาง นำบันทึกหมาป่าเล่มนั้นมาให้ข้าอ่านดูได้หรือไม่”  

 

เซี่ยฟางหวายิ้ม 

 

           “ได้สิ” อวี้จั๋วรีบตอบ “ข้าบอกที่เก็บกับท่าน ท่านส่งคนไปเอามาก็พอแล้ว” พูดจบก็ขยับเข้าใกล้นาง กระซิบบอกที่เก็บบันทึกเล่มนั้น 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ สื่อความว่าจำได้แล้ว