ห่างไปไม่ไกลความมืดมิดถูกสาดส่องด้วยแสงสว่าง เกือบจะมองเห็นศีรษะของคนแรกแล้ว

 

 

เพียงแค่คนผู้เดียวมองเห็น เรื่องราวย่อมไม่อาจกอบกู้คืนมา…

 

 

สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีถูกแสงสลัวของคบเพลิงสาดสะท้อนจนแปลกประหลาดดุจผิดหวังดั่งตื่นตะลึง กระซิบกระซาบแผ่วเบาโดยพลันว่า “คำนวณพลาด เขาตัดใจได้จริงแท้ ดูท่าข้าคงต้อง…” เรือนร่างขยับเขยื้อนเพียงครั้งเตรียมจะลุกขึ้น

 

 

วาจาของเขาไม่มีผู้ใดสังเกตถึง ด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวกำลังสูดหายใจ ทว่ายามนี้นี่เอง กงอิ้นยกมือขึ้นโดยพลัน

 

 

ก่อนที่ผู้ที่เร็วที่สุดคนหนึ่งกำลังจะเข้าสู่ทัศนวิสัย สองนิ้วของเขาชิดกันยิงเปลวไฟสีครามกลุ่มหนึ่งออกไปโดยพลัน

 

 

พอเปลวไฟพุ่งออกไป เสียงดังยิ่งใหญ่เกรียงไกรทั่วป่าสี่ทิศและฝูงชนที่มาต่อเนื่องไม่ขาดสายหยุดชะงัก

 

 

สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีเปลี่ยนไปอย่างมาก จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง สายตาสุกสกาวดุจดวงดารา

 

 

“คำสั่งห้ามปรามจำกัด! ฮ่าๆๆ ข้ายังมิได้ทายผิด ที่แท้เจ้า…”

 

 

วาจาของเขายังมิทันสิ้น จิ่งเหิงปัวกรีดร้องเสียงหนึ่งกะทันหัน กลบกลืนเสียงของเขา

 

 

“ฟ่อ…”

 

 

ยากจะจินตนาการได้อย่างยิ่งว่าคนผู้หนึ่งเปล่งเสียงฟ่อจะดังกังวานเช่นนี้ ในเสียงฟ่อหมาโง่ที่ทั่วร่างสั่นสะท้านอยู่ด้านหนึ่งตลอดเวลาบินเข้ามาตรงแน่วโดยพลันดุจถูกด้ายจูงไว้ ซ้ำดั่งถูกมนุษย์ล่องหนกระชาก ปีกสองข้างกางแข็งทื่อกลางอากาศ ตาสองข้างเบิกกลมโต ทั่วร่างสั่นสะท้านปานไข้จับสั่นระลอกหนึ่ง

 

 

“เร็วเข้า!” จิ่งเหิงปัวตะโกนร้องอย่างร้อนรน “ฟ่อ!”

 

 

“พรวด” ขี้นกสีเหลืองอมเขียวกองหนึ่งพรวดออกมาตามเสียงฟ่อ ร่วงใส่ปากของเหยียลี่ว์ฉีที่เงยหน้าอ้าปากหัวเราะฮ่าๆ พอดิบพอดี!

 

 

 

 

เงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังสูดหายใจ เคลื่อนย้ายเจ้าหมาโง่สิ้นเปลืองกำลังวังชาของนางมากยิ่งกว่าแต่ก่อน

 

 

หมาโง่ทิ่มลงพื้นดังเพียะ

 

 

กงอิ้นที่เฉียดผ่านมาปานอสนีบาตเกือบจะล้มลงไปในแม่น้ำ

 

 

มีเพียงคบเพลิงที่สั่นไหวด้วยสายลมห่างออกไป ยิ่งขับความแข็งทื่อของชั่วขณะนี้ให้เด่นชัด

 

 

อ้อ ยังมีตัวหนึ่งที่ยังมีสติ เฟยเฟยฉวยโอกาสความวุ่นวายชั่วขณะนี้คลานขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ปรากฏกายที่ข้างซ้ายของเหยียลี่ว์ฉี ปากน้อยแอ่งโลหิตอ้าเพียงครั้งผุดเผยฟันขาวเงาวับสองแถวออกมา กัดดัง “กร๊อบ!”

 

 

“อ๊าก!” เหยียลี่ว์ฉีเปล่งเสียงตะโกนในที่สุด กระโจนขึ้นมาหนึ่งครั้งดังสวบ เรือนร่างสะบัดเพียงครั้งสะบัดเฟยเฟยออกไป มืออีกข้างหนึ่งยังไม่ลืมที่จะคว้าจิ่งเหิงปัวที่คิดจะฉวยโอกาสหลบหนีไว้

 

 

เงาคนกะพริบวูบ กงอิ้นปรากฏกายตรงฝั่งตรงข้ามเขาเสียแล้ว สกัดกั้นเส้นทางหนีของเขาไว้

 

 

เฟยเฟยร่วงพื้นกลิ้งเกลือกลุกขึ้นมาทันที ปีนป่ายขึ้นไปบนเส้นผมของเหยียลี่ว์ฉี คว้าจอนผมของเขาไว้ เรือนร่างห้อยลงมาดังสวบเพียงครั้ง ตระเตรียมส่งสายตาจ้องมองกันอย่างสนิทสนมให้เขา

 

 

ทว่ามันจ้องมองกันไม่สำเร็จ

 

 

ร่างของเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่กลางอากาศหิ้วจิ่งเหิงปัวขึ้นมาโดยพลัน ก้มหน้าเพียงครั้งอุดริมฝีปากของนางไว้แนบแน่น!

 

 

 

 

เฟยเฟยถูกหน้าผากเหยียลี่ว์ฉีชนกระเด็นลอยไป

 

 

สีหน้าของกงอิ้นที่รอคอยลงมือเปลี่ยนไป

 

 

จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง

 

 

แทบจะคิดไม่ถึงเลยว่าในช่วงวิกฤตกาลขณะนี้เหยียลี่ว์ฉีจะทำเช่นนี้

 

 

แต่นางได้รู้ทันทีเลยว่าทำไมเหยียลี่ว์ฉีถึงทำแบบนี้!

 

 

ริมฝีปากและลิ้นของอีกฝ่ายขยับเพียงครั้ง จากนั้นสิ่งอ่อนนุ่มเละเทะเหม็นหึ่งไร้เทียบเทียมกองหนึ่ง ป้อนเข้ามาในปากของนางกะทันหัน!

 

 

คำสองคำแฉลบผ่านสมองของนางดุจแสงอสนีแสงเพลิง

 

 

ขี้! นก!

 

 

“แหวะ!” จิ่งเหิงปัวอาเจียนออกมาอย่างบ้าคลั่งกลางอากาศ แต่ด้านหนึ่งกำลังอาเจียน อีกด้านหนึ่งล้วงกริชเล่มหนึ่งออกมาจากข้างขาอ่อน นิ้วมือหมุนวนครั้งหนึ่งแล้วพุ่งออกไปอย่างปราดเปรียวยิ่งนัก!

 

 

โลหิตและสิ่งสกปรกร่วมกระเซ็น! สีแดงสีเหลืองสลับผ่านกัน

 

 

แทบจะในทันที เหยียลี่ว์ฉีปล่อยมือเพียงครั้ง สะบัดจิ่งเหิงปัวที่อาเจียนไม่หยุดหย่อนย้อนศรไปในครั้งเดียว

 

 

เงาคนกะพริบวูบ กงอิ้นไปรับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

“พลั่ก” จิ่งเหิงปัวที่ร่วงลงสู่อ้อมแขนของเขาพ่นสิ่งอาเจียนทั่วร่างเขาในพริบตา สีเหลืองอมเขียว กลิ่นเหม็นคาวเตะจมูก ทว่ากงอิ้นมิได้แม้แต่ขมวดหัวคิ้ว เพียงแต่กอดนางไว้อย่างแนบแน่นไม่ยอมปล่อยแล้วค่อยๆ วางนางลงบนพื้น ประคองไว้ในอ้อมศอก ร่างกายท่อนบนโน้มลงมาให้นางอาเจียนได้สะดวกขึ้น จะได้ไม่ถูกสิ่งอาเจียนที่พ่นพุ่งออกมาติดขัดในลำคอ

 

 

เขาตบสันหลังของนางอย่างแผ่วเบา โอบร่างกายที่ลื่นไปข้างล่างอย่างต่อเนื่องของนางไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวอาเจียนจนน้ำตาพร่ามัว ในท้องดั่งพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ทั่วร่างเป็นตะคริว ยังไม่ทันได้มองว่าผู้ที่ประคองตนเองอยู่คือใคร รู้สึกเพียงว่าแขนที่พิงอยู่แข็งแรงอบอุ่น ตรึงตนเองที่อ่อนแอไร้กำลังไถลไปด้านล่างไว้อย่างมั่นคง แสงหรี่ในหางตามองเห็นชายผ้าสีขาวราวหิมะที่ถูกของเหลวสีเหลืองปนเขียวเปรอะเปื้อนชุ่มโชก สิ่งอาเจียนปกคลุมเป็นชั้นๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ทว่าชายผ้านั้นห้อยสยายเงียบเชียบแต่ต้นจนจบ ไม่เคยได้หลีกถอยเลยแม้สักน้อยนิด

 

 

นี่ใช่กงอิ้นเหรอ…ไม่ใช่มั้ง…เขาเอ่ยอย่างเย็นชาขนาดนั้น…คงทะลุมิติอีกแล้วแน่นอน…

 

 

ความรู้สึกนึกคิดในสมองรางเลือนพร่ามัวกะพริบวูบผ่านไป แล้วถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกขยะแขยงระลอกใหม่อีกครั้ง นางไม่รู้ว่าขี้นกก้อนหนึ่งซึ่งเป็นเวรกรรมตามสนองนี้จะนำพาการตอบสนองรุนแรงขนาดนี้ได้อย่างไร หรือในร่างกายนางเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้วตั้งแต่นางเคลื่อนย้ายหมาโง่เมื่อครู่

 

 

“ปวดหัวจัง…” จิ่งเหิงปัวอาเจียนพวยพุ่งอย่างรุนแรงไประลอกหนึ่ง เปล่งเสียงแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงเสียงหนึ่งออกมากะทันหัน จากนั้นเรือนร่างโน้มไปครั้งหนึ่ง สลบไปเสียแล้ว

 

 

กงอิ้นรับนางไว้ได้ทันเวลา

 

 

ท่าทางของเขาในยามนี้ก็มิได้ดีไปกว่าจิ่งเหิงปัวที่ทั่วร่างเละเทะเพียงใด สีเหลืองอมเขียวทั่วร่าง ชุดสีขาวกลายเป็นชุดลายพร้อย

 

 

คบเพลิงห่างออกไปยังคงสั่นไหว ฝูงชนยังคงไม่ขยับเขยื้อน…คำสั่งทุกข้อของราชครูฝ่ายขวาคือคำสั่งเหล็ก โดยเฉพาะคำสั่งห้ามปรามคำสั่งหนึ่งที่ประกาศออกมาในคราหลังนั้น ยามคำสั่งห้ามปรามประกาศออกมา ห้ามทุกผู้คนขยับเขยื้อน!

 

 

ทว่าคำสั่งห้ามปรามคือคำสั่งสำคัญ หากมิใช่เรื่องใหญ่มิอาจใช้คำสั่งนี้ ปกติแล้วคำสั่งนี้คือคำสั่งที่ราชครูผู้กุมมหาอำนาจทั้งมวลใช้ยามโยกย้ายหรือควบคุมกองทัพ คืนนี้ได้พบคำสั่งห้ามปรามโดยพลัน ซ้ำยังมิเข้าใจว่าเบื้องหน้าเกิดเรื่องใดกันแน่ ผู้คนทั้งมวลที่ยืนแข็งทื่ออยู่ตำแหน่งเดิม มิหาญข้ามบ่อน้ำเหลยเพียงก้าวเดียว[1] ล้วนจ้องมองอย่างงงงวย รู้สึกร้อนอกร้อนใจ

 

 

แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวางฝีเท้าหลบหนีของเหยียลี่ว์ฉีไว้ได้ ทว่ากงอิ้นคล้ายหลงลืมศัตรูตัวฉกาจผู้นี้ไปเสียแล้ว

 

 

เงาคนกะพริบวูบ คนผู้หนึ่งปรากฏกายที่ข้างกายกงอิ้น เหมิงหู่นั่นเอง นับเป็นผู้ไว้ใจใกล้ชิดของกงอิ้นที่ยังขยับเขยื้อนได้เพียงผู้เดียวภายใต้คำสั่งห้ามปราม

 

 

“ส่งราชินีกลับที่ตั้งค่าย” กงอิ้นนำจิ่งเหิงปัวมอบให้เขา แล้วกำชับว่า “ส่งหมอหลวงดูแลนางให้ดี ข้าจะตามรอยเหยียลี่ว์ฉีไปอีกสักระยะ ดูว่าเขาจะมีแผนการใด”

 

 

“ขอรับ” เหมิงหู่รับจิ่งเหิงปัวมา ทว่ามิได้จากไปในฉับพลัน สีหน้าลังเล

 

 

กงอิ้นหันหน้าจ้องมองเขาอย่างเงียบเชียบ

 

 

“นายท่าน” เหมิงหู่ถูกนัยน์ตาสุกสว่างห่างไกลของเขาจ้องมองเสียจนในใจเหน็บหนาว แม้กัดฟันกรอดๆ ยังคงเอ่ยว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่า วันนี้ท่านใจร้อนไปอีกแล้วขอรับ…”

 

 

กงอิ้นเงียบงัน หันหน้ามองเทือกเขาสีดำโค้งเว้าที่ไกลออกไป

 

 

“เอ่ยจนสุดท้ายแล้ว วันนี้คือการหยั่งเชิงกันและกันของท่านกับเหยียลี่ว์ เขาอยากรู้ว่าราชินีอยู่ตำแหน่งใดในใจของท่านกันแน่ ยามนี้ เขารู้แล้วขอรับ” เหมิงหู่ถอนใจเสียงหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “หากข้าน้อยมิได้คาดการณ์ผิด เหยียลี่ว์ฉีคงมิได้จะทำให้ราชินีตกอยู่ในอันตรายโดยแท้จริง หากท่านยืนหยัดไว้ไม่ประกาศคำสั่งห้ามปราม เขาคงต้องจับกุมราชินีจากไปเป็นแน่แท้ขอรับ”

 

 

กงอิ้นยังคงมิได้หันหน้ากลับมา เงาแผ่นหลังตรงแน่วของเขาคือภูผาสูงตระหง่านที่รับน้ำหนักสายลมยาวนานเรือนพันปีหมื่นปี

 

 

เหมิงหู่มิเอ่ยวาจาแล้ว

 

 

เขารู้ กงอิ้นย่อมต้องรู้เช่นกัน รู้แล้วยังคงทำเช่นนี้ ด้วยเพราะเหตุใด? เขามิกล้าคิด แลมิลองคิด

 

 

เขาเพียงแต่กุมมือถอนใจ ถอนใจแด่เจ้านายผู้ไร้จุดอ่อนให้โจมตีของตนเอง ในที่สุดถูกฝ่ายศัตรูจับจุดอ่อนหนึ่งจุดเอาไว้ได้นับแต่บัดนี้

 

 

สงครามผู้ครองบัลลังก์โหดเ**้ยมดุเดือดเช่นนี้ หากไม่ระวังแม้เพียงน้อยย่อมถูกผู้อื่นที่รู้ตื้นลึกหนาบางเสียบมีดโจมตีโดยพลัน ตลอดกาลที่ผ่านมา เจ้านายของตนเองสามารถสยบทั่วหล้ากุมมหาอำนาจเพียงผู้เดียว ด้วยเพราะความแข็งแกร่งดุจศิลาหยกและจิตใจใสบริสุทธิ์ดั่งผลึกธารของเขาสอดประสานแข็งแกร่ง ทำให้ตัวเขาไร้จุดอ่อนให้โจมตี

 

 

จิตใจเช่นนี้กำเนิดจากประสบการณ์ของเขา และกำเนิดจากวรยุทธ์พิเศษที่เขาเลือกใช้ และด้วยเพราะเหตุนี้ เส้นทางนิสัยของมนุษย์และความรักสำหรับเขายิ่งถูกจำกัดมากเสียยิ่งกว่าคนธรรมดา

 

 

แต่ก่อนไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใด บุรุษช่วงชิงอำนาจการปกครองแคว้น ดวงหทัยอยู่ที่แว่นแคว้น เรื่องอื่นล้วนมิได้สลักสำคัญ

 

 

ทว่าหากมีสิ่งเหนี่ยวรั้งแล้วจริง มีความใส่ใจแล้วจริง เช่นนั้นย่อมประหนึ่งศิลาหยกเกิดรอยร้าว ผลึกธารเปรอะธุลี ทั่วร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าทุกแห่งหนล้วนปกคลุมด้วยความพ่ายแพ้แลความตาย ด้วยเพราะมีช่องโหว่และจุดอ่อนนับมิถ้วนเพิ่มขึ้นมา

 

 

เหมิงหู่มองดูจิ่งเหิงปัวผู้หายใจแผ่วเบา แล้วมองดูกงอิ้นผู้ยืนตั้งตระหง่านดุจหยกสลักอยู่ในความมืดมิด เหน็บหนาวสั่นสะท้านโดยพลัน

 

 

ต้าฮวงมิวุ่นวาย บึงโคลนเจิ่งนอง การพบพานเพียงครั้ง เป็นเคราะห์กรรมหรือบุญวาสนา?

 

 

เขารู้สึกเพียงว่าดวงใจหนักหน่วงโดยพลัน ทุกชุ่นทุกเฟินล้วนแน่นหนักเปี่ยมด้วยความกังวล ทว่ามิกล้าเอ่ยสิ่งใดอีก ประคองจิ่งเหิงปัวค่อยๆ ถอยออกไป

 

 

กงอิ้นมิได้หันหน้ากลับมาตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

เบื้องหน้าคือป่าเขาลำเนาไพรไร้ขอบเขตค่อยๆ ผุดเผยความสูงตระหง่านในแสงสลัวยามรุ่งอรุณ ข้ามผ่านเส้นทางโบราณผืนนี้คือต้าฮวงกว้างใหญ่ไพศาลที่ลึกลับซับซ้อน เส้นทางของเขาและนางยังมิได้ไปถึงโดยสมบูรณ์ เส้นทางสายหนึ่งนี้ได้สูญเสียและยุ่งเหยิงมากเกินไปแล้ว

 

 

ชุดคลุมที่สกปรกแล้วยังซักให้สะอาดได้ สิ่งที่ไร้ประโยชน์ยังสูญหายไปได้ อารมณ์อัศจรรย์ยากหยั่งถึงบางส่วนจะจัดการใหม่อีกคราได้เยี่ยงใด?

 

 

สายลมภูผาคำราม พืชพรรณโค้งเว้า เสียงใบไม้ขยับเขยื้อนดังสวบสาบ คล้ายเสียงของนางแฉลบผ่านดวงใจหลายรอบ

 

 

“…เขาจับข้า มัดข้า รังแกข้า เย็นชาใส่ข้า ใช้ความแค้นตอบแทนบุญคุณกระทำผิดต่อข้า ยังหวังจะช่วงชิงตำแหน่งราชินีของข้า ข้าตาบอดเป็นบ้าถึงจะเสียดายเขา!”

 

 

“เหยียลี่ว์ฉี พอข้าได้พบเจ้า…ก็ถูกความงามของเจ้าทำให้ตะลึงพรึงเพริดแล้ว…”

 

 

“กงอิ้น ข้าประหลาดใจยิ่งนักว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่สังหารนาง เสียดายหรือ?”

 

 

 

 

เขายิ้มขมขื่นเจือจางขึ้นมา คนผู้หนึ่งเผชิญสายลมโปร่งใสในแสงอรุณรุ่งฟ้าสาง

 

 

ไร้ผู้ใดมองเห็นความอ่อนเพลียเล็กน้อยและความเย็นชาเจือจางในรอยยิ้มของเขา

 

 

เหยียลี่ว์ฉี เจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว

 

 

แท้จริงแล้วข้า…

 

 

เสียดายนาง

 

 

 

 

[1] เปรียบเทียบว่าไม่กล้าข้ามขอบเขตใดขอบเขตหนึ่ง