เมื่อจิ่งเหิงปัวฟื้นขึ้นมารู้สึกว่าปวดศีรษะปวดท้องปวดกระดูกปวดทั่วร่าง เจ็บปวดทุกหนแห่งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
เหมือนจะเป็นไข้อีกแล้ว
ใต้ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยคล้ายขึ้นรถม้ามาอีกครั้ง นางก็คร้านจะลืมตา เอนกายอยู่ตรงนั้นถอยหลังตั้งหลักอารมณ์ในศีรษะที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ยิ่งครุ่นคิดใจยิ่งเหน็บหนาว ยิ่งครุ่นคิดยิ่งคร้านจะลืมตา
คบเพลิงในความมืดมิด…ฝูงชนที่ประชิดเข้ามาต่อเนื่อง…เหยียลี่ว์ฉีที่ไม่ได้มีเจตนาดี…กงอิ้นผู้เย็นชาดุจน้ำแข็ง…วิกฤตกาลความเป็นความตายที่ถูกบังคับผลักดันให้เข้าไป…
อ้อ โลกใบนี้แข็งแกร่งเช่นนี้เอง กระแทกเสียจนหน้าผากของนางเจ็บปวดเหลือเกิน
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือกยาวในใจ รู้สึกเพียงว่าเจ็บปวดจนหมดอาลัยตายอยากขึ้นมา แม้แต่ปณิธานที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะตบปากของกงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีสักฉาด ยังคร้านจะครุ่นคิดดำเนินแผนการไปชั่วขณะหนึ่ง
ข้างกายมีเสียงกระทบคลื่นน้ำและเสียงบิดพับผ้าเช็ดหน้าแผ่วเบา ในใจนางสั่นสะท้าน อยากลืมตามองดูว่าใครกำลังดูแลนาง ครุ่นคิดไปชั่วครู่ มุมปากบิดไปมาอดกลั้นเอาไว้
ไม่มองหรอก! ไม่มองหรอก!
พับผ้าเช็ดหน้าเย็นเฉียบวางลงบนหน้าผากร้อนผ่าวของนาง เสียงลมหายใจของคนข้างกายแผ่วเบา นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายหันกายไปจึงหรี่ตาแอบมองครั้งหนึ่ง กลับเห็นเงาด้านหลังที่ซูบผอมอ่อนแอของจิ้งอวิ๋น
จิ่งเหิงปัวไม่รู้ว่าตนเองผิดหวังหรือว่าไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก้นบึ้งของหัวใจหัวเราะเหอะๆ ครั้งหนึ่ง
คิดอะไรน่ะ เป็นโรคประสาทเหรอ
ยังหอบความหวังอะไรอีก
บนโลกนี้มีใครเป็นห่วงใครจริงๆ ที่ไหนกัน
ถ้าตนเองไม่กินขี้นกช่วยเหลือตนเอง ตอนนี้แปดในสิบคงจะลงไปยมบาลพบพานปรีดากับราชินีองค์ก่อนแล้ว ผ่านเรื่องใหญ่ความเป็นความตายเห็นธาตุแท้ยังมาคิดว่าอะไรมีอะไรไม่มี จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองยังจะดูถูกตนเอง
ก็แบบเน้แหละ ผู้ชายน่ะ โดยเฉพาะผู้ชายที่อยู่บนบัลลังก์การเมืองน่ะเป็นอย่างนั้นแหละ รักโฉมสะคราญละทิ้งแผ่นดินนั่นมันนิยายน้ำเน่า คนที่ฉลาดหน่อยก็ควรจะคิดว่าจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร อย่างน้อยที่สุดไม่ให้ถูกผู้อื่นอยากจะขัดขวางก็ขัดขวาง อยากจะข่มขู่ก็ข่มขู่ อยากจะกล่าวว่าเจ้าไม่รักษาคุณธรรมของสตรี เจ้าก็ต้องผูกคอตายในทันทีได้
จิ่งเหิงปัวจมดิ่งไปสักพักหนึ่งจึงปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิม เริ่มครุ่นคิดเส้นทางชีวิตในภายภาคหน้า
ภายนอกนางปล่อยตัวตามใจไม่สนใจเรื่องไหนทั้งนั้น แต่ถ้าถูกกระตุ้นถึงระดับหนึ่งขึ้นมาจริงๆ ก็จะแสดงนิสัยดีงามชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า “เป็นตายไม่ยอมเลิกรา” ออกมา ราชินีเป็นยาก งั้นก็ไม่เป็น แต่ถ้าผู้อื่นบังคับไม่ให้เป็นหรือนำตำแหน่งราชินีมาควบคุมนาง นางก็จะทำอะไรโง่ๆ …ไม่ว่าอย่างไรต้องเป็นให้ได้
นางเอนกายอยู่ตรงนั้น ครุ่นคิดว่าจะใช้ทักษะเดียวตะลึงโลกหล้าในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จได้อย่างไร ร่ายรำเหรอ ระบำรูดเสายังไม่ทันได้ร่ายรำจบนางก็คงถูกเสาเหล็กตีจนตายมั้ง ร้องเพลงเหรอ ถ้าเพลงตกอกตกใจ[1]ทำให้ชาวต้าฮวงชื่นชอบได้นางยอมแซ่ฮวงเสียดีกว่า ฮวงที่แปลว่าเหลวไหลน่ะ ความสามารถพิเศษเหรอ สามารถกินอาหารไปด้วยทำโยคะไปด้วยนับเป็นความสามารถพิเศษหรือเปล่า บทกลอนละครร้องเหรอ ตอนเด็กถูกบังคับให้เรียนจนเต็มท้อง ลืมไปแล้วครึ่งท้อง ตอนนี้ที่เหลือล้วนเป็น “ฉบับคลาสสิก” ที่ใช้สอนเจ้าหมาโง่ จะทำให้ผู้คนไม่ตะลึงในวาจาแม้ตายไม่ยอมเลิกราได้ไหมนางไม่รู้ แต่ว่าเปล่งวาจาตะลึงผู้คนจนสิ้นชีพต้องมีแน่นอน
สำหรับความสามารถยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเทียบพสุธา สง่าราศีจัดการสรรพสัตว์อะไรอย่างอื่น นางมองดูตนเองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหัวเราะเหอะๆ
มีสองขากางหุบได้เต็มที่ มีหน้าอกโตยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเทียบพสุธาได้ไหมนะ
จิ่งเหิงปัวเริ่มถอนใจอย่างไม่บ่อยนัก นางกลัดกลุ้มจนต้องเริ่มปลอบใจตนเองอีกครั้ง สถานการณ์แบบนี้ ต่อให้จวินเคอไท่สื่อหลันหรือเหวินเจินมาก็ไม่มีวิธีดีๆ เหมือนกันแหละ หรือว่าจวินเคอสามารถบอกคนอื่นว่าในกระเพาะอาหารมีเนื้องอกกี่ก้อนเหรอ ไท่สื่อหลันสามารถใช้ใบหน้าโลงศพตนเองทำให้ผู้อื่นตกใจจนตัวสั่นเทิ้มเหรอ ฝีมือการปรุงอาหารของเหวินเจินค่อนข้างใช้ประโยชน์ได้จริงหรืออาจจะสามารถสยบได้หลายคน แต่ครั้งนี้ทดสอบราชินีไม่ใช่แม่ครัว
สายลมพัดพาผ้าม่านสะบัดออกเป็นเส้นตรง อากาศที่พัดเข้ามาคล้ายแตกต่างจากปกติอยู่บ้าง เจือด้วยกลิ่นฝาดและกลิ่นเปรี้ยว ว่ากันว่านี่คือกลิ่นอายของบึงโคลนที่ห่างออกไป บึงโคลนที่ครอบคลุมอาณาเขตสามสิบเปอร์เซ็นต์ของต้าฮวงคือผืนดินสีดำดูท่าทางอุดมสมบูรณ์แต่แท้จริงแล้วไร้ประโยชน์ผืนหนึ่ง ทับถมด้วยสายตาเฝ้ารอคอยของผู้คนนับมิถ้วน เปล่าเปลี่ยวขึ้นทุกวี่วัน
นางคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของต้าฮวงที่ได้ยินองครักษ์เอ่ยขึ้นมาระหว่างทางก่อนหน้านี้ในทันที ผืนดินน้อย บึงโคลนมาก สินค้าไม่อุดมสมบูรณ์เพียงพอ ส่วนมากต้องพึ่งทางเข้าลับ อัญมณีทองคำด้อยค่า อาหารแพงลิ่ว ประชาราษฎร์ยากจนข้นแค้น ชนเผ่าสามารถหลั่งเลือดเจิ่งนองเพื่อผืนดินผืนน้อยผืนหนึ่ง…
บึงโคลน…บึงโคลนที่เกี่ยวพันกับเลือดเนื้อและชีวิตของราษฎรต้าฮวง…สำเร็จก็เพราะบึงโคลนล้มเหลวก็เพราะบึงโคลน…
ทั่วร่างนางสะท้านขึ้นมากะทันหัน ในสมองคล้ายมีแสงสว่างสายหนึ่งพาดผ่าน!
ที่จริงแล้ว นางยังมีสิ่งของสำคัญเหมือนกัน!
“กระเป๋า…กระเป๋า…” นางตะโกนอย่างมีแรงทว่าไร้กำลังขึ้นมาทันที
จิ้งอวิ๋นได้ยินเสียง หันกายมาด้วยท่าทางทั้งตื่นตกใจและดีใจ เอ่ยว่า “เจ้าตื่นแล้ว อยากดื่มน้ำหรือไม่ ยามนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“กระเป๋า…” จิ่งเหิงปัวส่ายศีรษะอย่างไม่ย่อท้อ
“ข้าจะไปเรียนท่านราชครู!” จิ้งอวิ๋นคล้ายตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก หันกายเตรียมจะลงจากรถม้า
“กระเป๋า!”
เสียงระเบิดของจักรวาลน้อยหยุดยั้งฝีก้าวของจิ้งอวิ๋นทั้งอย่างนั้น นางตื่นตกใจหันกายกลับมา มองเห็นจิ่งเหิงปัวที่มีสีหน้าซีดเผือดชี้ไปยังกระเป๋าที่มุมหนึ่งของรถม้าอย่างแน่วแน่
จิ้งอวิ๋นชะงักงันไปบ้าง นางไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของจิ่งเหิงปัว รู้สึกคล้ายดั่งเบื้องหน้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
นางหันกายกลับมาอย่างมึนชาอยู่บ้าง ลากกระเป๋ามา จิ่งเหิงปัวเท้าศีรษะ นางดึงกุญแจรหัสล็อกกระเป๋าที่มีขนาดใหญ่ไม่ออก ทำได้เพียงบอกรหัสออกมาสั่งให้จิ้งอวิ๋นไขกุญแจ จิ้งอวิ๋นขยับเขยื้อนกุญแจรหัสเหล็กอย่างระมัดระวังอย่างยิ่งด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย ภายในสายตาเปี่ยมด้วยแสงแห่งความตื่นตะลึง
“ของสิ่งนี้คือสิ่งใด ละเอียดรัดกุมยิ่งนัก ช่างกุญแจผู้ยอดเยี่ยมที่สุดยังมิอาจประดิษฐ์แม่กุญแจเช่นนี้ได้กระมัง…”
“ข้าทำเอง” จิ่งเหิงปัวเอ่ยโพล่งออกไปว่า “เจ้าช่วยข้ารื้อกระเป๋าหน่อย ด้านล่างสุดคล้ายมีหนังสือเล่มหนึ่ง สารานุกรมอะไรนี่ล่ะ”
ตามสถานการณ์ปกติแล้วกระเป๋าของนางจะไม่ปรากฏสิ่งของส่วนเกินเช่นหนังสือแน่นอน…ใส่บรายังกลัวว่าพื้นที่ไม่พอเลย! แต่ด้วยเพราะพื้นกระเป๋าไม่เรียบ นางกลัวว่าจะทับกระโปรงและชุดชั้นในบอบบางของนางจนเสียหายจึงฉีกหนังสือเล่มหนึ่งมารองกระเป๋าให้เสมอกันโดยเฉพาะ ตอนฉีกหนังสือนางเคยเหลือบมองหน้าปกแวบหนึ่ง เหมือนจะเป็นหนังสือชื่อท่องทั่วโลกหล้าไม่กลัวเกรง…สารานุกรมทักษะการดำรงชีวิตที่ตอนนั้นจวินเคอซื้อมาทางอินเทอร์เน็ต จวินเคอซื้อมาเพื่อใช้เรียนรู้ทักษะดำรงชีวิตหาเลี้ยงชีพเผื่อหลบหนีออกจากสถาบันวิจัยในอนาคต คำโปรยของหนังสือคุยโม้ว่าขึ้นนภาดิ่งพสุธาไร้สิ่งที่ทำไม่ได้ มีหนังสือเล่มเดียวในมือเสมือนมีโลกหล้า พอซื้อมาแล้วจวินเคอพบว่าถูกหลอก ทักษะที่เขียนไว้หนังสือสามารถค้นหาได้ในอินเทอร์เน็ต ล้วนเป็นพวกความรู้ทั่วไปหลากหลายอาชีพเช่น การเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ เป็นต้น คงจะเป็นหนังสือที่นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายพิมพ์ออกมาหารายได้พิเศษ เลยโยนทิ้งไปไว้ทางหนึ่ง สุดท้ายจึงได้แบกรับภารกิจยิ่งใหญ่ในการรองกระเป๋าให้จิ่งเหิงปัว
พอหนังสือแบบนี้ทะลุมิติขึ้นมา การกำเนิดเทคโนโลยีล้ำสมัยที่บันทึกไว้ในนั้นย่อมมีราคาล้ำค่าเป็นธรรมดา แต่ว่าจิ่งเหิงปัวไม่กล้าเพ้อฝันไปมากมาย…นางจำได้ว่าตนเองฉีกหนังสือเสียจนย่อยยับ…
จิ้งอวิ๋นก้มหน้าก้มตารื้อกระเป๋าของนาง เปล่งเสียงร้องตะลึงสั่นสะท้านเป็นระยะ จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้สนใจ นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าในกระเป๋ามีอะไรบ้าง ตอนที่เก็บข้าวของนางแค่ฉวยมือยัดมั่วซั่ว จำได้เพียงว่าเสื้อผ้าชุดชั้นในเยอะที่สุด ชุดชั้นในชุดนอนงามประณีตพวกนั้น ผู้หญิงคนไหนได้เห็นล้วนต้องอุทานอย่างตื่นตะลึง
“ว้าย” มือของจิ้งอวิ๋นหยุดลงโดยพลัน เปล่งเสียงร้องตกใจหวาดผวาแผ่วเบาเสียงหนึ่ง
“อะไร” จิ่งเหิงปัวรอคอยจนร้อนรนแล้ว ชะโงกหน้าไปมอง กล่าวว่า “ยังหาไม่เจอหรือ”
“โอ้ไม่ ไม่ หาเจอแล้ว!” จิ้งอวิ๋นปิดฝากระเป๋าดังเพียะด้วยท่วงท่ารุนแรงเกินความคาดหมาย จากนั้นนางคว้าหนังสือน้อยครึ่งเล่มบางๆ หันกายมา เอ่ยว่า “ใช่เล่มนี้หรือไม่”
ในแสงรัศมีของรถม้ามืดสลัว ใบหน้าซีดเผือดตามปกติของนางแดงซ่านขึ้นมาโดยพลัน แม้แต่ใบหูยังแดงจนกลายเป็นหูหลัวปัว[2]โปร่งแสง จิ่งเหิงปัวมองเห็นรู้สึกประหลาดใจ หาหนังสือสักเล่มต้องขนาดนี้เลยเหรอ
“ข้านั่งยองนานเกินไป เลือดลมสูบฉีด…” ยามเผชิญกับสายตาของนาง จิ้งอวิ๋นอธิบายกระอ้อมกระแอ้ม
จิ่งเหิงปัวไม่มีกะจิตกะใจจะไปคิดมากเช่นกัน คว้าหนังสือมาอย่างร้อนใจจนทนไม่ได้ นิ้วมือของนางสัมผัสโดนนิ้วมือของจิ้งอวิ๋นโดยไม่ตั้งใจ จิ้งอวิ๋นกลับรีบเร่งหดมือกลับไปปานถูกเพลิงลวก
จิ่งเหิงปัวมองนางแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าตั้งใจเปิดหนังสืออย่างรวดเร็ว ยิ่งเปิดสีหน้ายิ่งอัปลักษณ์ ยิ่งเปิดยิ่งรู้สึกร้อนอกร้อนใจ นิ้วมือหยุดลงกะทันหันแล้วเปิดกลับไปหลายหน้าอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดชั่วครู่ เปล่งเสียงร้องดีใจเสียงหนึ่งออกมา
“หาเจอแล้ว!”
“หาสิ่งใดเจอแล้ว” จิ้งอวิ๋นที่ถูกท่าทางเดี๋ยวตื่นเต้นเดี๋ยวตกใจของนางทำให้ตกอกตกใจไปรอบหนึ่งรีบเร่งเอ่ยถาม
“ฮิๆ ฮิๆ” จิ่งเหิงปัวอ่านอักษรหลายบรรทัดสั้นๆ นั้นหลายรอบอย่างตั้งใจแล้วปิดหนังสือลงทันที กอดจิ้งอวิ๋นไว้ในครั้งเดียวอย่างตื่นเต้นดีใจ พลางกล่าวว่า “หาวิธีครองบัลลังก์ราชินีให้มั่นคงเจอแล้วล่ะวะฮ่าๆ ฮ่าๆ วะฮ่าๆๆ ข้าจะไม่ต้องถูกกลั่นแกล้งอีกแล้วล่ะวะฮ่าๆ ฮ่าๆ ข้าจะปฏิรูปลุ่มน้ำต้าฮวงบ้าบอนี้ในไม่ช้าวะ…”
นางกำลังตื่นเต้นดีใจ ทว่าจิ้งอวิ๋นในอ้อมแขนกลับแข็งทื่อขึ้นมาโดยพลัน จากนั้นใช้แรงดิ้นรนอย่างไม่หือไม่อือ จิ่งเหิงปัวปล่อยนางไปในทันทีแล้วอ่านหนังสือน้อยผุพังเล่มนั้นโดยละเอียดหลายรอบอย่างตื่นเต้นดีใจ ในปากพึมพำอักษรอย่างต่อเนื่องว่า “สิ่งนี้อาจจะใช้ได้ ไอ้หยาสิ่งนี้ไม่ไหว เทคโนโลยีที่ไม่มีแน่นวล…อ๊ะๆๆ ยุคที่เครื่องจักรไอน้ำยังไม่มีพูดอะไรเรื่องปฏิวัติอุตสาหกรรม…”
ท้ายสุดแล้วก็แค่ผู้ป่วยไข้ ความตื่นเต้นดีใจระลอกหนึ่งไม่อาจหักล้างความอ่อนล้าของร่างกายได้ นางเปิดหนังสือไปมาสักพัก ถดถอยล้มลงไปด้านหลังพลางกล่าวว่า “ปวดหัวจัง เก็บไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยมาอ่านดีกว่า” ไม่ทันรอให้จิ้งอวิ๋นมาประคอง โยนหนังสือเข้าไปในกระเป๋าแล้วปิดฝากระเป๋ารูดซิป ครั้งนี้ไม่ได้ตั้งรหัสไว้อีก…แต่ก่อนตั้งรหัสไว้ด้วยเพราะนางขโมยขนมของน้องเค้กไปเยอะมาก ตอนนี้เจ้าทุกข์หายไปแล้ว ล็อกไม่ล็อกจำเป็นด้วยเหรอ
จิ้งอวิ๋นยืนอยู่ด้านหนึ่ง สายตาแฉลบผ่านกระเป๋า มองเห็นนางเหนื่อยล้าอ่อนแรงจะนอนหลับแล้ว ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วหันกายลงจากรถม้า
จิ่งเหิงปัวนอนหลับไม่ค่อยสงบเท่าไร ในฝันมักมีเพลิงสีแดงสดร้อนผ่าวกลุ่มหนึ่งแผ่ซ่านสั่นไหวบริเวณกาย แผดเผาจนนางร้อนรนเจ็บปวดกระดูก ในฝันห่างออกไปไม่ไกลมีภูผาหิมะลูกหนึ่งแลดูสูงตระหง่านเยือกเย็นอย่างยิ่ง ซ้ำยังเป็นภูผารูปร่างมนุษย์ นางวิ่งแล้ววิ่งอีก ภูผาหิมะถอยไปด้านหลังครั้งแล้วครั้งเล่า น่ารำคาญจัง…
ในความมืดมัวสลัวคล้ายมีคนนั่งอยู่ข้างกายนาง ตามด้วยเสียงน้ำดังเปาะแปะเปาะแปะ แล้วตามมาด้วยความรู้สึกว่าหน้าผากเย็นเฉียบ นางคิดอย่างสะลึมสะลือว่า อ้อ จิ้งอวิ๋นคงมาแล้ว นี่มันใกล้จะเที่ยงคืนแล้วมั้ง นางดูแลเต็มที่จังเลย…
“จิ้งอวิ๋น…จิ้งอวิ๋น…” นางพึมพำแผ่วเบาว่า “ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะปกป้องเจ้าเอง…”
มือที่เช็ดแทนนางคล้ายชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นคล้ายมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง หัวเราะความมั่นใจและความกล้าหาญที่แปลกประหลาดของนาง แลคล้ายกำลังหัวเราะความโง่เขลาของนาง
เสียงหัวเราะดุจสายลมพัดผ่านมิได้รั้งรออยู่ข้างหูของจิ่งเหิงปัว ความฝันของนางเปลี่ยนฉากแล้ว ตอนนี้คือคบเพลิงสั่นไหวและราชครูผู้เย็นชา คนกลุ่มหนึ่งแต่งแต้มใบหน้าลายพร้อย กระโดดโลดเต้นจะเผานางให้สิ้นชีพ
“ยัยผู้ชาย…น้องเค้ก…ตาทิพย์น้อย…พวกเธออยู่ที่ไหนกันนะ…” นางเริ่มตะโกนอีกครั้งว่า “ที่นี่เงินเยอะแยะ ผู้คนโง่เขลา พวกเธอรีบมาเร็วเข้า…”
มือที่เช็ดชะงักไปอีกครา เสียง “ฮึ” แผ่วเบาเสียงหนึ่งดังออกมาจากนาสิก
“…ถ้าพวกเธอยังไม่มา พี่คงจะถูกฆ่าถูกแทะหมดแล้วฮือๆๆ …” ในความฝัน จิ่งเหิงปัวเปล่งเสียงร้องห่มร้องไห้ขอความช่วยเหลือที่เวลาปกติแม้ตายก็ไม่ปริปากออกมาในที่สุดว่า “พวกเขาไม่ช่วยฉันเลย…ทำร้ายฉัน…ทำตัวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่ฉัน…ชีวิตของพี่ก็เหมือนกับลูกบอลที่เล่นอยู่ในมือของพวกเขา โยนไปโยนมา…โยนไปโยนมาแบบนี้…”
มือที่เช็ดแข็งทื่อขึ้นมา หยุดชะงักกลางอากาศ
“โยนไปโยนมา…” คนบางคนยังทำท่าทางประกอบไปด้วยความในฝัน มือข้างหนึ่งสะบัดขึ้นมาจริงจัง สะบัดไปโดนใบหน้าของคนข้างกายดังเพียะ
เสียงดังชัดเจนเสียงหนึ่ง
บรรยากาศในรถม้านิ่งสงัด
ผู้นั้นคล้ายนึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิง ลูบใบหน้าไปครู่หนึ่ง ชะงักงันไปเสียแล้ว
คล้ายมิได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาหลายปีแล้วกระมัง…
สูงศักดิ์ล้ำค่า มือกุมมหาอำนาจ ที่ซึ่งเยื้องกรายผ่านมีผู้คนหมอบคลาน หมอบกราบมิต้อยต่ำพอยังเป็นโทษทัณฑ์ จะเคยถูกตบหน้าครั้งหนึ่งเช่นนี้ได้อย่างไร
เรือนร่างแข็งทื่อเพียงน้อย เยือกแข็งปานรูปสลักท่ามกลางความมืดมิด
“…ไร้เมตตา! ไร้คุณธรรม! ไร้ยางอาย! ไร้หัวใจ!” จิ่งเหิงปัวไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังฟ้องร้องต่อไป มือข้างหนึ่งเริงระบำดุเดือด
เรือนร่างเกร็งแน่นของผู้นั้นกลับค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา ถอนใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งโดยพลัน คว้ามือไม่สำรวมของนางเช็ดฝ่ามือให้นางทุกซอกทุกมุม
จิ่งเหิงปัวกระซิบกระซาบว่าสบายยิ่งนักแต่รู้สึกว่ายังไม่พอใจ พลิกกายครั้งหนึ่งโอบกอดมือคู่นั้นไว้ทันที พึมพำว่า “จิ้งอวิ๋น…จิ้งอวิ๋น…เหตุใดจึงเช็ดแต่หน้าผากล่ะ…เช็ดคอให้หน่อยสิ…”
มือคู่นั้นหยุดชะงัก ครั้งนี้แม้แต่แขนยังแข็งทื่อเสียแล้ว
แสงจันทร์แสงสลัวสายหนึ่งสาดส่องเงาร่างที่นั่งตัวตรงแน่วในความมืดมิด แขนทั้งข้างโน้มเอียงเป็นรัศมีสามสิบองศา บนแขนมีสตรีผู้นอนหลับสะลึมสะลือปานแมวเกียจคร้าน น้ำลายนางแทบจะชุ่มโชกแขนเสื้อของผู้นั้น เรื่องนี้ช่างมันเถิด ทว่าท่วงท่าโน้มกายกอดอกนี้ผุดเผยความอันตรายที่สั่นสะท้าน ซ้ำกำลังคลอเคลียถูไถโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย คล้ายแมวป่าตัวน้อยที่ไม่รู้จักพอตัวหนึ่งใช้กำลังยึดครองของรักของตน จะต้องหลงเหลือกลิ่นอายของตนเองให้ได้เพื่อแสดงด้วยการครอบครองโดยไร้วาจา
เรือนร่างท่ามกลางความมืดมิดคล้ายไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ยามมองโดยละเอียดอีกครั้ง ชายผ้าสีขาวหิมะกลับคล้ายกำลังสั่นสะท้านเล็กน้อยคล้ายสั่งสมหิมะหนาที่ไร้ผู้คนเหยียบย่ำเนิ่นนานพันปี ทว่าถูกเสียงพร่ำเพรียกแผ่วโผยระหว่างภูผาสะท้อนสะท้านการขานรับไร้สรรพเสียงออกมา
การสัมผัสรับรู้มิเคยไวต่อความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เส้นโลหิตทุกสายคล้ายพาดผ่านด้วยกระแสอสนีจากฟากฟ้า ระหว่างการสั่นเทิ้มคือความว่างเปล่าสีหิมะหลากหลายผืน ตรงกลางผสานด้วยความงดงามแลริมฝีปากแดงฉ่ำของนาง
ประหนึ่งเพลิงลามลุกทุ่งหิมะไร้ขอบเขต เขารู้สึกได้ถึงการพังทลายที่อันตราย
[1] ขับร้องโดยหลินน่า กง และประพันธ์โดยโรเบิร์ต โซลลิตซ์ เป็นเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องแต่มีการใช้คำอุทานแทนเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกในจิตใจที่ไม่สงบ
[2] แครอท ชื่อวิทยาศาสตร์ Daucus carota L. var. sativa Hoffm