แม้เป็นเช่นนี้ยังมิสิ้นสุด นางบิดไปบิดมาอย่างรำคาญสองสามครั้งก็ถูไถกระดุมชุดนอนทรงหลวมจนปลดออกมา

 

 

“จิ้งอวิ๋น…เช็ดหน่อยสิ…ตัวร้อนจังเลย…”

 

 

ร้อนจริงยิ่งนัก

 

 

ความมืดมิดคล้ายหายไปโดยพลัน ค่ำคืนคล้ายหายไปโดยพลันเช่นกัน เบื้องหน้าคือสายลมวสันต์แลสายธารวสันต์ทะลักล้นด้วยระลอกคลื่นแผ่วบางที่เต็มไปด้วยเรือดอกท้อ ระหว่างผืนนภาแลพสุธากลับมิใช่สีเขียวอ่อนเชื่อมประสานกัน หลงเหลือเพียงสีขาวผืนหนึ่งนั้น สีขาวดั่งหิมะ สีขาวละลานตา สีขาวบริสุทธิ์ สีขาวพราวแพรวโปร่งใส…ในขอบเขตสายตาที่หลีกลี้กลับแจ่มชัดด้วยความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น…ยิ่งกว้างขึ้น…ในผืนฟ้าคลุมปฐพี…กลบกลืนเขาไว้…

 

 

เงาร่างยังสั่นเทิ้มรุนแรง สีแดงเข้มสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นข้างริมฝีปากฉับพลันเช่นนี้ เขายกมือเช็ดออกไปอย่างแผ่วเบา เบี่ยงกายเล็กน้อยประคองนางให้ตัวตรงอย่างแผ่วเบา นางผละขึ้นมาอีกครั้ง จิตใต้สำนึกอาลัยอาวรณ์ลมหายใจและอุณหภูมิร่างกายที่เย็นสบายของเขา ข้างริมฝีปากของเขาค่อยๆ ผลิแย้มรอยยิ้มผืนหนึ่งออกมา

 

 

แสงจันทราคล้ายหม่นหมองโดยพลันด้วยเพราะความงดงามของรอยยิ้มนี้

 

 

จิ่งเหิงปัวคว้ามือมั่วซั่วกลางอากาศ ยังอยากสัมผัสถึงมือนุ่มลื่นได้รูปนั้น แต่ความฝันยังยุ่งเหยิง ครั้งนี้กลายเป็นพ่อรูปงามชุดดำโยนซากศพมาตรงเท้านางดังพลั่ก น้ำเลือดน้ำหนองเหม็นขี้นกกระเซ็นเปรอะเปื้อนทั่วร่างนาง นางอยากอาเจียน อดจะกระซิบกระซาบด่าทอว่า “เหยียลี่ว์ฉี…” ไม่ได้

 

 

รอยยิ้มของเขาผนึกแน่นข้างริมฝีปากโดยพลัน

 

 

อากาศคล้ายถูกบีบรัดอึมครึมเสียจนแม้แต่สายลมยังโศกเศร้า เขาจดจ้องริมฝีปากของนาง ทว่านางกำลังหายใจฮืดฮาด วาจาหนึ่งดิ้นรนอยู่ข้างริมฝีปาก อยากอาเจียนทว่าไม่อาเจียน คล้ายความในใจยากจะเอ่ยเรื่องหนึ่ง

 

 

การรอคอยคล้ายยาวนานยิ่งนักทว่าแท้จริงแล้วแสนสั้น แววตาของเขาหม่นหมองลงไปทีละชุ่นเฉกเช่นเดียวกับรอยยิ้ม

 

 

จากนั้นเขาผลักนางออกแล้วลุกขึ้นโดยพลัน เสียงผ้าม่านสะบัดดังสวบ เงาคนสีหิมะหายไปเสียแล้ว

 

 

ในขณะเดียวกับที่เขาจากไป จิ่งเหิงปัวไอโขลกรุนแรงเสียงหนึ่ง ในที่สุดจึงสำลักเสมหะที่ติดคอหอยเฮือกหนึ่งนั้นออกมา เปล่งเสียงตะโกนก้องอีกครึ่งประโยคว่า “…ไอ้เลวนี่!”

 

 

 

 

วันต่อมาอุณหภูมิร่างกายของจิ่งเหิงปัวลดลงไปแล้ว รู้สึกว่าดีขึ้นมาก นางกล่าวขอบคุณจิ้งอวิ๋นด้วยท่าทางสดชื่นว่า “ขอบคุณมากนะที่เจ้าดูแลข้าเมื่อคืนน่ะ”

 

 

จิ้งอวิ๋นที่กำลังปักดอกไม้อยู่ด้านหนึ่งยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ ร้องโอ๊ยเสียงหนึ่งโดยพลันแล้วดูดนิ้วมือ

 

 

“อะไรหรือ” จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้ามอง

 

 

“ไม่เป็นอะไร” จิ้งอวิ๋นหันกลับมาอีกครั้งยิ้มแย้มดุจมวลผกา เอ่ยว่า “มิต้องขอบคุณ ดูแลเจ้าเป็นเรื่องที่ควรกระทำ”

 

 

ชุ่ยเจี่ยที่ป้อนอาหารเฟยเฟยอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน เงยหน้ามองจิ้งอวิ๋นปราดหนึ่งอย่างเงียบเชียบ

 

 

จิ่งเหิงปัวพบว่าขอบตาสองข้างบนใบหน้าของนางคล้ำเป็นดวง เห็นได้ชัดเจนว่าเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท หัวเราะฮิฮิตีนางแผ่วเบา กล่าวว่า “คราหน้าเจ้าป่วยไข้ ข้าจะดูแลเจ้าไม่ยอมหลับยอมนอนทั้งคืน!”

 

 

“มีผู้ใดเขาแช่งให้คนป่วยไข้กัน” จิ้งอวิ๋นตีหลังมือของนางอย่างแผ่วเบา ยิ้มให้นางหนึ่งครั้ง ยามหยิบเข็มขึ้นมาอีกครั้ง จามออกมาครั้งหนึ่ง

 

 

“อะไร เป็นหวัดหรือ ในรถม้าอบอุ่นยิ่งนักนะ หรือเจ้าติดหวัดจากข้า” จิ่งเหิงปัวรู้สึกเกรงใจขึ้นมาบ้าง

 

 

“มิใช่เยี่ยงนั้นหรอก เมื่อคืนข้าลุกตื่นออกไปกลางดึกจึงถูกลมพัดเข้า ดื่มแกงน้ำขิงแล้วคงดีขึ้น” จิ้งอวิ๋นวางสะดึงปักดอกไม้ลง ลงจากรถม้าไปหาแกงน้ำขิง ผ่านไปสักพักจึงกลับเข้ามา ข้างหลังนางยังมีผู้อ่อนวัยใบหน้ากลมผู้หนึ่งประคองยาต้มชามหนึ่งตามมา

 

 

“นี่คือองครักษ์เผ่าหลิวหลี” จิ้งอวิ๋นแนะนำว่า “เขาช่วยข้าต้มยา ซ้ำยังเอ่ยว่าร้อน อาสาช่วยมาส่งให้ถึงที่แห่งนี้”

 

 

แล้วโค้งกายกระซิบกระซาบข้างหูนางแผ่วเบาว่า “ยามมาส่งยาให้เราเขาถูกตรวจค้นไปถึงสามรอบ ทำให้เขาลำบากเสียแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังแล้วรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง ผู้อ่อนวัยกลับมีท่าทางมิได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ส่งรอยยิ้มใสซื่อให้นาง สายตาไร้เดียงสา

 

 

จิ่งเหิงปัวมองแล้วรู้สึกดีอย่างยิ่ง…แบบโชตะนี่นา

 

 

ผู้อ่อนวัยวางถ้วยยาลงแล้วถวายคำนับให้นาง ไม่ได้รอให้นางกล่าวอะไรอีก ถอยกลับไปอย่างสำรวมยิ่งนัก ก่อนลงจากรถม้าหันกลับมามองนางแวบหนึ่งด้วยสายตาอบอุ่น

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกสายตาปราดเดียวนี้มองจนในใจเจ็บปวดรวดร้าว นับแต่ทะลุมิติต้องลำบากยากแค้นร่อนเร่พเนจรผ่านร้อนผ่านหนาว แมลงสาบกระโดดโลดเต้นเริงร่าตัวหนึ่งเช่นนางนี้ได้ถูกทรมานจนกำลังกายกำลังใจเหนื่อยล้า ขณะนี้ความห่วงใยที่ซ่อนแฝงในสายตาปราดเดียวนี้ คล้ายต้นกล้าอ่อนสีเขียวต้นหนึ่งที่พลันปรากฏในความเวิ้งว้างว่างเปล่า สาดส่องห้องหัวใจทั้งห้องให้สว่างไสว

 

 

นางยกมือขึ้นบดบังตรงมุมหน้าผาก หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้า ยังคงยิ้มแย้มอวดตนอย่างไม่สนใจเช่นนั้น กล่าวว่า “ฮ่า! มีผู้มาพบข้าด้วยล่ะ”

 

 

ชุ่ยเจี่ยเงยหน้ามองนางปราดเดียวอย่างเงียบเชียบ ถอนใจโดยไร้เสียง

 

 

จิ้งอวิ๋นยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ที่จริงแล้วมีผู้คนไม่น้อยในหกแคว้นแปดชนเผ่าอยากจะใกล้ชิดเจ้า อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นเจ้านายใหม่ของพวกเขา เพียงแต่ราชครูสั่งเด็ดขาดว่าห้ามผู้ใดเข้าใกล้เจ้า พวกเขาถึงได้ไม่กล้า ข้าคิดว่าหากเจ้ามีความกระตือรือร้น ย่อมควรให้โอกาสพวกเขาสักหน่อย ใกล้ชิดกับขุนนางบ้าง ภายภาคหน้าจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า”

 

 

ในใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง ราชินีที่ยินยอมเป็นหุ่นเชิดไม่ใช่ราชินีที่ดี ประการแรกหากอยากจะชิงอำนาจย่อมต้องเข้าใจขุนนาง เข้าใกล้ขุนนางเสียก่อน สร้างความแตกแยกอัลไลแบบนี้ ในละครน้ำเน่ามีถมไป

 

 

“อืม ควรใกล้ชิดเสียหน่อย” นางกล่าว

 

 

“เช่นนั้น ข้าพาพวกเขามาพบเจ้าดีหรือไม่” จิ้งอวิ๋นถามอย่างหยั่งเชิง

 

 

จิ่งเหิงปัวชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง รู้สึกว่าทำไมวันนี้ต้นกล้าขี้โรคนางนี้ถึงได้กระตือรือร้นขนาดนี้ อีกอย่างเรื่องนี้เดิมทีจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้ มอบเจตนาดีตอบกลับสักหน่อยก็พอแล้ว หากจะแอบสานสัมพันธ์ลับๆ ล่อๆ ขึ้นมาจริง กลับจะไม่เหมาะสมเสียด้วยซ้ำ

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่เคยคิดจะให้จิ้งอวิ๋นเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ นางได้รักษาตนเงียบสงบอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว การเมืองเรื่องพรรค์นี้ อย่างไรก็เชื่อแค่ตนเองก่อนจะดีกว่า ยิ่งกว่านั้นจิ้งอวิ๋นเป็นพวกคิดมาก การข้องเกี่ยวเรื่องเหล่านี้อาจจะไม่ใช่เรื่องดี

 

 

“ไม่ต้องหรอก” นางเอ่ยว่า “ตามอารมณ์สักหน่อยก็พอ”

 

 

นับแต่วันนั้น นางมักจะพานพบองครักษ์ของชนเผ่าและแคว้นใต้อาณัฐแต่ละแคว้นที่ยิ้มแย้มถวายคำนับแด่นางบริเวณรอบด้านของรถม้า นางเองตอบรับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ฉะนั้นจึงมักทำให้มีผู้ร่วงจากหลังม้า บางครั้งลงไปเดินเล่นอะไรเช่นนั้นก็จะพบผู้โค้งคำนับจากที่ห่างไกล นางก็พยักหน้าเล็กน้อย ผู้ที่พบบ่อยที่สุดคือผู้อ่อนวัยเผ่าหลิวหลีคนนั้น ผู้อ่อนวัยใบหน้ากลมใสซื่อคนนั้นมักจะใช้สายตาจดจ้องถวายคำนับแด่นางจากซอกมุม ทว่ามิได้เดินเข้ามาใกล้และไม่ตั้งใจอยากให้นางพบเจอ บางครั้งนางสังเกตเห็นแล้ว เขาก็จะโค้งคำนับจากที่ห่างไกล ยิ้มยิงฟันครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่จิ่งเหิงปัวพบพานเหตุการณ์นี้ ในใจก็หดหู่ขึ้นมา รู้สึกว่าทั้งเหมาะสมทั้งอบอุ่นมีไมตรี พอจำนวนครั้งเช่นนี้มากขึ้น เมื่อสองคนพบเจอกันและกัน ต่างมีความรู้ใจอบอุ่นอารมณ์หนึ่ง วูบไหวด้วยสายตา

 

 

ตอนตั้งค่ายยามวิกาล นางจะได้รับกระถางผิงไฟที่ประดิษฐ์เองหรือเครื่องประดับน้อยที่มีเสน่ห์เป็นพิเศษชิ้นหนึ่ง ไม่ต้องกล่าวถามย่อมรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อ่อนวัยนั้นส่งมาให้ นางยิ้มแย้มครั้งหนึ่ง หยิบขึ้นมาชมสักพักแล้วเก็บไว้อย่างเงียบเชียบ

 

 

มีครั้งหนึ่งเดินไม่ระวัง ส้นรองเท้าปักอยู่ในผืนโคลน นางดึงอยู่เนิ่นนานถึงดึงออกมาได้ ตอนนั้นคล้ายว่าไม่มีใครอยู่ด้วยเลย แต่ว่าไม่นานเท่าไร ชุ่ยเจี่ยก็ส่งสิ่งของแปลกประหลาดที่ทำจากไม้คู่หนึ่งมาให้ ดูภายนอกคล้ายปลอกรองเท้า มุมหนึ่งสูงขึ้นไป นางถอดรองเท้าออกเทียบดู พบว่าสามารถประกอบเข้าด้วยกันกับรองเท้าส้นสูงของนางได้ด้วย ประกอบเข้าไปพื้นก็เรียบแล้ว แม้ว่ารองเท้าทั้งคู่แลดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง แต่ว่าประดิษฐ์อย่างประณีตงดงาม ไม่นึกเลยว่าจะประกอบได้อย่างเหมาะเจาะนัก

 

 

นางหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง…ประกอบของสิ่งนี้เข้าไป รองเท้าส้นสูงยังจะเรียกว่ารองเท้าส้นสูงเหรอ!

 

 

ชุ่ยเจี่ยหัวเราะเช่นกัน แล้วอดจะอธิบายแทนเด็กผู้นั้นไม่ได้ว่า “เขาเอ่ยว่าประกอบเข้าไปเช่นนี้ยามเดินเหินก็มั่นคงแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวหยุดหัวเราะทันที หยิบปลอกพื้นรองเท้าสอนจระเข้ว่ายน้ำนั้นขึ้นมา เนื้อสัมผัสลื่นเกลี้ยงเกลาเค้าโครงเรียบรื่น วัสดุที่ใช้คือวัสดุอย่างดี มองออกว่าเป็นงานแกะสลักชั้นดี สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือความพิถีพิถันและความอดทนนั้น ปลอกพื้นรองเท้าทั้งชิ้นไม่มีแม้แต่เสี้ยนและรอยตำหนิ ที่จริงแล้วสิ่งที่รองใต้พื้นรองเท้าจะต้องมาเป็นห่วงเสี้ยนอะไรอีก แต่ก็ไม่มีให้เห็นเลย

 

 

นางอดจะหัวเราะอีกครั้งไม่ได้ หัวเราะไปเช็ดดวงตาไป มือปิดบนดวงตาคล้ายนอนหลับแล้ว หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ชุ่ยเจี่ยได้ยินนางกระซิบกระซาบว่า “อยากมีน้องชายสักคนจังเลย อาศัยเขาให้เขาเลี้ยงข้าไปตลอดชีวิต…”

 

 

ชุ่ยเจี่ยถอนใจ ห่มผ้าห่มให้นางอย่างแผ่วเบา

 

 

กงอิ้นคล้ายไม่ได้รู้สึกตัวกับเรื่องนี้ เพียงแต่ยิ่งมายังบริเวณรถม้าของนางน้อยลง มีบางครั้งนางเลิกผ้าม่านหาเขาในกองทัพอยู่เนิ่นนานแต่ไม่พบเงาร่างของเขา ผ้าม่านจึงถูกนางปัดไปนับมิถ้วนครั้งจนด้ายทองเส้นบางยังเปลี่ยนรูปร่าง

 

 

นางกลับไม่รู้ว่าทุกครั้งหลังจากผู้คนมาแสดงไมตรีเหล่านั้นจากไป ในรถม้าของกงอิ้นก็จะได้รับรายงานอย่างละเอียดหนึ่งฉบับ คนเหล่านั้นทำสิ่งใด เอ่ยเรื่องใด มีท่าทีอย่างไรต่อนาง มีปฏิสัมพันธ์อย่างไรหรือไม่ รวมถึงการวิเคราะห์สิ่งเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนเข้าใจได้ จัดทำเป็นรายงานออกมา

 

 

กงอิ้นมักจะอ่านโดยละเอียดยิ่งนัก บางครั้งยังใส่หมายเหตุด้วย หลายครั้งหลายคราเหมิงหู่เองอยู่ข้างกายเขา ให้ข้อเสนอแนะบางส่วนในยามนั้น

 

 

บทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ บางส่วนสูญสลายไปในพื้นที่ไม่กว้างนักของรถม้า

 

 

“…สังเกตการณ์คัดกรองหลายวัน ผู้ต้องสงสัยมีประมาณสิบเอ็ดคน หนึ่งในนั้น ผู้นี้มีแผนการมากที่สุดขอรับ…”

 

 

“ความคิดลึกซึ้งยิ่งนักโดยแท้”

 

 

“ราชินียังคงใจดีเกินไปหน่อยขอรับ…”

 

 

“…หลังจากนี้นางเคยชินก็ดีแล้ว…ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ระดมพลหลงฉีและหย่งเลี่ยทั้งสองค่าย เฝ้ารอคอยที่ปากทางภูเขาตี้เกอ”

 

 

“…นายท่าน สองค่ายสะดุดตาเกินไป โยกย้ายยามนี้ไม่เหมาะสม ยิ่งกว่านั้นวิธีการรุนแรงเกินไปย่อมจะทำให้หกแคว้นแปดชนเผ่าเกิดความไม่พอใจขอรับ…”

 

 

“เจ้าเอ่ยแล้วว่า ที่จริงแล้วนางยังคงใจดีเกินไป มักยินยอมเชื่อใจผู้อื่น…ไม่ใช้หลงฉีและหย่งเลี่ยทั้งสองค่ายสยบคนเหล่านั้นไว้ให้หนัก ไม่เค้นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนเหล่านั้นออกมา ผู้ใดจะรู้ว่าภายภาคหน้าจะเกิดเรื่องใดขึ้นอีก”

 

 

“นายท่านตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง…เพียงแต่คนเหล่านั้นมีอุบายลึกซึ้งเช่นกัน กลัวแต่ยามถึงเวลาราชินีจะเข้าใจผิดขอรับ…”

 

 

“นางเข้าใจผิดก็เรื่องของนาง ข้ากระทำเรื่องของข้า ไฉนจึงต้องใส่ใจมากมายเช่นนั้น…เหมิงหู่”

 

 

“ขอรับ”

 

 

“การแสดงฝีมือในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จนั้น ดูท่าทางไม่เรียนรู้ไร้วิชานั้นของนางย่อมผ่านด่านไปไม่ได้อย่างแน่นอน ให้คนที่เจ้าตระเตรียมไว้รอคอยอยู่ที่ตี้เกอเสียแต่เนิ่น หากไร้หนทางจริงๆ จงลงมือ…”

 

 

“ขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้”