บทที่ 72 เหม็นถึงจิตวิญญาณ โดย Ink Stone_Romance
เมื่อเห็นว่าเขากินเต้าหู้เหม็นเน่านั่นเข้าไป ทุกคนก็ทำตาโตทันที
“โอ้โฮ!” เถี่ยตั้นทำเสียงราวกับไม่อยากเชื่อ
“โอ้โฮ~” น้องสาวตัวน้อยส่งเสียงเล็กๆ เลียนแบบพี่ชาย
หลังจากคุณชายห้ากินเข้าไปหนึ่งคำ ก็รีบกินคำที่สอง ใช้ตะเกียบคีบออกจะยุ่งยากไปสักหน่อย เขาจึงใช้มือเปล่าหยิบขึ้นมากิน ประหนึ่งเต้าหู้เหม็นที่เพิ่งขึ้นจากกระทะนั้นไม่ร้อนเลยแม้แต่น้อย
ทั้งอวี๋เฟิงและอวี๋ซงต่างตะลึงงัน
หากคุณชายห้ากินเพียงคำเดียว ก็ยังนับว่ากล้าหาญ สมเป็นชายชาตรี แต่กินทีละชิ้นๆ ไม่หยุดเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“เขา…เขาบ้าไปแล้วหรือ?” อวี๋ซงพึมพำด้วยสีหน้าตื่นกลัว
อวี๋เฟิงก้มหน้าแล้วถลึงตาใส่น้องชายที่อยู่ด้านล่าง “อย่าพูดจาเหลวไหล!”
“ข้าพูดผิดหรืออย่างไร? นั่นมันเต้าหู้เน่า เหม็นจะแย่ ทอดแล้วยิ่งเหม็นกว่าเดิม กินได้หรือ?” อวี๋ซงไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าของพรรค์นี้จะกินได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นของที่อวี๋หวั่นทำ ฝีมือทำอาหารอย่างนาง แม้แต่เต้าหู้ดีก็สามารถทำให้เป็นเต้าหู้เสียได้ ยิ่งมิต้องกล่าวถึงเต้าหู้เน่า
“ซู้ด~” เถี่ยตั้นน้อยถูกท่าทางกินอย่างเอร็ดอร่อยของคุณชายห้าทำให้น้ำลายไหล “ดูน่าอร่อยจริงๆ นั่นแหละ…”
เต้าหู้ที่อวี๋หวั่นยกออกมานั้นเป็นเต้าหู้ที่มิได้ใส่เครื่องปรุงแต่อย่างใด รสชาติของเต้าหู้หมักยังคงอยู่ เนื้อด้านในกรอบ ส่วนใจกลางเนื้อนุ่มละมุนแทบละลายใจปาก
มิใช่ว่าคุณชายห้าแห่งสกุลเซียวไม่เคยลิ้มลองเต้าหู้ทอดมาก่อน ทว่าเนื้อสัมผัสที่แตกต่างเช่นนี้ เขาเพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรกในชีวิต กอปรกับกลิ่นเหม็นที่มิอาจบรรยายได้ ช่างเข้ากับประโยคที่ว่า ‘ดมดูแล้วเหม็น กินเข้าไปแล้วหอม’ เสียเหลือเกิน
หอมจริงๆ !
เต้าหู้เหม็นจานใหญ่ลงไปอยู่ในท้องของคุณชายห้าสกุลเซียวจนหมดไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว
เต้าหู้หมดจานแล้ว ทว่ากลิ่นเหม็นรุนแรงของมันยังคงคละคลุ้งไปทั่วบ้าน
“ย…ยังมีอีกหรือไม่?” คุณชายห้าเอ่ยถาม
“ยังมีอีก” อวี๋หวั่นเดินไปทอดเต้าหู้มาอีกจานหนึ่ง
ครั้งนี้ เถี่ยตั้นน้อยทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาดึงมือออกจากมือของพี่ชาย วิ่งเตาะแตะเข้าไป ใช้ตะเกียบจิ้มเต้าหู้ขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วยัดเข้าปาก
“โอ๊ย! ร้อนๆๆ!” เต้าหู้ร้อนจนเถี่ยตั้นน้อยต้องพ่นลมออกมา
“เจินเจิน จะกิน” น้องสาวคนเล็กเห็นพี่เถี่ยตั้นกิน ก็อยากกินบ้าง
สุดท้ายแล้ว ทุกคนในบ้านรวมไปถึงผู้จัดการชุยซึ่งวิ่งหนีออกไป ก็จำต้องลองชิมเต้าหู้เหม็นบ้าง
“กินกับผักก็ย่อมได้” อวี๋หวั่นเจาะรูตรงกลางเต้าหู้ นำหัวผักกาดรสหวานและเผ็ดที่ลุงใหญ่ดองเอาไว้ มาหั่นเป็นลูกเต๋าแล้วยัดเข้าไป จากนั้นจึงราดด้วยน้ำพะโล้แดงหนึ่งช้อนเต็มๆ รสชาติของเต้าหู้เหม็นก็พลันกลมกล่อมยิ่งกว่าเดิม
เต้าหู้ทอดร้อนๆ กินคู่กับหัวผักกาดดองเย็นๆ รสเค็มหวานแซมอยู่ในความเผ็ดร้อน กระตุ้นให้ต่อมรับรสทำงานได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
หากไม่ชอบน้ำแกง ก็สามารถใส่พริกลงไปเพิ่มได้ รสชาติก็ยังคงอร่อยจนบรรยายไม่ถูกเช่นกัน
นอกจากอวี๋เฟิงและป้าใหญ่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับอาหารประเภทนี้เท่าไรนัก คนอื่นๆ ต่างแย่งกันกินเต้าหู้ทอดจนหมดเกลี้ยง
เมื่อคุณชายห้าเห็นว่าอวี๋หวั่นสามารถนำเต้าหู้เน่ามาทำให้มีรสชาติดีได้ถึงเพียงนี้ ก็อดชื่นชมฝีมือทำอาหารของอวี๋หวั่นมิได้ ทั้งยังให้เธอไปทำอาหารง่ายๆ มาเพิ่มสักสองสามอย่าง แต่หลังจากที่ได้ลองชิมเข้าไป เขาก็เริ่มงุนงงกับชีวิตขึ้นมา
คุณชายห้าปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ค…แค่เต้าหู้เหม็นอย่างเดียวก็พอ”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “อาหารเพียงอย่างเดียว ข้าลดราคาให้ท่านไม่ได้นะ”
คุณชายห้าวางมาดขรึม “อืม”
ต้องสั่งอาหารมากกว่านี้ จึงจะลดราคาให้ข้าได้สินะ อาหารประเภทอื่นของเจ้าแทบจะคร่าชีวิตคนได้ หากพวกเขาตาย…ข้าจะนำสิ่งใดไปชดใช้เล่า…
การเจรจาการค้าในครั้งนี้จบลงด้วยดี คุณชายห้าเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ แต่สำหรับเรื่องของท่านป้า เขาย่อมทุ่มเทเต็มที่ คิดเป็นเงินทั้งหมดยี่สิบตำลึง จ่ายมัดจำก่อนห้าตำลึง
ต้องขอบคุณผู้จัดการชุย พวกเขาถึงได้งานในครั้งนี้ อวี๋หวั่นจึงนำเงินห้าตำลึงใส่ซองแดงให้กับผู้จัดการชุย ทว่าทำอย่างไรผู้จัดการชุยก็ไม่รับ
อวี๋หวั่นจึงกลับไปที่บ้าน เธอหยิบใบชาที่ลุงวั่นให้มาพร้อมกับผ้าในครั้งก่อนขึ้นมาสองกล่อง หากใช้ผ้าฝ้ายห่อก็อาจจะดูไม่เหมาะ อวี๋หวั่นจึงหยิบกระดาษปูโต๊ะมาห่อกล่องแทน
“หากผู้จัดการชุยไม่รังเกียจ ก็นำใบชาเหล่านี้ไปดื่มเถิด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หากผู้จัดการชุยไม่รับเอาไว้ ก็จะเป็นการดูแคลนชาวบ้านผู้ยากไร้
ผู้จัดการชุยรับใบชาเหล่านั้นมา แล้วกล่าวขอบคุณอวี๋หวั่น
เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงใบชาขม[1]พื้นถิ่นชนิดหนึ่งที่พวกเขาปลูกกันเอง ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อขึ้นมาเปิดของดูบนรถม้า เขาก็ตกใจจนแทบปัสสาวะรดกางเกง!
ผู้ใดบอกเขาได้บ้างว่าชาวบ้านจากชนบทในหุบเขาครอบครัวหนึ่ง จะมีชาหลงจิ่งชั้นเยี่ยมซึ่งปีหนึ่งๆ จะเก็บเกี่ยวได้เพียงสิบจินได้อย่างไรกัน?!
ยังมีกระดาษห่อใบช้าแผ่นนี้อีก…มิอาจเป็นภาพเขียนของรัชศกนี้อย่างแน่นอน!
ผู้จัดการชุยเช็ดเม็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก เขา…เขาน่าจะไปรู้จักครอบครัวที่ไม่ธรรมดาเข้าให้แล้ว…
……
หลังจากที่ผู้จัดการชุยและคุณชายห้าแห่งตระกูลเซียวกลับไป อวี๋หวั่นก็ง่วนอยู่แต่ในครัวที่บ้านเดิม
กิจการแรกของต้นปี เธอต้องทำให้ดี หลังจากนี้กิจการของพวกเขาก็จะเฟื่องฟูตามไปด้วย
หากจะทำเต้าหู้เหม็นให้ดี สิ่งที่ยัดไส้เต้าหู้นับเป็นกุญแจสำคัญ
ในความคิดของอวี๋หวั่น หัวผักกาดดองกับน้ำพะโล้มีรสชาติดีก็จริง ทว่าหากนำมาทำเป็นไส้เต้าหู้ ก็จะทำให้อาหารดูขาดจิตวิญญาณไปเสียหน่อย
ในไหยังมีเต้าหู้เหม็นที่ยังมิได้ทอดเหลืออยู่อีกสามสี่จิน เธอจึงตัดสินใจนำเต้าหู้เหล่านั้นไปทำเป็นเต้าหู้ยี้ แล้วนำน้ำของเต้าหู้ยี้มาทำเป็นไส้ เช่นนี้เต้าหู้ที่เหม็นอยู่เดิม ก็จะยิ่งเหม็นยิ่งขึ้นอีก เหม็นถึงจิตวิญญาณ เหม็นไปสุดล่าฟ้าเขียว!
……
ณ จวนสกุลเหยียน ฮูหยินเหยียนและเหยียนหรูอวี้ก็คุยกันถึงงานเลี้ยงวันเกิดที่คุณชายห้าแห่งสกุลเซียวจะจัดขึ้น
สามีของฮูหยินเข้าของวันเกิดนั้นแซ่เว่ย หลังจากที่ลงหลักปักฐานในเมืองหลวง ผู้คนต่างเรียกนางว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเว่ย’
เหยียนหรูอวี้เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “วันที่สิบของเดือนหนึ่ง พวกเรามิได้จะไปไหว้บรรพบุรุษกันหรอกหรือ?”
ฮูหยินเหยียนกล่าวว่า “เซ่นไหว้บรรพบุรุษต้องไปอย่างแน่นอน ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเว่ยมิได้จัดงานเอิกเกริกอันใด พวกเรามิต้องไปรบกวนเขา ให้คนส่งของขวัญไปให้เป็นพอ”
“ครานั้น ข้าไม่เห็นคนสกุลเว่ยมาร่วมงานของเรา” อวี๋หวั่นกล่าวเสียงเรียบพลางเล่นกับผ้าเช็ดหน้า
ฮูหยินเหยียนถอนหายใจ “เจ้าไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเว่ยไม่มีลูกหลาน มีบุตรสาวรูปโฉมงดงามเพียงคนเดียว ทว่าแม่นางเว่ยผู้นั้นก็ถูกหวั่นเจาอี๋รับไปเลี้ยงดูในวัง ยากจะออกมาข้างนอก ทั้งยังมิอาจให้คุณชายห้าสกุลเซียวมาออกงาน บุรุษผู้หยาบกระด้างเหล่านั้น รำคาญเรื่องการตอบแทนผู้อื่นเป็นที่สุด”
เหยียนหรูอวี๋มิได้กล่าวอันใด
ฮูหยินเหยียนจึงกล่าวต่อว่า “จะว่าไปพวกเรากับสกุลเว่ยก็มิได้ไม่เกี่ยวข้องกันเสียทีเดียว หลานชายของนางเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับแม่ทัพเซียว หลังจากที่เจ้าแต่งงานกับคุณชายเยี่ยน ก็จะนับว่าเป็นลูกสะใภ้ของสกุลเซียว คุณชายห้าผู้นี้ ก็จะนับว่าเป็นญาติของเจ้าด้วย”
เหยียนหรูอวี้กล่าวว่า “แต่ลูกได้ยินมาว่า คุณชายห้าแห่งสกุลเซียวท่านนี้เป็นเพียงผู้ใต้บังคับของแม่ทัพเซียว”
ฮูหยินเหยียนยิ้ม “เรื่องความหลักแหลม แม่มิอาจเทียบเจ้าได้ แต่เรื่องความสัมพันธ์ทั้งลับทั้งเปิดเผย เจ้าฟังแม่แนะนำให้มากสักหน่อย”
“อย่างไรหรือ? มิใช่ว่ายังมีเรื่องภายในอีก?” เหยียนหรูอวี้เอ่ยถาม
ฮูหยินเหยียนกระซิบที่ข้างหูเรียวของบุตรสาว
เหยียนหรูอวี้ตกใจ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
ฮูหยินเหยียนยิ้มน้อยๆ “เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าได้ดูแคลนคุณชายห้าเชียว แม่ทัพเซียวให้ความสำคัญกับเขามาก พวกเขาร่วมเป็นร่วมตายกันในสนามรบ บางครั้งให้ความสำคัญมากกว่าพี่น้องเสียด้วยซ้ำ เจ้าทำให้พระมเหสีไม่พอใจ ย่อมต้องมีผู้ที่ช่วยเจ้าพูดต่อหน้าพระมเหสี”
……………………………………………..
[1] ชาขม จัดเป็นชาผู่เอ่อร์ประเภทหนึ่ง มีรสขม ปัจจุบันนิยมปลูกบนภูเขาสูงในมณฑลยูนาน