บทที่ 73 โลกกลม โดย Ink Stone_Romance

พริบตาเดียวก็ย่างเข้าวันที่สิบแล้ว

ยังไม่ถึงยามสี่ดี ลุงใหญ่ก็ลุกขึ้นมาแล้ว

ป้าสะใภ้ใหญ่ถูกเสียงของเขาปลุกให้ตื่น นางพึมพำด้วยความหงุดหงิดว่า “ท่านไม่ต้องไป ไยต้องตื่นเช้าถึงเพียงนี้ด้วย?”

คุณชายห้าแห่งสกุลเซียวสั่งเต้าหู้เหม็น อวี๋หวั่นทำด้วยตนเองได้ มิต้องรบกวนให้ลุงใหญ่ไปด้วย

ที่จริงแล้ว คุณชายใหญ่เคยแอบลองทำดูหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่เหมือนกับที่อวี๋หวั่นทำ

ความมั่นใจของลุงใหญ่ถูกโจมตีอย่างรุนแรง จะให้ผู้ใดรู้ความลับนี้มิได้เป็นอันขาด เขายังคงเป็นตำนานแห่งห้องครัว เป็นลุงใหญ่ผู้เกรียงไกร!

ป้าสะใภ้ใหญ่ อวี๋เฟิง และอวี๋ซงที่รู้ความลับตั้งแต่ก่อนหน้านี้ “…”

ลุงใหญ่สวมเสื้อผ้า เขาหัวเราะ ‘เหอะๆ’ แล้วกล่าวว่า “อาหวั่นจะเข้าเมืองหลวง และจะแวะไปเยี่ยมเด็กๆ ด้วย ข้าจะไปทำขนมให้นางนำไปให้พวกเขาสักหน่อย”

“คนเขาอยากกินขนมของท่านหรืออย่างไร?” ป้าสะใภ้ใหญ่ถลึงตาใส่เขา แต่ก็ฝืนลุกขึ้นมา

หลังจากยามห้า เส้นสีเงินจางๆ ก็ปรากฏบนเส้นขอบฟ้า แสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องผ่านกลีบเมฆ เรืองรองงามตายิ่นัก

ซั่งกวนเยี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กระพริบตาปริบๆ แสงสะท้อนจากกระเบื้องหลิวหลีหลากสีสันสะท้อนเข้าทางหน้าต่าง ทำให้นางแสบตาจนต้องหลับตาลง

ท่านป้าฟางปรี่เข้ามาดึงม่านลง

บ่าวอายุน้อยนางหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังซั่งกวนเยี่ยน สวมเครื่องประดับศีรษะซึ่งดูหรูหรางดงามให้นาง

น้อยครั้งนักที่ซั่งกวนเยี่ยนจะตื่นเช้า ครั้งนี้มิใช่เพื่ออื่นใด นอกจากเพื่องานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเว่ย ท่านป้าของคุณชายห้าสกุลเซียว ก่อนหน้านี้นางได้ไปอวยพรฮูหยินผู้เฒ่ามาแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยท่านนี้ช่างเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม นางสูญเสียสามีไปตั้งแต่ยังสาว เมื่อถึงวัยกลางคนก็สูญเสียบุตรสาวไปอีก เหลือเพียงบุตรสาวคนเล็กเพียงคนเดียว

เมื่อชีวิตเริ่มยากลำบาก นางก็พาบุตรสาวไปพึ่งพิงญาติซึ่งอยู่แดนไกล นั่นก็คือครอบครัวขอบคุณชายห้าแห่งสกุลเซียว

ทว่าสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยมิได้คาดคิดก็คือ ครอบครัวของเขาก็ยากจนเสียไม่มี บิดาของเขาเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ มารดาของเขาก็ไม่เด็ดขาดพอ ไม่สามารถควบคุมสามีได้ ทั้งยังมีบุตรสาวและบุตรชายต้องคอยดูแล แทบจะไม่สามารถเลี้ยงปากท้องของคนในครอบครัวได้

โชคดีที่นางเซียวแม้จะยากจน แต่กลับมิได้รังเกียจอีกสองปากที่เพิ่มเข้ามา ทว่าถึงจะไม่รังเกียจ แต่กระสอบข้าวสารก็มีแต่จะแฟบลงเรื่อยๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยอับจนหนทาง นางใช้ทักษะด้านการทำอาหารที่ศึกษามาจากสามีผู้ล่วงลับ เริ่มหาเลี้ยงชีพไปเรื่อยๆ

แม่ม่ายคนหนึ่ง ทำมาหาเลี้ยงครอบครัวด้วยตัวคนเดียว ความยากลำบากเช่นนี้ คนธรรมดายากจะจินตนาการได้

เรียกได้ว่า หากไม่มีฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย ก็คงไม่มีครอบครัวของคุณชายเซียวในวันนี้

ท่านพ่อท่านแม่สกุลเซียวทยอยลาโลกไปเมื่อหลายปีก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซียวจึงวางแผนว่าจะพาบุตรสาวกลับชนบทไป ทว่าถูกคุณชายเซียวรั้งให้อยู่ต่อ

  คุณชายห้าซื้อเรือนให้นางอยู่ หวั่นเจาอี๋ขอพระราชทานตำแหน่งให้นาง ไม่เพียงเท่านั้น หวั่นเจาอี๋ยังรับบุตรสาวของนางเข้าไปเลี้ยงในวังอีกด้วย

เช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยก็มิได้เอ่ยถึงเรื่องย้ายกลับชนบทอีก และใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงต่อไป

“ฮูหยิน รถม้าของนายท่านสองพร้อมแล้ว” บ่าวระดับสอง[1]เลิกม่านเข้ามารายงาน

บ่าวคนใหม่หยิบปิ่นปักผมประดับขนนกยูงขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างโอหังว่า “ให้เขารอ!”

ป้าฟางถลึงตาใส่นาง

บ่าวคนใหม่ผู้นั้นเบะปาก กล่าวว่า “ที่ผ่านมาฮูหยินก็ให้นายท่านรอมิใช่หรือ…”

ซั่งกวนเยี่ยนจับปิ่นบนศีรษะ จ้องมองไปในกระจกทองแดง “วันนี้มิต้องให้เขารอ”

“นายท่านสองรอได้ นายท่านเคยบอกว่าฮูหยินสำคัญที่สุด!” บ่าวกล่าวอย่างแน่วแน่

ซั่งกวนเยี่ยนส่องกระจก นางหยิยต่างหูขึ้นมาใส่ “ใครกลัวเขารอกัน”

วันนี้เป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย ซั่งกวนเยี่ยนยังติดหนี้น้ำใจครั้งใหญ่กับฮูหยินผู้เฒ่า ไม่มีทางสร้างปัญหาในงานอย่างแน่นอน

บ่าวอายุน้อยติดตามซั่งกวนเยี่ยนไปขึ้นรถม้า

เมื่อถึงคฤหาสน์สกุลเว่ย แขกที่เป็นบุรุษจะไปยังเรือนของคุณชายสอง สตรีจะเข้าไปในสีชุนเก๋อซึ่งอยู่ส่วนในของเรือน มีเพียงซั่งกวนเยี่ยนผู้เดียวที่มีแม่บ้านมาเชิญด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมพานางเข้าไปในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย

 อีกด้านหนึ่ง รถม้าของคนสกุลอวี๋ก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์สกุลเว่ย

ลุงใหญ่มิได้มาด้วย แต่อวี๋เฟิงและอวี๋ซงมาเป็นลูกมือของอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นสะพายห่อผ้าใบหนึ่ง ถือหม้อใบเล็กอีกหนึ่งใบ อีกสองคนช่วยกันลำเลียงตะกร้าและไหใส่วัตถุดิบลงจากรถม้า

ไหถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีกลิ่นเหม็นเล็ดลอดออกไป แต่เมื่อเทียบกับกลิ่นของวัตถุดิบราคาแพงรอบตัวพวกเขา ตะกร้าและไหดินเผาเหล่านี้ ก็ดูซอมซ่อขึ้นมาทันตาเห็น

บ่าวชายซึ่งเฝ้าประตูมองพวกเขาอยู่นาน ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขามาจึงมาที่นี่ จนกระทั่งอวี๋หวั่นหยิบบัตรเชิญที่คุณชายห้ามอบให้ให้เขาดู เขาจึงตระหนักได้ว่าทั้งสามคนนี้เป็นแม่ครัวและพ่อครัวที่คุณชายห้าเชิญมา

จากประสบการณ์ที่คฤหาสน์สกุลไป๋ เข้าเมืองหลวงในครั้งนี้ พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย แม้ว่าเสื้อผ้าชุดใหม่จะยังดูธรรมดา ทว่าดูดีกว่าแต่ชุดเดิมมาก ทั้งยัง…ดูอ่อนเยาว์ไปสักหน่อย

ทว่าคุณชายห้าได้บอกไว้แล้ว ว่าผู้ที่จะมาเป็นดรุณีน้อยนางหนึ่ง

บ่าวชายรับบัตรเชิญมา และผายมือเข้าไปในคฤหาสน์ พร้อมกล่าวว่า “เชิญทางนี้”

ทั้งสามคนเดินเข้าไปด้านใน

แต่ทันใดนั้นเอง อวี๋ซงกระชับกระกร้าที่เขาสะพายอยู่ สายสะพายของตะกร้าก็ขาด ตะกร้าจึงตกลงบนพื้น มันเทศและหัวผักกาดกลิ้งกลุกๆ ออกมา กระจายราวกับไข่มุก

อวี๋ซงก้มลงเก็บของ ทว่าเขารีบร้อนเก็บของจนมิทันได้สังเกตว่ามีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้า

สาวใช้นางหนึ่งเดินลงมาจากรถม้า และชนเข้ากับอวี๋ซง

อวี๋ซงก้มหน้าก้มตาเก็บของที่ตนกอบเอาไว้ ซึ่งกลิ้งหลุนๆ ลงไปอีกรอบ แล้วชนกับกล่องในมือของสาวใช้นางนั้น

กล่องตกลงกระแทกพื้นจึงเปิดออก ขนมในกล่องกระจายไปทั่วพื้น

นางมีสีหน้าตื่นตระหนก “ไอหยา ของของข้า!”

อวี๋เฟิงตกใจจนนิ่งไป

อวี๋เฟิงและอวี๋หวั่นรุดเข้ามา

สาวใช้โทสะพุ่งพล่าน “ดูเสียว่าเจ้าทำอะไร! กว่าข้าจะถือมาที่นี่ได้! แต่กลับถูกเจ้าชนจนหมด! ครั้งนี้จบกัน! แม่นางบ้านข้าต้องดุข้ายกใหญ่แน่!”

อวี๋ซงมองขนมบนพื้น แล้วพึมพำว่า “ก็ยังไม่เป็นอะไรมิใช่หรือ? เก็บขึ้นมาก็ได้นี่”

“เก็บ? เก็บขึ้นมา?” นางโกรธจัดจนควันออกหู เป็นคนแบบใดกันนี่? ของตกพื้นไปแล้ว ยังจะให้เก็บขึ้นมากินอีกหรือ?

อวี๋ซงรู้ดีว่าครั้งนี้เขาเป็นคนผิด จึงก้มหน้าและไม่ต่อปากต่อคำกับนางอีก

อวี๋หวั่นมองขนมเหล่านั้น เธอแกะห่อผ้าออกแล้วเดินขึ้นหน้าไปกล่าวกับสาวใช้ว่า “ขออภัยด้วย ที่ชนของของท่านเข้า ข้ามีขนมอยู่บ้าง เป็นขนมที่ลุงใหญ่ของข้าทำด้วยตนเอง เขาเคยเป็นพ่อครัวใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง รสมือยอดเยี่ยม ท่านลองชิมว่าชอบหรือไม่

ขนมเหล่านี้ล้วนเป็นของที่ลุงใหญ่ทำมาฝากเด็กน้อยทั้งสาม ไม่เพียงรสชาติดีเยี่ยม รูปลักษณ์ยังดูประณีตงดงาม อวี๋หวั่นมั่นใจว่าขนมของลุงใหญ่มิได้ด้อยไปกว่าขนมที่ตกพื้นเลย

หากนางชื่นชอบ ก็ให้นางไปสองกล่อง หากนางไม่ชอบ ก็ค่อยต่อรองชดใช้ค่าเสียหาย

สาวใช้มิได้เหลือบมองด้วยซ้ำ

“ของของลุงใหญ่เจ้าจะเท่าไรกันเชียว! เทียบกับของแม่นางตู้ได้รึ!”

สาวใช้สะบัดมือครั้งหนึ่ง ปัดห่อผ้าของอวี๋หวั่นตกลงบนพื้นทั้งหมด!

………………………………………………..

[1] บ่าวระดับสอง หมายถึงบ่าวที่มิได้ติดตามดูแลเจ้านายตลอดเวลา