บทที่ 74 อันดับหนึ่งในใต้หล้า โดย Ink Stone_Romance
ลุงใหญ่แข้งขาไม่ดีนัก แม้ว่าเขาจะมิได้พูดออกมา ทว่าทุกก้าวที่เขาเดิน ความรู้สึกเจ็บปวดจะแล่นปราดเข้าทิ่มแทงจนถึงกระดูก เพื่อที่จะทำขนมเหล่านี้ ลุงใหญ่ง่วนอยู่ในครัวเพียงคนเดียวถึงสองชั่วยาม ป้าสะใภ้ใหญ่ช่วยอะไรมิได้มาก แต่จะไปเรียกอวี๋เฟิงและอวี๋หวั่น ลุงใหญ่ก็ไม่ยอม
เมื่ออวี๋หวั่นเดินไปบ้านเดิมในตอนเช้า ลุงใหญ่ก็ไปพักผ่อนเสียแล้ว ใบหน้าของเขาซีดเผือด
ทว่าบัดนี้ ความทุ่มเทของเขา ได้ถูกปู้ยี่ปู้ยำอย่างเลือดเย็น
อวี๋ซงทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาปราดเข้าไปข้างหน้า “ท่านพูดไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร?!”
สาวใช้ถูกโจมตีกระทันหันเช่นนี้ จึงตกใจกลัวจนหน้าถอดสี ทว่าเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็สามารถปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ นางกล่าวโต้ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ใครพูดไม่รู้เรื่องกันแน่? เห็นอยู่ว่าเจ้ามาชนข้าก่อน!”
“ข้าจงใจชนท่านรึ? ข้าไม่ได้จงใจสักหน่อย! ท่านสิที่จงใจชนข้า! อีกอย่าง ปากประตูคนมากมายเพียงนั้น ไฉนข้าถึงไม่ชนคนอื่นเล่า? แต่กลับบังเอิญมาชนกับท่าน? หากข้าไม่ดูตาม้าตาเรือ ท่านเองก็ไม่ดูตาม้าตาเรือเหมือนกันมิใช่หรือ? ท่านไม่เห็นข้าหรืออย่างไร? เหตุใดไม่หลบไปเล่า?!”
ที่จริงอวี๋ซงรู้ว่าตนกำลังจะชนเข้ากับดรุณีนางหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนผิด ดังนั้นเมื่ออวี๋หวั่นจะชดใช้ให้อีกฝ่าย เขาก็มิได้แม้แต่จะคัดค้าน แต่สตรีนางนี้ก็ทำเกินไปจริงๆ ไม่รับของชดเชยก็เรื่องหนึ่ง ทว่านางยังทำให้เขาเกิดโทสะเพราะขนมที่บิดาของเขาอุตส่าห์ตื่นมาทำตั้งแต่เช้า
“เจ้า…เจ้า…” สาวใช้พูดตะกุกตะกัก นางเถียงอวี๋ซงไม่ออก
อวี๋หวั่นมิได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว เธอเพียงแต่นั่งยองลงเงียบๆ แล้วค่อยๆ หยิบขนมขึ้นมาจากพื้นทีละชิ้นๆ
อวี๋เฟิงมองไปยังอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าซับซ้อน แล้วเข้าไปลากอวี๋ซงออกมา
อวี๋หวั่นค่อยๆ เก็บขนมขึ้นมา เก็บจนไปหยุดอยู่ข้างเท้าของสาวใช้
สาวใช้มองปราดด้วยสายตาเย็นเยียบ แล้วใช้เท้าเตะขนมมันปูกรอบ[1]ออกไปไกล
มือของอวี๋หวั่นซึ่งกำลังจะเอื้อมหยิบขนมนั้นชะงักกลางอากาศ
“โชคร้ายจริง!” สาวใช้กระทืบเท้า แล้วเดินนำบ่าวซึ่งยกของขวัญเข้าไปในเรือน
สาวใช้ผู้นี้มีชื่อว่าเถาจือ ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี นางเป็นสาวใช้อันดับหนึ่งของฮูหยินเหยียน ค่อนข้างมีหน้ามีตาในจวนสกุลเหยียน หากเหยียนเซี่ยมิได้เกิดเรื่องเสียก่อน ฮูหยินเหยียนคงให้นางตบแต่งเป็นอนุภรรยาของเขาไปแล้ว
นางแต่งกายงดงามกว่าคุณหนูจากสกุลขุนนางทั่วไปเสียอีก สวมเสื้อคลุมยาวผ้าไหมโปร่ง สวมเครื่องประดับศีรษะที่ทำจากหยกเลี่ยมทอง เท้าที่ผ่านการรัดจนเล็กยืนอยู่บนรองเท้าสีชมพูปักดิ้นประดับด้วยไข่มุกเม็ดใหญ่
ทว่าสิ่งหนึ่งที่เถาจือมิได้สังเกตเห็นก็คือ ไข่มุกเม็ดใหญ่ที่รอเท้าข้างซ้ายของเธอหลุดออกไปตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจรู้ได้
อวี๋หวั่นลุกขึ้นยืน สัมผัสไข่มุกในมือ
“เป็นจวนสกุลเหยียนหรือ! มิได้พบเสียนาน! แม่นางเถาจือเชิญทางนี้!”
นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่คนจะเรียกนางว่าแม่นางเถาจือ
อวี๋หวั่นคิดในใจ
เถาจือยกเสื้อคลุมขึ้นอย่างลำพอง แต่ทันทีที่นางกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู ส้นเท้าก็พลันลื่นพรืด…
“ไอหยา มือข้า…”
เถาจือข้อมือหัก และเป็นมือข้างเดียวกับที่นางใช้ปัดขนมของอวี๋หวั่นพอดี
……
อวี๋หวั่นและพี่ชายทั้งสองใช้ประตูด้านข้างเข้าไปในคฤหาสน์สกุลเว่ย ครั้งนี้โชคดียิ่งนัก ได้ใช้ห้องครัวซึ่งแยกออกมา แน่นอนว่าเป็นเพราะเต้าหู้เหม็นกลิ่นแรงเหลือเกิน คุณชายห้าเกรงว่าจะไปรบกวนพ่อครัวคนอื่น
อวี๋หวั่นพึงพอใจกับการจัดการเช่นนี้
คุณชายห้าเป็นคนหยาบกระด้าง มิได้ละเอียดละออเหมือนแม่นางไป๋ มิตรภาพระหว่างพวกเขาก็มิได้ดีเหมือนกับแม่นางไป๋ บ่าวเพียงนำพวกเขามายังห้องครัวแล้วก็มิได้ใส่ใจเรื่องอื่นอีก
“ไม่มีของกินหรอกหรือ…” อวี๋ซงพึมพำ ครั้งก่อนไปคฤหาสน์สกุลไป๋ ยังมิทันทำอะไรก็ได้กินข้าวก่อนหนึ่งมื้อ
อวี๋เฟิงกล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้ามิได้กินบนรถม้ามาแล้วหรอกหรือ? เจ้ากินไม่อิ่ม?”
“ก็อิ่มอยู่หรอก…” อวี๋เฟิงเบะปาก “ข้าก็แค่อยากเห็นว่าบ้านขุนนางกินอะไรกันไม่ได้หรืออย่างไร?”
สกุลไป๋เป็นวาณิช ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยเป็นถึงฮูหยินที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง เขาจึงคิดอยากมาลิ้มลองอาหารที่เลิศรสกว่าของที่บ้านแม่นางไป๋ก็เท่านั้น
……
เรื่องของสาวใช้จวนสกุลเหยียนที่เกิดขึ้นหน้าประตูบ้านมาถึงหูฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยอย่างรวดเร็ว
“…นางล้มลงไปเอง ตอนนั้นไม่มีใครชนนาง”
“…ไข่มุกที่รองเท้าของนางหลุด นางไปเหยียบเข้าจึงล้ม”
รองเท้าก็ของนาง ไข่มุกก็ของนาง นางล้มลงไปจะหาโทษผู้อื่นได้ไม่
แต่อย่างไรเสียเรื่องก็เกิดขึ้นในจวนสกุลเหยียน ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยจึงเชิญหมอมาให้นาง หลังจากที่หมอรักษาเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้แม่ซ่งซึ่งเป็นคนสนิทของนาง พาเถาจือไปส่งด้วยตนเอง
ประมาณครึ่งชั่วยาม แม่ซ่งก็กลับมา
แม่ซ่งเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า แม่นางเหยียนมา”
ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยขมวดคิ้ว “นางจะมาเอาความหรือ?”
แม่ซ่งส่ายหน้า “ครานี้มิใช่ แม่นางเหยียนกล่าวว่า สาวใช้นางนี้ไม่รู้ประสา ทำขนมของแม่นางตู้ตกพื้นทั้งหมด ทำให้ท่านขายหน้า นางจึงมาชดใช้ความผิด”
“เด็กคนนี้…” ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยจับลูกประคำในมือ
แม่ซ่งกล่าวต่อ “นางยังพาแม่นางตู้มาด้วย กล่าวว่าหากฮูหยินผู้เฒ่ามิรังเกียจ ก็จะให้แม่นางตู้ทำอาหารรสเลิศสักสองสามอย่าง”
อาหารที่แม่นางตู้ทำ ผู้ใดจะรังเกียจได้ลงเล่า? ได้ยินว่าฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้นางไปเป็นแม่ครัวในวังหลวง แต่กลับถูกปฏิเสธ ครั้งนี้นางมาเยือนถึงหน้าประตูเพื่อทำอาหารให้ฮูหยินผู้เฒ่ากิน ก็นับว่าเป็นเกียรติของฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยแล้ว
แต่ฮูหยินเหยียนรู้เรื่องที่เหยียนเซี่ยจับคุณชายน้อยแห่งจวนคุณชายเยี่ยนเข้าคุกหลวง จึงไม่มั่นใจเท่าไรนักว่าซั่งกวนเยี่ยนจะยินดีพบหน้าเหยียนหรูอวี้
แต่ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากบอกปัดพวกเขานั้น ก็ได้ยินซั่งกวนเยี่ยนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พาเข้ามาเถิด”
วินาทีที่รู้ว่าตนได้รับเชิญให้เข้าไปในคฤหาสน์สกุลเว่ย เหยียนหรูอวี้ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ท่านแม่ของนางพูดเอาไว้มิผิดเพี้ยน พระมเหสีติดหนี้น้ำใจฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย ไม่ว่าอย่างไร พระมเหสีก็ต้องรักษาหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย
แม่นางตู้ได้รับเชิญให้เข้าไปในห้องครัวที่แยกเอาไว้เช่นกัน หากแต่หรูหรากว่าของคนสกุลอวี๋มาก นางได้ใช้ห้องครัวเล็กของฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย
ก่อนจะมาถึงที่นี่ เหยียนหรูอวี้สืบรู้มาว่าฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยอายุมาก กินอาหารรสอ่อน เข้าทางของนางพอดี เพราะแม่นางตู้ช่ำชองการทำอาหารมังสวิรัติเป็นที่สุด
แม่นางตู้ทำข้าวเหนียวรากบัวน้ำเชื่อมดอกกุ้ยฮวาและไซ่ผางเซี่ยอย่างละหนึ่งสำรับ ทั้งยังทำอาหารจานหลักอีกหนึ่งสำรับ
การทำข้าวเหนียวรากบัวน้ำเชื่อมดอกกุ้ยฮวานั้น จะใช้ข้าวเหนียวยัดลงไปในรากบัว และนำลงไปต้มในน้ำเชื่อมซึ่งทำจากน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลกรวด พุทราจีน รวมไปถึงดอกกุ้ยฮวาสด
ฤดูกาลนี้ ดอกกุ้ยฮวาหาได้ยากยิ่ง แม่นางตู้ใช้กุ้ยฮวาสี่ฤดู[2] กุ้ยฮวาสี่ฤดูมีรสสัมผัสไม่ดีเท่าดอกกุ้ยฮวาเดือนแปด มิต้องเอ่ยถึงกลิ่นที่อ่อนมาก หากปรุงไม่ดีอาจทิ้งรสฝาดเอาไว้ได้ ทว่าแม่นางตู้สามารถปรุงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ชิมแล้วมีรสชาติเหมือนกับดอกกุ้ยฮวาเดือนแปด หวานและนุ่มละมุน แต่ก็มิได้ตัดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของรากบัวออกไป
นี่เป็นข้าวเหนียวรากบัวน้ำเชื่อมดอกกุ้ยฮวาที่หอมหวานและอร่อยที่สุดเท่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยเคยลิ้มลอง
ไช่ผางเซี่ยที่จริงแล้วก็คือไข่ขยี้นั่นเอง เครื่องเทศที่ใส่ก็มีเพียงขิงสด แม้แต่ต้นหอมก็มิได้ใส่ แต่ด้วยฝีมือระดับเทพของแม่นางตู้ ผัดออกมาได้รสสัมผัสของมันปูและเนื้อปู
สามารถใช้วัตถุดิบซึ่งเรียบง่ายที่สุดมาทำให้มีรสสัมผัสได้หลากหลายเช่นนี้ จึงเรียกว่าพรสวรรค์ที่แท้จริง
บรรดาสตรีต่างพ่ายแพ้ต่อความสามารถของแม่นางตู้ แม้แต่คนที่ชอบจับผิดอย่างซั่งกวนเยี่ยน บัดนี้ไม่สามารถหาสิ่งใดมาติเตียนอาหารของแม่นางตู้ได้เลย
ในใต้หล้า เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเหนือกว่าแม่นางตู้อีกแล้ว
………………………………………………..
[1] ขนมมันปูกรอบ ขนมชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายขนมเปี๊ยะ ไส้ทำจากมันปูและเนื้อหมู
[2] กุ้ยฮวาสี่ฤดู เป็นต้นกุ้ยฮวาประเภทหนึ่ง ซึ่งออกดอกตลอดทั้งปี ดอกในฤดูร้อนมีกลิ่นหอมรุนแรง ส่วนในฤดูหนาวมีกลิ่นหอมอ่อนๆ