จิ่ว? ป๋ออิ่นชะงักไป นิ้วเรียวยาวจิ้มลงบนหมอนข้าง

โหลวลั่วรู้สึกได้ว่าเขาต่างไปจากปกติ “ทำไมเหรอคะ”

“เปล่า” เขายิ้มมุมปาก “แค่รู้สึกว่าไม่เลวเลย”

โหลวลั่วยิ้ม “คุณชมคนอื่นเป็นด้วยเหรอ น้อยครั้งจะได้ยินนะเนี่ย”

“อันนี้ต้องชมกันหน่อย” ป๋ออิ่นไม่หยุดยิ้ม เพียงแต่เสียงเบาลงเยอะมาก “เพราะเขาแย่งความรักคนอื่นเก่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

โหลวลั่วไม่เข้าใจ “หือ?”

“คุณชอบเจ้าเด็กคนนี้เพราะเขามีไฝเสน่ห์หรือเปล่า” ป๋ออิ่นเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “ดูดีๆ แล้วมีส่วนเหมือนผม”

อธิบายอย่างนี้ก็ได้เหรอ?

แต่ดูตอนนี้ก็เหมือนอยู่นิดหนึ่งจริงๆ

โหลวลั่วมองดูหมอนข้าง

ป๋ออิ่นเอียงร่มนิดหนึ่งแล้วจูบอีกฝ่ายในท่านี้

ถึงแม้จะมีร่มกันเอาไว้ แต่พวกคนทำงานที่เดินทางอยู่ต่างสูดลมหายใจอย่างอดไม่ได้

ภาพแบบนั้นสวยงามเหลือเกิน

ส่วนโหลวลั่วอึ้งไป ได้ยินแต่เสียงหัวเราะของเขาดังข้างหูอย่างแผ่วเบา “แต่เมื่อมีผมแล้ว ก็ห้ามคิดถึงคนอื่นนะ เพราะผมจะขี้หึง”

คนที่คบผู้ชายอายุน้อยกว่าเป็นแฟนคงเป็นแบบนี้เอง อีกฝ่ายพูดอะไรได้หมด แล้วก็ต้องปิดบังเธอได้ด้วย

เหมือนกับที่พวกเพื่อนๆ พูดไว้เลยว่า เขาเคยเจอเพื่อนของเธอแล้ว แต่กลับไม่เคยพาเธอไปพบเพื่อนๆ ของเขา

พวกผู้หญิงอายุน้อยๆ คงคิดไม่ถึงในจุดนี้

เพราะหากต้องการให้ความสัมพันธ์ยืนยาว จะต้องทำให้เราก้าวเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขา

โหลวลั่วเข้าใจดี แต่เธอเข้าใจในหลักการหนึ่งเช่นกัน

เธอและเขาไม่อาจอยู่ได้ยั่งยืน ดังนั้นแม้จะถูกจูบ เธอก็ยังยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะลูบผมเขา ท่าทางเต็มไปด้วยความเป็นนักธุรกิจ

ป๋ออิ่นเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้น “ผมช่วยถือหมอนข้างให้คุณแล้วกัน”

“คุณถือร่มอยู่นะ” โหลวลั่วชอบหมอนข้างนี้มากจริงๆ “ผู้ช่วยบอกว่าบางอย่างก็ไม่มีวางขายทั่วไป ต้องไปดูการแข่งขันถึงจะได้ ตอนไปมิลานแล้วเจอลูกสาวเรา พวกเราก็พาแกไปดูหน่อยนะคะ”

ป๋ออิ่นมองอย่างไม่แยแส “พวกเราคงไม่ต้องพาแกไปหรอก”

โหลวลั่วได้ยินแล้วจิตใจหดหู่เล็กน้อย เธออยากมีลูกจริงๆ

แต่คำตอบนี้กำลังบอกว่าลูกที่เขาพูดถึงอาจไม่มีตัวตนก็ได้

ต่อให้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้เชื่อจนหมดใจ ยังมีบางความรู้สึกที่พูดไม่ออก

แถมเมื่อทั้งสองขึ้นรถไปแล้ว มือถือก็เข้ามาตลอด

ทั้งหมดมาถามเรื่องความรักของเธอ

โหลวลั่วหันหน้ามา ช่วยพันผ้าพันคอให้เขาอีก “ต่อไปอย่าไปที่บริษัทอีกนะคะ”

ป๋ออิ่นได้ยินแล้วยิ้มช้าๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความร้ายกาจ ทว่าทั้งหมดถูกเขาสะกดไว้ เหลือเพียง “ครับ”

ภายใต้แสงไฟจากข้างทาง ยังมีค้างคาวบินผ่านมาอยู่บ้าง

คืนวันนั้น โหลวลั่วโดนก่อกวนจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว

ผู้ชายคนนี้ก็ยังมีท่าทีเหมือนจอมปีศาจ แม้เธอร้องขอให้หยุด เขากลับไม่มีความคิดจะหยุด

กระทั่งเหมือนฟันจะกัดลงเส้นเลือดที่ซอกคอของเธอแล้วจริงๆ

เมื่อความวาบหวามจู่โจมเข้ามา อารมณ์ความรู้สึกและความคิดทั้งหมดก็ล่องลอย “พอแล้ว”

เขาดันเธอไว้กับหัวเตียง เอ่ยเสียงแหบต่ำเหมือนบรรยากาศท้องฟ้าค่ำคืนด้านนอก ลมหายใจผสมผสานไปกับกลิ่นกุหลาบ “ไม่พอ”

“ฉันหิวค่ะ” ลมหายใจของเธอปั่นป่วน เส้นผมสีดำแผ่กระจาย ในความสวยงามแฝงความอ่อนโยนไว้

เขาจูบลงที่ใบหูเธอแล้วหัวเราะ “กินผมสิ”

จากนั้นก็จมดิ่งลงไปอย่างไม่อยากจะถอนตัว…

…………………………………………….

เวลาตีสอง

หมอกลอยขึ้นหนาทึบอยู่นอกหน้าต่าง

ค้างคาวยังคงอยู่ด้านนอกบ้านหลังนั้นใต้เสาไฟริมทาง

โหลวลั่วนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

เธอหลับลึกมากจนไม่รู้ว่าคนที่กอดเธอหายตัวไปแล้ว กลิ่นกุหลาบหอมฉุนเหลือเกิน ราวกับผสมกลิ่นคาวเลือดไว้ด้วย

ค้างคาวตัวหนึ่งในนั้นกลายร่างเป็นเด็กน้อย คุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าป๋ออิ่น “นายน้อยจะเริ่มแข่งวันที่ 10 ครับ แล้ววันที่ 8 จะมีงานมีทติ้งกับแฟนคลับที่มิลานด้วย ผมใส่รายชื่อคุณผู้หญิงเข้าไปแล้วครับ”

ป๋ออิ่นรับคำสั้นๆ อย่างเกียจคร้าน ก่อนจะพ่นเอาถุงเลือดออกมาจากช่องปาก

เด็กน้อยนั่นลุกขึ้นมา ก้มศีรษะบอก “ทำไมนายท่านถึงไม่ให้ผมแปลงร่างเป็นนายน้อยตอนเป็นเด็กล่ะครับ ทำแบบนี้แล้ว ถึงตอนนั้นนายท่านจะได้ไม่ต้องอธิบายอะไร นายหญิงเองก็จำไม่ได้แล้ว นายท่านก็สร้างความทรงจำให้เธอได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกครับที่ยอมรับได้ว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว นายท่านเป็นคนพูดเองนี่ครับ”

นิ้วเรียวยาวขาวผ่องของป๋ออิ่นกำร่มสีดำแน่น เขาในเวลานี้ต่างไปจากตอนกลางวัน ก้นบึ้งนัยน์ตาไร้ความอบอุ่น ซึ่งเป็นลักษณะโดยกำเนิด

เขาแย้มยิ้มอย่างร้ายกาจ “ห้ามปลอมเป็นจิ่วเด็ดขาด เขาเป็นลูกของพวกเรา”

“แล้วความทรงจำล่ะครับ?” เด็กน้อยทำแก้มป่อง เขายังไม่เข้าใจ

ป๋ออิ่นโยนถุงเลือดลงถังขยะ “ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่”

“ทำไมล่ะ?” เด็กน้อยเป็นประเภทฆ่าคนได้ก็ฆ่า เพราะพวกมนุษย์เป็นแค่อาหารสำหรับพวกเขา นับประสาอะไรกับความทรงจำของมนุษย์

ป๋ออิ่นสูงโปร่ง เสื้อกันลมตัวดำสะบัดไปตามแรงลม “เพราะความทรงจำของเธอมีแต่ฉัน ความทรงจำที่สร้างขึ้นก็คือของปลอม”

เด็กน้อยเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้ว แต่ก็ยังงงอยู่ดีว่าทำไมนายท่านถึงได้รักมนุษย์คนนี้มาก

เมื่อก่อนท่านเคยบอกว่าเป็นเพราะอุณภูมิในกายของผู้หญิงคนนั้น

ทว่าเพื่อจะชุบชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง แล้วทำให้ตัวเองต้องตื่นตลอดเวลาเช่นนี้ ต้องไม่ใช่เพราะอุณหภูมินั่นแน่นอน

ป๋ออิ่นไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องความรักของตัวเองให้ผู้อื่นฟัง

พวกแวมไพร์มักเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร

ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นป๋ออิ่น

หากไม่เพราะมีฮู้ป้องกันตัวที่ท่านจิ่วให้ไว้ บางทีโลกนี้อาจเหลือเขาเพียงคนเดียว

ตอนนี้เธอแค่สูญเสียความทรงจำไปเท่านั้น

ทั้งที่วินาทีที่แล้วป๋ออิ่นยังอยู่ใต้เสาไฟริมทาง วินาทีถัดมากลับปรากฏตัวที่ข้างเตียงได้

นี่เป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของพวกแวมไพร์ เคลื่อนย้ายในพริบตา

ป๋ออิ่นในสภาพนี้ยินดีปิดบังทุกอย่างเพื่อคนคนหนึ่ง

เขาไม่รู้ชัดว่าความรักของมนุษย์เป็นเช่นไร แต่ตั้งแต่เธอเก็บเขากลับไป เขาก็ไม่อยากปล่อยมือจากเธอไปอีกแล้ว

ป๋ออิ่นกลับไปนอนบนเตียงอย่างไร้สุ้มเสียง เอื้อมมือไปโอบกอดเธอจากด้านหลัง

ตอนแรกก็คิดว่าเธอกำลังละเมอ แต่ข้างหูกลับได้ยินว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว คุณออกไปไม่หนาวเหรอ?”

ป๋ออิ่นถึงกับมือชะงัก ก่อนจะเกลี่ยเส้นผมยาวๆ ของเธอออก พูดกลั้วยิ้มว่า “หนาวมาก รู้ว่าผมไม่อยู่ตั้งแต่เมื่อไร”

“เมื่อกี้” โหลวลั่วหันมามอง

ป๋ออิ่นกอดเธอไว้ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “กลัวว่าคุณจะหิว ก็เลยต้มบะหมี่ให้คุณ”

เดิมคิดว่าเป็นแค่คำแก้ตัวของเขา แต่เมื่อเธอถูกเขาอุ้มโดยมีผ้าห่มคลุมตัวมาถึงหน้าโต๊ะ ก็เห็นว่ามีบะหมี่วางอยู่บนโต๊ะจริงๆ “รสหมักซอสน้ำแดงเหรอคะ”

“คุณไม่ชอบเหรอ” ป๋ออิ่นปล่อยให้เธอนั่งในอ้อมแขนเขา

“เปล่า” โหลวลั่วไม่คุ้นเคยกับความใกล้ชิดแบบนี้ “คุณไปนั่งฝั่งตรงข้ามสิ?”

“ฝั่งตรงข้ามหนาวเกินไป” ป๋ออิ่นยื่นตะเกียบให้เธอ “ลองชิมดูสิ?”

โหลวลั่วยิ้มจางๆ “คุณต้มบะหมี่เป็นอย่างเดียวเหรอไง”

“ใช่” ป๋ออิ่นเกยคางบนบ่าของเธอ เอ่ยอย่างเป็นปกติ “ถ้าคุณอยากกินอย่างอื่น ผมจะลองหัดทำดู”

โหลวลั่วหัวใจเต้นกระตุก ก้มหน้ากินซุป “ไม่ต้องหรอก แบบนี้ก็ดีแล้ว”

……………………………………..