ผลไม้ที่เย้ายวนใจ
โรงประมูลที่เฉิงหนานและซูจิ้งวางแผนที่จะตั้งกันนี้ พวกเขาตั้งใจจะตั้งเป็นโรงประมูลสำหรับวัตถุโบราณเป็นหลัก เหตุผลก็คือเพื่อลองรับวัตถุโบราณที่ซูจิ้งมีไว้ในครอบครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องลายครามและภาพเขียนสมัยราชวงศ์ถัง
การจะตั้งโรงประมูลแบบนี้ได้จะต้องมีเงื่อนไขเพิ่มเติมจากโรงประมูลทั่วไป นั่นก็คือต้องมีผู้ประเมินที่ได้รับการรับรองประจำอยู่อย่างน้อยห้าคนขึ้นไป
ทันใดนั้นซูจิ้งนึกถึงเฉินฮงและซงเหลาขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ
ถึงแม้จะมีคำกล่าวที่ว่าตราบใดที่เงินถึงก็ไม่ต้องกังวงในการหาผู้เชี่ยวชาญก็ตาม แต่ซูจิ้งก็ยังจะเลือกทำงานกับคนที่เขาคุ้นเคยมากกว่าอยู่ดี
และเขาเองก็รู้ว่าสองคนนี้เชื่อถือได้มากกว่าใครๆ นี่ยังไม่พูดถึงความรู้ความสามารถในได้งานประมูลของพวกเขาไม่เป็นสองรองใครแน่นอนดังนั้นเขาจึงได้เชิญเฉินฮงและซงเหลาให้มาร่วมงานกับเขา
เช้าวันถัดมาทั้งสองคนได้มาหาซูจิ้งที่บ้านเป็นการส่วนตัว เมื่อเห็นซูจิ้งพวกเขาได้เอ่ยถามขึ้นทันที
“คุณซู คุณตั้งใจจะตั้งโรงประมูลจริงๆอย่างงั้นหรอ ไม่อยากจะร่วมมือกับโรงประมูลว่านเป๋าของเราแล้วหรอครับ”
“ใช่แล้วหล่ะ อีกไม่นานผมก็จะมีโรงประมูลเป็นของตัวเองแล้ว แต่ตอนนี้ผมยังขาดคนประเมินอยู่นะ
ถ้าคุณสองคนมาร่วมงานกับผมได้ผมจะยินดีมากเลย ผมยอมจ่ายค่าแรงมากกว่าตอนที่พวกคุณอยู่ที่โรงประมูล วานเป๋าเลยนะ
เอาเป็นว่าเราอย่าเพิ่งมายืนคุยกันตรงนี้เลยดีกว่า เราเข้าไปข้างในกันก่อนแล้วค่อยคุยกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“พูดตรงๆเลยนะ พวกผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่คุณชวนพวกเรา แต่พวกเราเองก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของโรงประมูลว่านเป๋า
มันคงดูไม่ดีที่เราจะออกจากที่นั่นแล้วมาทำงานให้คุณแทน เอาจริงๆผมก็ยังอยากจะเตือนคุณนะว่าการเปิดโรงประมูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายคุณไม่ลองคิดดีๆก่อนอีกทีหรอครับ”
เฉินฮงและซงเหลาต่างพยายามโน้มน้าวซูจิ้งในระหว่างที่กำลังเดินเข้าไปในบ้าน ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากจะออกจากโรงประมูลว่านเป๋าหรอก แต่พวกเขามีเหตุผลอย่างอื่นที่ไม่อยากจะออกมา
อย่างแรกพวกเขาแก่เกินไปที่จะคิดเรื่องการไต่เต้าในหน้าที่การงาน
อย่างที่สองเถ้าแก่โรงประมูลว่านเป๋าเองก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาซักเท่าไหร่
อย่างที่สามสำคัญที่สุดคือหากพวกเขาเลือกจะฝากฝังชีวิตที่เหลือของพวกเขาไว้กับซูจิ้ง แล้วเกิดโรงประมูลของซูจิ้งไปไม่รอดหล่ะก็พวกเขาจะไม่เหลืออะไรเลย
ต่อให้กลับไปทำงานที่ว่านเป๋าเหมือนเดิมได้ก็จะทำให้รู้สึกกระดากใจต่อกันอยู่ดี เพราะฉะนั้นการที่พวกเขาจะออกจากว่านเป๋าได้เขาต้องมั่นใจแล้วจริงๆ
“ถึงแม้เถ้าแก่โรงประมูลจะทำดีต่อพวกคุณอยู่ก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพราะพวกคุณยังทำงานกันไหวอยู่
แถมพวกคุณเองก็ทุ่มเทให้โรงประมูลไปไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เขาจะดูแลพวกคุณอย่างดี
แต่ลองนึกดูดีๆสิด้วยฝีมือของพวกคุณแล้วไม่ถือว่าแก่เกินไปที่จะหางานใหม่ให้ดีกว่าเดิมหรอกนะ
อย่างเช่นการที่จะมาทำงานที่โรงประมูลของผมนอกจากผมจะให้ค่าตอบแทนเริ่มต้นมากกว่าเงินค่าแรงที่พวกคุณได้กันอยู่ตอนนี้แล้ว
ผมจะรับประกันได้อย่างดีเลยว่าจะยิ่งทำให้มันดีขึ้นไปเรื่อย ถึงตอนแรกถึงมันจะดูยากไปซักหน่อยแต่ผมเองก็มีกำลังทรัพย์ในการรองรับเหตุการณ์ไว้อยู่แล้ว
ถ้าพวกคุณจัดการได้อย่างดีหล่ะก็ อนาคตของโรงประมูลของพวกเราสดใสแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างมั่นใจ
เฉินฮงและซงเหลาเองต่างก็พยักหน้าเห็นพ้องไปกับคำพูดของซูจิ้ง พวกเขาเองอันที่จริงก็เข้าใจดีว่าต่อให้พวกเขาตัดสินใจออกจากโรงประมูลว่านเป๋า โรงประมูลก็ไม่ได้แยแสพวกเขาหรอก มันเป็นเรื่องปกติของที่นั่น
แถมซูจิ้งเองก็ยังเป็นคนรวยที่มีกำลังทรัพย์หนาพอที่จะทำอะไรก็ได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะออกจากว่านเป๋าเพราะว่ายังไม่มีเหตุผลที่ดีพอที่จะออกแค่นั้นเอง
ซูจิ้งได้มองไปที่เฉินฮงและซงเหลา ทันใดนั้นเขาก็ได้ชี้ไปที่เครื่องลายครามจำนวนหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะหินในสวน แล้วก็พูดลอยๆขึ้นว่า
“น่าเสียดายจริงๆ ที่ผมนั้นมีของพวกนี้มากเกินไป ถึงพวกมันจะไม่ได้ดีพอจะนำไปประมูลแต่ก็ไม่ได้แย่พอที่จะทิ้งง่ายๆ หรือว่าจะเอาไว้เป็นของขวัญให้คนอื่นดีน้า
อย่างคนที่รู้คุณค่าในสิ่งของแบบคนที่จะมาทำงานในโรงประมูลของเรา เอาไงดีหล่ะ”
เมื่อเฉินฮงและซงเหลาได้ยินดังนั้นหน้าของพวกเขาเปลี่ยนสีแทบจะทันทีที่ได้ยิน พวกเขาจ้องไปที่เครื่องลายครามพวกนั้นพร้อมกับกลืนน้ำลาย
พวกเขาตอนนี้ต่างก็รู้สึกเหมือนกำลังมองเห็นผลไม้สีแดงดูชุ่มฉ่ำอยู่ในระยะแค่เอื้อมมือแต่ไม่สามารถเด็ดออกมาลิ้มลองได้ ซูจิ้งนั้นพยายามล่อลวงพวกเขาเป็นแน่แท้ซึ่งพวกเขาก็รู้ดี
แต่พวกเขาเองก็มั่นใจว่าหากซูจิ้งเอ่ยปากอะไรแล้วจะทำตามที่พูดอย่างแน่นอน นั่นทำให้พวกเขายากที่จะต้านทานได้
ความเย้ายวนในสมบัติมีผลต่อจิตใจของพวกเขามากกว่าเงินทองยิ่งนัก
พวกเขานั้นได้เชื่อคำพูดของซูจิ้งอย่างหมดใจ ครั้งสุดท้ายนั้นซูจิ้งได้บอกจะให้ของขวัญพวกเขา พวกเขาก็ได้จริงๆ พวกเขาได้ขารองโต๊ะจากไฮหนาน (ราคาประมาณหนึ่งแสนหยวน)
ในตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้เป็นลูกน้องซูจิ้งด้วยซ้ำ แล้วถ้าพวกเขายอมเป็นลูกน้องของซูจิ้งจริงๆหล่ะ คำพูดนี้ทำให้พวกเขาเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว
ถึงจะได้ยินอย่างนั้น แม้พวกเขาจะเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้วแต่พวกเขาไม่ใช่เด็กน้อยที่จะถูกล่อลวงด้วยเงินค่าขนมได้ง่ายๆ พวกเขายังคงทำใจแข็งและทำตามปณิธานที่พวกเขาตั้งใจไว้
ซงเหลาได้พูดออกมาว่า “คุณซู คุณเองก็มีทั้งเงินและเส้นสายไม่น้อยเลยก็จริง ต่อให้อาศัยเงินทุนและเส้นสายอันมากมายจนก่อตั้งโรงประมูลขึ้นมาเองได้
แต่ด้วยการที่โรงประมูลตั้งใหม่นั้นไม่มีชื่อเสียงหรือความนิยมอะไรเลย ไม่มีทางที่จะมีคนนำของมาประมูลแน่นอน
ต่อให้มีมาบ้างแต่แทบเป็นไปได้เลยที่จะเป็นของดีที่ดีพอจนสร้างผลกำไรและชื่อเสียงให้กับโรงประมูลได้
มันจะไม่ดีกว่าหรอที่จะเลือกเป็นผู้สนับสนุนให้กับโรงประมูลว่านเป๋าต่อไป”
“เรื่องนี้คุณวางใจผมได้เลย ต่อให้ไม่มีใครส่งของมาประมูลแม้สักคนเดียว
ผมก็พร้อมที่จะส่งของๆผมลงประมูลในโรงประมูลของผมได้ทุกเมื่อ”
ซูจิ้งหัวเราะออกมาหลังพูดเสร็จจนทำให้ทั้งสองคนต้องหันมามองหน้ากัน
ถ้าสิ่งที่ซูจิ้งพูดเป็นความจริงล่ะก็ ของต่างๆที่อยู่ในการครอบครองของเขาล้วนแล้วแต่เป็นสมบัต้ทั้งสิ้น
ถ้าเป็นคนอื่นมาบอกอย่างนี้ก็คงจะไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่ถ้าออกมาจากซูจิ้งแล้วต่อให้บอกว่าเป็นของชิ้นเล็กๆซักชิ้นล่ะก็
สุดท้ายก็ต้องมีคนแย่งกันประมูลอย่างบ้าครั้งแน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาจึงเชื่อซูจิ้งได้หมดใจ
“พวกคุณเองก็อยู่กับโรงประมูลว่านเป๋ามาตั้งแต่ยังหนุ่มเลยไม่ใช่หรอ ไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรอกับการต้องคอยเจอสมบัติธรรมดาซ้ำๆ
ถ้าพวกคุณยอมมาทำงานที่โรงประมูลของผม ผมขอรับประกันเลยว่าพวกคุณจะได้เห็นของที่วิเศษเลิศเลอกว่าของที่คุณเคยเจอในโรงประมูลว่านเป๋าแบบใกล้ชิดอย่างแน่นอน”
ซูจิ้งก็ยังพูดเกลี้ยกล่อมต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งเฉินฮงและซงเหลาต้องหวั่นไหวอีกครั้ง แถมครั้งนี้ทำให้หวั่นไหวได้ไม่น้อยเลย เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาเองก็เริ่มเบื่อกับของประมูลที่ถูกส่งไปประมูลที่ว่านเป๋าเพราะว่าของพวกนั้นก็เป็นของทั่วๆไป เดิมๆ ซ้ำๆ มันก็มีบ้างที่ทำให้พวกเขาเห็นต้องถึงกับมือสั่น แต่พอเห็นซ้ำๆก็ทำให้รู้สึกเฉยชาได้เหมือนกัน
แต่ในเดือนที่ผ่านมานั้นพวกเขาได้เห็นของประมูลที่ถูกส่งมาโดยซูจิ้ง ทุกๆชิ้นนั้นที่ได้ว่ามีความพิเศษอยู่ในตัว สำหรับนักประเมินมืออาชีพแบบพวกเขาแล้วการที่ได้เห็นของพิเศษจำนวนมากพร้อมๆกันนั้น ช่างเขย่าหัวใจให้สั่นไหวอย่างแรงกล้าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่สนใจแม้แต่น้อย
เฉินฮงและซงเหลาเงียบไปซักพักนึง พวกเขาเองก็เกือบจะยอมรับข้อเสนอของซูจิ้งแล้วเหมือนกันแต่พวกเขาก็ยังมีติดอยู่อีกเรื่องเดียวเท่านั้นที่พวกเขายังกังวลมากที่สุด
พวกเขาต้องการยืนยันให้ชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจลงไป
“คุณซูมีสมบัติจำนวนมากพอที่จะเปิดโรงประมูลได้จริงๆ ใช่ไหมครับ คุณการน่าจะรู้ว่าการหาของมารองรับโรงประมูลไม่ใช่แค่ความหายากเท่านั้น
แต่เรื่องจำนวนและประเภทของของประมูลเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการดึงดูดผู้ซื้อมาเช่นเดียวกัน”
“ฮ่าฮ่า เรื่องนี้ก็วางใจผมได้อีกเช่นเดียวกัน แค่พวกคุณมาอยู่ที่นี่ก็สามารถช่วยผมได้เลยนะ
เราไปลองดูของพวกนี้ก่อนสิว่ามันมีคุณสมบัติพอที่จำนำประมูลได้รึเปล่า
ถ้าของพวกนี้ยังใช้ไม่ได้หล่ะก็ผมยอมล้มเลิกความคิดก็ได้นะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างทีเล่นทีจริง
“โอ้ ถ้างั้นนำออกมาเลยครับ พวกผมก็อยากเห็นเป็นบุญตาซักครั้ง” เฉินฮงและซงเหลาตาเป็นประกายด้วยกันทั้งคู่
“มันค่อนข้างจะขนลำบากซักหน่อยน่ะ เอาเป็นว่าเราเดินขึ้นไปดูที่ชั้นสี่กันดีกว่า” ซูจิ้งพูดเสร็จก็ได้เดินนำทั้งสองคนไปยังชั้นสี่ของบ้าน ในระหว่างทางเดินซูจิ้งก็ได้ชี้ชวนให้ทั้งสองลองดูที่แจกันแก้วขนาดใหญ่ใบหนึ่งพร้อมพูดว่า “เอาเป็นเริ่มจากเจ้านั่นก็แล้วกัน”
เฉินฮงและซงเหลาหันไปมองแจกันตามทิศทางที่ซูจิ้งชี้ ทันทีที่พวกเขาเห็นก็ยืนอึ้งไปในทันที
พวกเขาเห็นแจกันใส่น้ำขนาดใหญ่วางอยู่ แต่สิ่งที่พวกเขาจ้องนั้นไม่ใช่แจกันแก้วใบนั้นแต่เป็นหิน
หินขนาดใหญ่รูปทรงประหลาด สีน้ำตาล และส่องประกายระยิบระยับกองอยู่ก้นแจกัน
ทั้งสองคนหลังจากอึ้งไปซักพักก็หลุดปากพึมพัมออกมาพร้อมกันว่าหินนั่น
พวกเขาค่อยๆเดินเข้าไปแล้วใช้มือค่อยๆล้วงหินนั่นออกมาโดยไม่สนใจว่ามือหรือแขนของเขาจะเปียกน้ำเลยซักนิด พวกเขาต่างจ้องอย่างเขม็งพลางคิดว่า
“เป็นไปได้ยังไงกัน”