เมื่อเห็นว่าจินเหยียวเริ่มจดจำหลิงเสี่ยวได้แล้วหลิงหยุนจึงค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก..
ท่ามกลางการต่อสู้ที่ต่างฝ่ายต่างก็มุ่งเอาชีวิตกันนั้นแต่หลิงหยุนกลับเลือกที่จะรักษาสภาพจิตใจของจินเหยียวก่อนเรื่องอื่น ก็ด้วยเหตุผลเพียงสามข้อเท่านั้น..
เหตุผลข้อแรก..หากจินเหยียวยังคงเสียสติไม่รู้เนื้อรู้ตัวต่อไปเช่นนี้ แล้วเกิดตกใจกลัวจนหนีหายไปอีก แน่นอนว่าการจะตามหาตัวนางกลับมาอีกครั้ง ย่อมเป็นเรื่องที่ยากพอๆกับการงมเข็มในมหาสมุทร..
เหตุผลข้อที่สอง..การที่จินเหยียวประมือกับซือกงถู และลูกชายทั้งสองคนโดยไม่ได้รับอันตรายอะไรใดๆ หนำซ้ำยังสามารถหนีรอดไปได้นั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าวรยุทธของนางย่อมต้องล้ำเลิศในระดับหนึ่ง หากสามารถทำให้จินเหยียวฟื้นคืนสติกลับมาได้ หลิงหยุนเชื่อว่าด้วยความร่วมมือกันระหว่างนางกับเขา และเย่ซิงเฉิน จะต้องสามารถส่งซือกงถูไปเกิดใหม่ได้อย่างแน่นอน!
และเหตุผลข้อสุดท้ายก็คือ..หลิงหยุนพบว่าอาการบาดเจ็บในอดีตของจินเหยียวนั้นค่อนข้างสาหัสไม่น้อย หากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานกว่านี้ ก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อตัวนางมากขึ้น อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้!
อาการเสียสติและสูญเสียความทรงจำของจินเหยียวนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หลิงหยุนคาดเดาว่าที่นางไม่สามารถจดจำอะไรได้นั้น น่าจะเกิดจากการตกหน้าผา แล้วศรีษะไปกระแทกกับของแข็งอย่างแรงนั่นเอง..
ดูจากการแต่งกายของจินเหยียวรวมถึงการที่นางรู้ว่าต้องสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้านั้น แสดงให้เห็นว่านายยังสามารถใช้ชีวิตในด้านอื่นได้เป็นปกติ..
และสาเหตุที่นางคล้ายคนเสียสตินั้นก็เพราะความทรงจำของนางได้หายไป ทำให้ไม่สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตได้ อีกทั้งหลังจากที่ได้ใช้ปราณปีศาจระเบิดร่างตัวเองนั้น ก็ได้ทำให้ธาตุไฟของนางแตกซ่าน และกลายเป็นมารไปเช่นนี้ จิตใจของนางยังฝังแน่นอยู่กับการสังหารซือกงถู นางจึงได้มีสภาพอย่างที่เห็น..
สำหรับหลิงหยุนแล้ว..ความทรงจำที่หายไปของเจินเหยียวนั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรสำหรับเขา แต่ปัญหาที่แท้จริงก็คือร่างกายที่เริ่มถดถอย และอาการธาตุไฟแตกซ่านนี่ต่างหากเล่า..
เมื่อหลิงหยุนได้พบเจอจินเหยียวในสภาพเช่นนี้เขาก็ได้แต่สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้นางต้องได้รับอันตรายอะไรอีก!
ด้วยเหตุนี้..แม้จะอยู่ท่ามกลางศัตรูที่แข็งแกร่งมากก็ตาม แต่หลิงหยุนก็เลือกที่จะรักษาจินเหยียวก่อน เพราะหากนางยังมีสภาพจิตใจที่อ่อนไหวไม่มั่นคงเช่นนี้ หากนางเกิดหายตัวไปในระหว่างการต่อสู้ แล้วอาการบาดเจ็บเกิดกำเริบจนเป็นอันตรายถึงชีวิต หลิงหยุนคงต้องรู้สึกผิดต่อนางอย่างมาก..
ด้วยเหตุนี้..หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องรักษาจินเหยียวให้หายก่อน!
และในสถานการณ์ที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้แม้หลิงหยุนจะรู้ดีว่ายันต์ชำระใจของตนเองนั้น ไม่อาจรักษาอาการเสียสติของจินเหยียวให้ขาดได้ในคราวเดียว แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้นางมีสติอยู่ราวหนึ่งหรือสองชั่วโมง..
แม้แต่ยันต์บำบัดระดับหกยังสามารถสร้างเนื้อเยื้อและกระดูกขึ้นใหม่ได้ยันต์ชำระใจระดับหกก็ย่อมส่งผลต่อจิตใจได้ดีไม่แพ้กัน..
เมื่อเห็นว่าจินเหยียวกับหลิงเสี่ยวต่างก็ร้องห่มร้องไห้หลิงหยุนจึงไม่รีบร้อนที่จะแสดงตนให้นางจำได้นัก เขาค่อยๆหันไปมองซือกงถูช้าๆ ก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้า..
“ซือกงถู..เจ้าคนถ่อย!”
ที่ผ่านมาหลิงหยุนเอาแต่นิ่งเงียบและไม่กร่นด่าซือกงถูเลยแม้แต่คำเดียว เพราะเวลานี้ในสายตาของหลิงหยุนนั้น ซือกงถูเป็นเพียงแค่ซากศพเท่านั้น!
เพราะไม่ว่าอย่างไร..คืนนี้หลิงหยุนจะต้องสังหารซือกงถูให้ได้!
แต่ถึงกระนั้นเขาก็จะไม่ปล่อยให้ซือกงถูได้ตายง่ายนักเพราะเขายังต้องให้มันได้ชดใช้ความแค้นของตัวเอง ความแค้นของพ่อแม่ และความแค้นของจินเหยียว หลิงหยุนต้องให้ซือกงถูชดใช้กลับคืนเป็นร้อยเท่าพันทวี!
ซือกงถูถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง“ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่า.. ข้าได้ยินว่าผู้คนทั้งจิงฉูต่างก็เรียกตั้งฉายาให้หลิงหยุนว่าหมออมตะ.. คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เปิดหูเปิดตา!”
“ฮ่า..ฮ่า.. เจ้ารักษานังหญิงบ้านี้ให้หายก็ดี! นางจะได้ตายอย่างมีสติ และก่อนตายข้าจะให้นางได้เห็นเจ้ากับพ่อของเจ้าตายไปต่อหน้า ส่วนข้าก็จะได้ชื่นชมความเจ็บปวดที่นางได้รับ เพราะนั่นคือความสุขที่สุดของชายชราอย่างข้า!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและคร้านที่จะต่อปากต่อคำกับซือกงถู และร้องบอกซือกงถูเพียงแค่สั้นๆ “เจ้าอย่าได้พล่ามให้เสียเวลานักเลย ลงมือเลยดีกว่า!”
“เจ้าเตรียมตัวตายได้แล้ว..!” ทันทีที่พูดจบ..รังสีสังหารก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของหลิงหยุน และทันทีที่หลิงหยุนคิด กระบี่เหินเงาธนูที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศนั้น ก็พุ่งตรงไปข้างหน้าทันที!
และเป้าหมายของมันก็คือร่างของซือกงถู!
ทางด้านของซือกงวู่ฉิงที่ยืนอยู่ข้างซือกงถูนั้นหลังจากที่ได้เห็นความสามารถของหลิงหยุนก่อนหน้านี้ มันก็ได้เพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้นอีกหลายร้อยเท่า เมื่อเห็นกระบี่เหินพุ่งเข้าใส่พ่อของตนเช่นนั้น มันก็รีบชักอาวุธประจำตัวออกจากข้างเอวทันที..
อาวุธของซือกงวู่ฉิงก็คือแส้ที่ยาวกว่าสามเมตรแส้ยาวของซือกงวู่ฉิงนั้นถักขึ้นด้วยผ้าแพรไหมดำ มันจึงมีสีดำที่เป็นมันวาว..
ซือกงวู่ฉิงสะบัดข้อมือเพียงเล็กน้อยแส้ยาวสามเมตรนั้นก็พุ่งเข้าใส่เข้าใส่กระบี่เหินของหลิงหยุนที่จู่โจมเข้ามาทันที!
และภายใต้การควบคุมด้วยพลังจิตของหลิงหยุนนั้นกระบี่เหินก็สามารถบินหลบแส้สีดำยาวเส้นนั้นได้ทัน ก่อนจะพุ่งตรงเข้าใส่ร่างของราชันย์นักฆ่าทั้งสามที่กำลังดูแลซืองกงวู่เปิ่นอยู่ด้านหลัง..
ราชันย์นักฆ่าทั้งสามเห็นเช่นนั้นก็รีบใช้วิชาตัวเบากระโดดถอยหลังหลบทันที!
ปัง!
ซือกงวู่ฉิงสะบัดข้อมืออีกครั้ง..แส้ยาวในมือของเขาพุ่งไปกลางอากาศ และเคลื่อนไหวไปมาได้รวดเร็ว และแม่นยำราวกับสิ่งมีชีวิต แส้ของซือกงวู่ฉิงพุ่งตรงเข้าใส่กระบี่เหินของหลิงหยุนอีกเป็นครั้งที่สอง!
“เจ้าเตรียมตัวตายได้แล้ว!”
เมื่อเห็นหลิงหยุนลงมือ..เย่ซิงเฉินก็ขยับตัวเช่นกัน และเพียงแค่สะบัดแขนเรียวงามทั้งสองข้าง ผ้าแพรไหมดำในมือของนางก็พุ่งออกไปราวกับงูพิษ และฉกเข้าที่ร่างของซือกงวู่ฉิงทันที!
ทั้งเย่ซิงเฉินและหลิงหยุนนั้นเคยร่วมมือกันสังหารเฉินเจี้ยนห่าว โทคุงาวะมุโตะ และแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสบนเทือกเขาเซียนเหยินหลิงมาแล้ว ทั้งคู่จึงค่อนข้างรู้ใจกันและกันเป็นอย่างดี และสามารถเข้าใจกลอุบายการต่อสู้ของกันและกัน จนสามารถต่อสู้เข้าขากันได้เป็นอย่างดี..
เย่ซิงเฉินรู้ว่า..หากนางสามารถใช้ผ้าแพรไหมดำรัดร่างของซือกงวู่ฉิงไว้ได้ ไม่ว่าหลิงหยุนจะกำลังทำอะไรอยู่ เขาจะต้องอาศัยจังหวะนี้ใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ฟันเข้าใส่ร่างของซือกงวู่ฉิงทันที!
ซือกงวู่ฉิงเองก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของเย่ซิงเฉินดีจึงไม่ยอมให้นางใช้ผ้าแพรไหมดำรัดร่างของตนไว้ได้แน่ และรีบซัดฝ่ามือซ้ายเข้าใส่ผ้าแพรทั้งสองผืนที่พุ่งเข้ามาทันที..
“หึ..คิดจะสังหารข้า เจ้ายังไม่คู่ควร!”
ในเมื่อการต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว..จินเหยียวจึงไม่มีเวลาพูดคุยกับหลิงเสี่ยวอีก ร่างผอมบางของนางพุ่งออกจากอ้อมแขนของหลิงเสี่ยว และตรงเข้าจู่โจมใส่ซือกงวู่ฉิงทันที..
จากนั้น..หลิงหยุน เย่ซิงเฉิน และจินเหยียว ทั้งสามต่างก็ร่วมมือกันต่อสู้กับซือกงวู่ฉิง และนักฆ่าระดับสวรรค์อีกแปดคน! “คุณชายหลิง..ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว ได้โปรดขึ้นมาบนหลังของข้าก่อน!”
มาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดยังจดจำคำสั่งของหลิงหยุนได้ดีเมื่อการต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น มันจึงรีบร้องบอกหลิงเสี่ยวด้วยท่าทางเคารพนบนอบ”
“ตกลง!”
หลิงเสี่ยวไม่ปฏิเสธหรือดื้อดึง เขารู้ตัวเองดีว่าตนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือเหล่านั้น หากยังดื้อดึงก็จะรังแต่กลายเป็นภาระ และจุดอ่อนให้กับหลิงหยุน ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า รีบขึ้นไปยืนบนแผ่นหลังของมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดทันที..
หลังจากที่หลิงเสี่ยวขึ้นมาบนแผ่นหลังของตนเองแล้วมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดก็รีบพาร่างของเขาบินขึ้นสู่ท้องนภาทันที และบินอยู่เหนือพื้นดินราวหนึ่งร้อยเมตร ทั้งคู่บินอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิดพร้อมกับจ้องมองการต่อสู้บนพื้นด้านล่างอย่างใจจดใจจ่อ..
มาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดรู้ดีว่า..หน้าที่ของตนคือต้องปกป้องหลิงเสี่ยวไม่ให้ได้รับอันตรายเท่านั้น! “คุณชายหลิง..เจ้านายของข้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก! ท่านอย่าได้เป็นห่วงความ และกังวลใจไปเลย!” novel-lucky
หลังจากที่เอ็ดเวิร์ดพูดจบหลิงเสี่ยวก็ตอบกลับมาเพียงแค่สั้น “ข้ารู้!”
หลิงเสี่ยวยืนอยู่บนแผ่นหลังของมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดและกำลังจ้องมองการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายที่พื้นด้านล่างพร้อมกับยิ้มออกมา..
“ข้าจะจัดการกับนังหญิงแพศยาจินเหยียวเอง!”
“ราชันย์นักฆ่าทั้งสาม..พวกเจ้าคอยขัดขวางเย่ซิงเฉินไว้!”
“ส่วนพวกเจ้าทั้งห้าคนคอยปกป้องรองหัวหน้าเอาไว้ หากเขาได้รับอันตราย ข้าจะทำโทษพวกเจ้า!”
“พวกเจ้าต้านนังหญิงแพศยาสองคนนั่นไว้ก่อนรอให้ข้าจัดการกับหลิงหยุนเรียบร้อย แล้วจะมาจัดกันกับพวกนางต่อ!”
เวลานี้..ทั้งสองฝ่ายต่างก็คิดเพียงแค่เรื่องที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามให้ได้เท่านั้น และนี่คือการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย และมีชีวิตเป็นเดิมพัน!
การต่อสู้ระหว่างซือกงถูกับหลิงหยุนในครั้งนี้ทั้งคู่นับว่าเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง และล้ำเลิศทั้งคู่ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้ จุดจบก็มีเพียงแค่หนี หรือตายเท่านั้น!
และการต่อสู้ในครั้งนี้..คู่ที่น่าจับตามองที่สุดก็คือหลิงหยุนกับซือกงถู!
หลิงหยุนจู่โจมซือกงถูด้วยกระบี่เงาธนูทั้งสองฝ่ายก็ได้ใช้หมัดเข้าปะทะกันไปถึงสิบกว่าหมัด ทำให้หลิงหยุนรู้ว่าเขาไม่สามารถทำสองสิ่งในเวลาเดียวกันได้ เขาจึงล้มเลิกการใช้กระบี่เหินเงาธนูจู่โจมนักฆ่าคนอื่น และหันมาจดจ่ออยู่ซือกงถูเพียงผู้เดียว..
หลิงหยุนเปลี่ยนเป้าหมายการโจมตีของกระบี่เหินเงาธนูจากนักฆ่าคนอื่นมาเป็นซือกงถูแทน!
แต่สำหรับซือกงถู..กระบี่เหินเงาธนูนั้นไม่ได้น่ากลัวสำหรับเขา เพราะพลังจิตของหลิงหยุนเวลานี้ไม่ได้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้กระบี่เหินเล่มนี้ รวดเร็วเกินไปกว่าการที่ซือกงถูจะรับมือได้..
ยิ่งไปกว่านั้น..ซือกงถูยังมั่นใจว่ากระบี่เหินเงาธนู จะไม่สามารถทำลายพลังปราณที่พวยพุ่งล้อมรอบร่างของตนเองไว้ได้!
“เจ้าหนู..คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นผู้บ่มเพาะตนที่แท้จริง!”
หลังจากที่ได้ประมือกับหลิงหยุนอีกครั้งทั้งคู่ต่างก็ล่าถอยออกไปยืนกันคนละฝั่ง และซือกงถูก็ร้องตะโกนออกมา
และด้วยขั้นของซือกงถูเวลานี้มีหรือที่เขาไม่สามารถดูออกว่าหลิงหยุนเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะตนที่แท้จริง!
“ยังมีอีกหลายเรื่องที่เจ้าคิดไม่ถึงอย่างน้อยเจ้าก็คงคิดไม่ถึงว่าคืนนี้เจ้าจะไม่สามารถมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้”
หลิงหยุนที่ถอยหลังออกมาเพื่อตั้งหลักเพื่อรอจู่โจมซือกงถูครั้งต่อไปได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ..
“ฮ่า..ฮ่า.. ข้านี่นะจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เจ้าอย่าได้ฝันลมๆแล้งๆไปหน่อยเลย! ”
“แต่หากเจ้ายอมมอบกระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนั้นให้กับข้าดีๆและยอมถ่ายทอดวิชาดูดลมปราณให้กับข้าแล้วล่ะก็.. ไม่แน่ว่าคืนนี้ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็เป็นได้!”
ซือกงถูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและเสนอเงื่อนไขให้กับหลิงหยุนเพื่อใช้แลกกับชีวิตของตัวเอง..
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า “เจ้าจะไว้ชีวิตข้าหรือไม่.. ข้าไม่ใส่ใจ! แต่หากข้าเป็นฝ่ายชนะ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าชั่วคราว!”
จากนั้น..หลิงหยุนก็ยกมือขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปทางร่างของซือกงถู และลำแสงขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ก็พุ่งออกจากนิ้วชี้ของหลิงหยุนตรงเข้าใส่ร่างของซือกงถูทันที!