ตอนที่ 1004 - วิบัติทั้งห้าในพื้นที่ลับ

The Divine Nine Dragon Cauldron

“ภูเขาฟ้ามาถึงแล้วบนถนนแห่งการต่อสู้เพื่อกำชัย ขุนเขาแม่น้ำพันลี้ กองกระดูกพันลี้ ทุกเผ่าพันธุ์พลันสลาย ทวยเทพแตกดับ ใครกันคือผู้ครองโลกตัวจริง?”
  เสียงดังก้องอย่างยิ่งใหญ่
  ซือหยูสั่นไปทั้วตัวเขาราวกับถูกโอบล้อมด้วยพลังเทพ เขาตัวแข็งทื่อขยับไม่ได้แม้แต่น้อย
  ซือหยูเคยรู้สึกว่าตนเองเป็นดั่งแมลงน้อยและรับรู้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของโลกก็เมื่อเขาพบสิ่งมีชีวิตเดียวนั่นคือเทพไม้แห่งเผ่าพันธุ์ไม้ทองแดงโบราณ
  ซือหยูขยับตัวไม่ได้เลยเมื่อมองเทพไม้ในรูปลักษณ์สตรีที่หลับใหลเพียงครั้งเดียวเขายังคงมีความทรงจำในพลังเทพนั้น
  ความรู้สึกของซือหยูในตอนนี้คล้ายกันกับตอนที่เขาได้เจอกับเทพไม้ความต่างก็คือพลังของเทพไม้นั้นทรงพลังมากกว่านี้
  ศิษย์คนอื่นๆ รอบตัวซือหยูสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนในร่างกายได้เช่นกัน เสียงเดียวกันดังก้องในจิตใจพวกเขา
  ส่วนเหล่าคนที่ขาดคุณสมบัติในตำหนักเมฆาม่วงและเหล่าผู้เฒ่าที่นี่ก็คือกลุ่มคนที่สัมผัสอะไรไม่ได้เลย
  เหล่าผู้เฒ่าชักสีหน้าเมื่อเห็นเหล่าคนที่หยุดนิ่ง
  ณยอดเขาที่เก้า แม้ว่าผู้นำสำนักต่าง ๆ จะไม่ได้ยินเสียงนี้ พวกเขาก็อาจจะสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของศิษย์แต่ละคนได้แล้ว
  ม่อเทียนฉวนตาลุกวาว
  “แดนมณีมาถึงแล้ว!”
  ฟึ่บ!
  ม่อเทียนฉวนกระชากมิติด้วยมือเดียวบุรุษเมฆาม่วงฉีกมิติออกมาเช่นกัน ทั้งสองเคลื่อนย้ายไปยังน่านฟ้าเหนือยอดเขาที่เก้าไปยังเหล่าศิษย์ ทั้งม่อเทียนฉวนและบุรุษเมฆาม่วงมองฟ้าด้วยความตื่นเต้น
  “ภูเขาฟ้ามาถึงแล้วบนถนนแห่งการต่อสู้เพื่อกำชัย ขุนเขาแม่น้ำพันลี้ กองกระดูกพันลี้ ทุกเผ่าพันธุ์พลันสลาย ทวยเทพแตกดับ ใครกันคือผู้ครองโลกตัวจริง?”
  ม่อเทียนฉวนพูดกับตัวเองเบาๆ น้ำเสียงของนางสื่อถึงความคิดถึงและความเร่าร้อนในเวลาเดียวกัน
  บุรุษเมฆาม่วงมิอาจห้ามตัวเองให้ท่องคำพูดนั้นออกมาได้เช่นกัน
  นี่คือเสียงที่จะส่งถึงผู้มีสิทธิ์ไปแดนมณีทุกครั้งเมื่อแดนมณีมาถึงมันเกิดขึ้นมาชั่วกัลป์แล้ว
  ม่อเทียนฉวนบุรุษเมฆาม่วง และบุคคลชื่อดังที่แข็งแกร่งทุกคนในจิวโจวล้วนเคยถูกแดนมณีเรียกตัวมาก่อน
  การเข้าไปแดนมณีหนึ่งครั้งหมายถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถ้าหากพลาดโอกาสนี้ไป ผู้พลาดย่อมห่างไกลจากการสร้างชื่อในยุคสมัย จนจางหายไปตามกาลเวลาในที่สุด
  ทั้งห้าภูมิภาคในจิวโจวสั่นสะเทือนพร้อมกัน
  ลำแสงสุริยาพวยพุ่งมาจากดวงดาวนับไม่ถ้วนจากทั้งเก้าสวรรค์กลายเป็นสะพานทอดยาวไปยังท้องฟ้า สะพานนี้มีขั้นบันไดที่เห็นได้อย่างชัดเจน มันมิได้ดูเหมือนสิ่งที่แปรเปลี่ยนมาจากลำแสงดวงตะวันเลย
  ซือหยูผู้ถูกแสงอาบตัวรู้สึกเหมือนมีบางอย่างในใจปะทุขึ้นมาความรู้สึกว่าเขาจะได้ทะลวงพลังขั้นถัดไปกำลังเกิดขึ้นในหัวใจ
  “สะพานฟ้ามาถึงแล้วทุกคนเตรียมพร้อมเดี๋ยวนี้!”
  ม่อเทียนฉวนตะโกน
  ศิษย์ตำหนักโลหิตพร้อมอยู่แล้วพวกเขากระโจนไปที่ด้านหลังม่อเทียนฉวน ซือหยูลังเลก่อนจะบินตามไป
  ซือหยูดีใจเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าสะพานฟ้าแดนมณีอยู่ที่อีกฟากของสะพานฟ้าสินะ? มันจะเป็นโลกแบบไหนกัน? แล้วจะมีความท้าทายอะไรรอพวกเขาอยู่?
  ผู้นำสำนักอื่นรวบรวมศิษย์ของตนและเริ่มพูดเรื่องความลับด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
  ในตอนนั้นเองม่อเทียนฉวนหันกลับมา
  “สะพานที่พวกเจ้าเห็นคือสะพานฟ้าหากสะพานปรากฏ พวกเจ้าจะไปถึงแดนมณีเมื่อก้าวขึ้นไป เจ้าทุกคนควรจะรู้สิ่งที่ข้ากำลังจะบอก มันคือสิ่งที่เผยกับคนนอกไม่ได้ พวกเจ้าจงอย่าพลาดแม้แต่คำเดียว”
  เหล่าศิษย์ที่มองสะพานฟ้าตัวสั่นมีสิ่งที่เปิดเผยกับคนนอกไม่ได้ด้วยรึ?
  “บางคำจะได้รับจากการอาบแสงสะพานฟ้าเท่านั้นมิเช่นนั้นจะมีคนทำลายแดนมณีได้! อย่าได้สงสัยข้า นี่คือบทเรียนที่ได้รับรู้มาจากศิษย์หลายคนที่เข้าไปยังพื้นที่ลับ ด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ รวมถึงจากคนที่เป็นเซียน”
  ม่อเทียนฉวนมองปลายสะพานฟ้าด้วยความเกรงขาม  สตรีผู้ไร้ความกลัวผู้นี้มักจะไม่แสดงความระแวงระวังอะไรเลย ไอลีนโนเวล
  เมื่อเห็นเช่นนั้นทุกคนจึงสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าลึก เพราะแม้แต่เซียนก็แตกดับเพราะมัน!
  “ทุกคนที่ได้แดนมณีจะถูกฝังรอยประทับหากความลับเล็ดรอดออกไป ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน แดนมณีจะสังหารพวกเขาได้ แม้แต่เซียนก็เลี่ยงจากทำลายล้างจากแดนมณีไม่ได้”
  ม่อเทียนฉวนอธิบาย
  พวกเขาเพียงแค่รู้ว่าแดนมณีคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเพิ่มพลังแต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าแดนมณีก็เป็นเครื่องสังหารเซียนด้วย!
  เซียนมณีสิ้นลมหายใจไปเมื่อกัลป์ก่อนแต่แดนมณีที่นางทิ้งเอาไว้ยังคงสยบเซียนในยุคปัจจุบันได้ นางไปถึงระดับใดก่อนตายกัน?
  ทุกคนตกใจและหวาดกลัว
  “ไม่ว่าพวกเจ้าจะได้รู้อะไรในพื้นที่ลับมันก็มีโอกาสเดียว เป็นเวลาอันสั้นที่พวกเจ้าจะถูกบอกได้ และมันก็ถึงเวลาแล้ว!”
  “เมื่อแสงสุริยามาถึงแดนมณีจะอยู่ในขั้นการทอดสะพานฟ้า พวกเราจะต้องเข้าไปก่อนที่จะเกิดรอยประทับ การเปิดเผยข้อมูลในตอนนี้ย่อมตรวจจับไม่ได้”
  ม่อเทียนฉวนกล่าว
  “เอาล่ะฟังสิ่งที่ข้ากำลังจะพูดให้ดี!”
  ม่อเทียนฉวนรีบพูด
  “แดนมณีแบ่งเป็นสวนห้าแห่งนั่นคือสวนบุพผา สวนตำรา สวนยอดฝีมือ สวนสัตว์ป่า และสุสาน”
  “ทุกสวนคือแหล่งฝึกฝนที่เซียนมณีออกแบบมาอย่างดีมีกุญแจชำระล้างอยู่ในสวนแต่ละแห่ง ภารกิจของพวกเจ้าคือหากุญแจชำระล้างของตัวเองเพื่อฝึกฝนในสวนแต่ละแห่ง”
  คนหนึ่งถาม
  “ท่านเจ้าตำหนักพวกเราจะหากุญแจชำระล้างของตัวเองได้ยังไง มีวิธีการหรือไม่?”
  ม่อเทียนฉวนส่ายหน้า
  “ไม่มีวิธีการอะไรทั้งนั้นเจ้าคิดว่าการชำระล้างคืออะไร? จักรวาลแปรเปลี่ยนตลอดเวลา หากแกะรอยได้ มันก็ไม่ควรจะเรียกว่าการชำระล้าง”
  “จากที่ศิษย์ข้าไปแดนมณีมาหลายหนกุญแจล้วนมาจากความบังเอิญ อาจเป็นนกน้อยบินผ่านมาชนเจ้าและนำตำราชั้นสูงมาถึงเจ้า”
  “หรือเจ้าอาจจะไปเหยียบกิ่งไม้แห้งแล้วได้เจอกับสมบัติภูติโบราณหรือบางทีอาจจะเป็นสัตว์วิญญาณที่เดินมาหาเจ้าพร้อมกับคาบผลึกเซียนมณีอยู่ในปาก”
  ทุกคนตกใจสิ่งที่พวกเขาจะได้รับมาจากวิธีการเหล่านั้นหรือ?
  “ท่านเจ้าตำหนักถ้าเช่นนั้น การได้ของจากแดนมณีก็ไม่เกี่ยวกับพลังของพวกเราเลยรึ?”
  ศิษย์ที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างยากลำบากในงานเฟิงหยุนถามด้วยความสงสัย
  ม่อเทียนฉวนพยักหน้าแต่จากนั้นนางก็ส่ายหน้า
  “เจ้าพูดถูกแต่ก็ยังไม่ถูกซะทีเดียว”
  “แน่นอนว่าโอกาสมิได้ตัดสินจากพลังแต่ยิ่งเจ้าอยู่ในพื้นที่ลับทั้งห้่าได้นานเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งมีโอกาสได้รับสิ่งเหล่านั้น!”
  “แดนมณีมีอันตรายอยู่ทุกหนแห่งผู้ที่อ่อนแอส่วนมากอาจตายไปก่อนที่จะได้อะไรกลับมา มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งตัวจริงเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดนานมากพอ และโอกาสที่จะได้รับสมบัติก็จะยิ่งมากขึ้นหากเทียบกับผู้ที่อ่อนแอ บางคนอาจได้ถึงสองชิ้นต่อเนื่องกัน”
  นางไม่เปิดเผยว่านางคือหนึ่งในคนที่ได้รับสมบัติสองชิ้นต่อเนื่องและก็เป็นไม่กี่คนที่มีโอกาสนี้ในชั่วกัลป์
  สมบัติภูติวิถีอสูรของนางก็มีที่มาจากแดนมณีนี่เอง
  ศิษย์หลายคนที่โชคดีในรอบคัดเลือกใจหายสุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับพลังจริง ๆ
  “ท่านเจ้าตำหนักม่อมีพลังอะไรในพื้นที่ลับที่จะกำจัดพวกเราได้รึ?”
  ปิงหวูชิงแห่งเขาอสูรถามนางถามคำถามที่อยู่ในใจทุกคน
  เจ้าตำหนักม่อพยักหน้าอย่างลึกล้ำ
  “ใช่จะมีภัยธรรมชาติทุกเจ็ดวันในพื้นที่ลับ มันจะเกิดจากธาตุของสวนทั้งห้า นั่นคือบุพผา ตำรา วิชาบ่มเพาะ สัตว์ป่า และวิญญาณของคนตาย”