ตอนที่ 1005 - รอยประทับอายุขัย

The Divine Nine Dragon Cauldron

“แต่ละภัยพิบัติจะรุนแรงกว่าภัยพิบัติก่อนหน้าวิบัติบุพผาแรกจะกำจัดผู้ท้าชิงไปสองในสิบส่วน วิบัติตำราจะกำจัดไปสามในสิบส่วน วิบัติวิชาบ่มเพาะจะกำจัดไปสี่ในสิบส่วน”
  ม่อเทียนฉวนอธิบายรายละเอียด
  “ส่วนวิบัติที่สี่และห้าทุกคนจะตกเป็นเป้าหมาย วิบัติที่สี่จะกำจัดเกือบทุกคนไป วิบัติสุดท้ายจะกำจัดทุกคนในทุกวิถีทางที่เลี่ยงไม่ได้ ราชาเก้าเขตก็มิอาจเลี่ยงวิบัติสุดท้ายได้”
  ม่อเทียนฉวนพูดอย่างชัดเจนนางบอกว่าไม่มีใครที่ผ่านวิบัติสุดท้ายไปได้ นั่นหมายถึงวิบัติที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณคนตายนั่นเอง
  “ท่านเจ้าตำหนักวิบัติวิญญาณคนตายน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?”
  มีคนถามเพราะแม้แต่ราชาเขตและเหล่าเซียนยังมิอาจรอดปลอดภัยได้ มันจะต้องมีบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น
  ม่อเทียนฉวนพยักหน้า
  “ถูกแล้วหากวิบัติที่ห้ามาถึง มันจะไม่มีจุดจบ ทุกคนจะต้องถูกกำจัดทิ้ง”
  “แล้ววิบัติวิญญาณคนตายมันคืออะไรกัน?”
  คำอธิบายของม่อเทียนฉวนไม่ได้ตอบคำถามของพวกเขาได้เลย
  ม่อเทียนฉวนพูด
  “ข้าก็ไม่รู้มันคือความลึกลับที่สุดในวิบัติทั้งห้า คนที่เคยเห็นมันถูกกำจัดออกมาตั้งแต่ช่วงเวลาแรก จนถึงวันนี้เลยไม่มีใครรับรู้ได้”
  วิบัติที่ไม่มีผู้ใดรู้จักหรือ?หลายคนเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย
  “พวกเจ้าไม่ต้องกังวลจากในอดีต เมื่อวิบัติหนึ่งจบลง สมบัติจะปรากฏออกมาดั่งน้ำพุ หากเข้าใกล้จุดจบเท่าใด รางวัลที่พวกเจ้าได้จะยิ่งเพิ่มขึ้น หากเป็นภาวะปกติ ถ้าพวกเจ้าผ่านวิบัติที่สามมาได้ พวกเจ้าจะได้รางวัลหนึ่งชิ้น หลังจากผ่านวิบัติที่สี่ พวกเจ้าจะมีโอกาสได้ชิ้นที่สอง แต่มีคนเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้นที่จะรอดวิบัติที่สาม ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ต้องกลัววิบัติสุดท้ายนัก”
  หลายคนโล่งใจขึ้น
  “”แล้วก็นอกจากอันตรายในการบ่มเพาะที่แดนมณีเอง พวกเจ้ายังต้องระวังอันตรายที่สอง ข้าคงไม่ต้องพูดถึง
  ม่อเทียนฉวนกล่าว
  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอันตรายที่สองนั้นมาจากผู้คนที่เข้าร่วม
  “ตามกฎแดนมณีโอกาสที่พวกเจ้าจะได้รางวัลนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนศัตรูที่เจ้าสังหารหรือเอาชนะ”
  ม่อเทียนฉวนบอกสิ่งที่ไม่มีใครรู้อย่างจริงจัง
  ทุกคนเลิกคิ้วมีกฎที่รุนแรงเช่นนี้อยู่จริงรึ? คนที่จิตใจดีไม่อยากสังหารใครในตอนนี้กลับต้องสังหารให้ได้มากที่สุดเพื่อโอกาสของตัวเอง
  ซือหยูขมวดคิ้วแน่นกฎเช่นนี้จะต้องออกแบบมาเพื่อกดดันเหล่ายอดฝีมือแห่งยุคสมัยให้ล่าสังหารกันเอง!
  เซียนมณีตั้งใจที่จะส่งมอบสมบัติของตัวเองให้กับผู้สืบทอดของนางหากที่ใช้กฎเกณฑ์เช่นนี้ไม่กลัวว่ายอดฝีมือจากแต่ละยุคสมัยจะหมดลงหรือ?
  แต่เมื่อคิดให้ดีมันก็มีเหตุผลมาตรฐานยอดฝีมือของเซียนมณีนั้นแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างมาก บางทีนางอาจจะคิดถึงคนที่เก่งกว่าซือหยูด้วยซ้ำไป และก็เป็นเรื่องจริงที่ทวีปต้องการกำลังคนที่แข็งแกร่ง นั่นคือเวลาที่จิวโจวต้องการการชิงชัยอันดุเดือดเพื่อเฟ้นหาคนที่เก่งกาจที่สุด
  สำหรับคนที่อ่อนแอกฎเช่นนี้นับเป็นเรื่องอันตรายและน่าหวั่นเกรง แต่สำหรับผู้ที่แข็งแกร่ง…มันคือข่าวดี
  ปั้ง!   ในตอนนั้นเองสะพานฟ้าเริ่มสั่น เกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรงกับสิ่งรอบข้าง ท้องนภากว้างใหญ่ฉีกเป็นความว่างเปล่าสีดำสนิท
  ผู้นำแต่ละสำนักตัวแข็งทื่อพวกเขายืนขวางหน้าศิษย์ตัวเองเอาไว้
  ม่อเทียนฉวนหยุดพูดทันทีผู้เฒ่าคนอื่นที่กำลังถ่ายทอดความลับในแดนมณีเองก็หยุดพูดราวกับมันเป็นคำต้องห้าม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเวลาถ่ายทอดได้หมดลงแล้ว
  “สะพานฟ้าทอดมาถึงแล้วพวกเจ้าจำคำพูดข้าเอาไว้ให้ดี เตรียมตัวขึ้นสะพานฟ้าได้”
  ม่อเทียนฉวนก้าวไปข้างหน้าและยืนหน้าสะพานฟ้า
  นางถูกแสงจากสะพานส่องกระทบกายแม้จะมีพลังสูงสุด นางก็ตัวสั่นเล็กน้อย
  บุรุษเมฆาม่วงก้าวไปข้างหน้าทันทีทั้งร่างสั่นอย่างรุนแรง เขาพยายามพยุงตัวเองยิ่งกว่าม่อเทียนฉวนเสียอีก novel-lucky
  แสงสุริยาก่อตัวเป็นประตูเก้าสีเหนือศีรษะของพวกเขาพวกเขาเพียงต้องก้าวผ่านประตูไปยังสะพานฟ้า
  ม่อเทียนฉวนสั่ง
  “ศิษย์แห่งตำหนักโลหิตและศิษย์สำนักภายใต้ข้า!จงเข้าประตูผ่านสะพานฟ้าไปซะ!”
  ปิงหวูชิงไป่ชานเหลียง กงซุนหวูซื่อและคนที่เหลือเคลื่อนตัวไปข้างหน้าทันที พวกเขาบินผ่านประตูก้าวเข้าสู่สะพานฟ้า
  ซือหยูตามกงซุนหวูซื่อไปใกล้ๆ และเตรียมจะผ่านประตู ทันทีที่เขาก้าวเข้าไป ดวงตาม่อเทียนฉวนส่องประกายความดุร้าย นางแอบขยับดัชนี เกิดเสี้ยวแสงสีดำโดยพลัน นางเตรียมมันมาสักครู่แล้ว มันยิงตรงจากปลายดัชนีนางไปยังระหว่างคิ้วของซือหยู
  ความเจ็บปวดบางเบาทะลวงจมลงไปในร่างกายซือหยูซือหยูรำคาญใจเป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่เขาจะได้ระบายความแค้น ม่อเทียนฉวนก็ม้วนแขนเสื้อและผลักเขาเข้าประตูไป เขาที่ถูกผลักไปสู่สะพานฟ้าหันมามองด้วยความหงุดหงิด แต่เขาก็ตกใจมากเพราะตรงหน้ามีแต่เพียงความว่างเปล่า เขามองไม่เห็นม่อเทียนฉวนและตำหนักเมฆาม่วงอีกต่อไป
  “สะพานฟ้าเคลื่อนย้ายได้!”
  ซือหยูรู้ตัวทันควัน
  ซือหยูตรวจสอบร่างกายในทันทีรและพบรอยพิมพ์สีดำสนิทฝังอยู่ในหัวใจรอยพิมพ์นี้ไร้พิษภัย แต่ซือหยูพบว่าเขาไม่สามารถลบล้างมันออกไปได้แม้จะพยายามใช้พลัง
  “อย่าเสียแรงเปล่ารอยประทับนั่นคือรอยที่มีอายุขัย มันจะอ่อนแอลงไปตามเวลา แต่ไม่มีพลังภายนอกในสลายมันได้”
  หยุนย่าสีกล่าว
  “เจ้าตำหนักม่อไม่ได้บ่มเพาะพลังในสามวันที่ผ่านมานางกลับคิดจะฝังรอยประทับกับเจ้า แม้จะต้องแลกด้วยอายุขัย”
  หยุนย่าสีหัวเราะเบาๆ
  ซือหยูหัวเราะไม่ออก
  “ท่านอาจารย์นางใช้รอยประทับนี้ทำไมกัน? ข้าบอกที่มาของพลังไม่ได้เลย”   หยุนย่าสีหัวเราะ
  “รอยประทับนั่นไม่มีอันตรายแต่เจ้าตำหนักม่อจะบอกตำหนักที่ชัดเจนของเจ้าได้ทุกเมื่อ จากนี้ไปเจ้าก็ไม่ต้องหนีนางอีกแล้ว”
  มันคือรอยประทับติดตามตัวนั่นเองซือหยูสบายใจขึ้นมาก
  “ก็ช่างมัน!วันหนึ่งข้าจะทำให้ผู้หญิงนั่นทรมานยิ่งกว่านี้!”
  ซือหยูพูดอย่างไม่แยแสเมื่อพูดจบ เขาก้าวขึ้นสู่ขั้นบันได
  มันควรจะเป็นการก้าวธรรมดาแต่ซือหยูรู้สึกว่าเขาได้ผ่านการเคลื่อนย้ายในระยะไกลโพ้น พอเท้าได้แตะพื้นอีกครั้งมันก็ไม่มีบันไดใต้เท้าอีก แต่เป็นผืนดินแข็งแกร่ง กลิ่นไอดินตามธรรมชาติและบรรยากาศสดชื่นเข้าปะทะเขา
  เขาเหลือบมองรอบๆ และต้องแปลกใจเมื่อพบว่าเขามาอยู่ในโลกอันตระการตาที่เต็มไปด้วยบุพผา เขาพบดอกไม้นับไม่ถ้วนในสายตา มีหลายพันธุ์หลายขนาดและหลายสี พวกมันไร้นาม ประกอบกันเป็นโลกอันงดงาม
  “ฮ่าๆ ดูเหมือนเจ้าจะโชคดีนะ! เจ้าถูกพามายังศูนย์กลางวิบัติแรก สวนบุพผา”
  หยุนย่าสีหัวเราะเบาๆ
  วิบัติบุพผาจะทำงานก่อนเป็นที่แรกและสวนบุพผาที่อยู่ตรงกลางจะเป็นแหล่งภัยพิบัติ อันตรายย่อมมีมากกว่าพื้นที่ส่วนอื่น
  “แล้วก็สวนบุพผา…มันน่ารำคาญมากมันง่ายกว่าสำหรับสตรี แต่บุรุษจะต้องพบเจอกับปัญหาไม่รู้จบ เจ้ารีบออกไปให้เร็วจะดีกว่า”
  ซือหยูกลอกตาสวนบุพผาแยกแยะความเป็นบุรุษและสตรีด้วยหรือ? แต่เขาก็ฟังคำแนะนำของหยุนย่าสีและเลือกทิศทางเตรียมจะหนี
  หลังจากบินมาหนึ่งชั่วยามซือหยูยังพบว่าตัวเองจมอยู่ในห้วงทะเลบุพผาหนาแน่น
  ในตอนนั้นเองเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหน้า คนหนึ่งตื่นตระหนกพุ่งออกมาจากกองบุพผาที่สูงเท่าตัวมนุษย์
  “โอ้พระเจ้า!ราชาบุพผากำลังไล่ตามเรา! หนีเร็ว!!”
  ซือหยูหยุดนิ่งไปชั่วครู่อะไรนะ? ราชา…ราชาบุพผารึ?