เมื่อนามของราชาบุพผาแล่นเข้ามาถึงหูเหล่าเงาถาโถมเข้ามาหาเขาราวกับลมคลั่ง
เขาเห็นร่างคนสามคนขี่นกไม้ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในดินแดนพรสวรรค์พวกเขากำลังมุ่งหน้าตรงไปยังขอบฟ้า
วิหคไม้เหล่านั้นสร้างมาอย่างละเอียดอ่อนและสลักเป็นรูปร่างที่เหมือนจริงแม้แต่ปีกยังมีความเสมือนกับวิหคของจริงอย่างมาก ถ้าหากไม่มีพลังที่จะมองเห็นโครงสร้างภายใน เขาก็คงคิดว่าวิหคเหล่านั้นเป็นของจริง
ความเร็วของวิหคไม้นั้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อมันเร่งความเร็วไปถึงจ้าวเทวะระดับเก้าอย่างง่ายดาย
“พวกนั้นจะต้องมาจากดินแดนช่างสวรรค์ในเขตกลาง”
ซือหยูแทบจะบอกที่มาของคนเหล่านั้นได้หมดเปลือกจากการมองวิหคไม้และเสื้อผ้าของคนที่อยู่บนหลังวิหค
ดินแดนช่างสวรรค์คือหนึ่งในห้าดินแดนใหญ่จากเขตกลางมันเป็นดินแดนใกล้เคียงดินแดนพรสวรรค์
แต่สิ่งที่แตกต่างจากดินแดนที่ติดกันอย่างดินแดนมีดสวรรค์ก็คือดินแดนช่างสวรรค์นั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่ดินแดนที่นับว่าเป็นมิตรต่อดินแดนพรสวรรค์เมื่อร้อยปีก่อน มหาสงครามระหว่างมนุษย์และภูติผีเกิดขึ้นที่ชายแดนมีดสวรรค์และส่งผลกระทบต่อดินแดนมีดสวรรค์จนทั้งสองดินแดนต้องร่วมมือกันหลายครั้ง ดังนั้นบรรยากาศความคุกรุ่นของสองดินแดนนี้จึงเบาบางมากหากเที่ยบกับดินแดนมีดสวรรค์
เจ้าของวิหคไม้ทั้งสามเป็นชายหนุ่มสองคนและหญิงสาวอีกหนึ่งทั้งสามมีพลังเหนือจ้าวเทวะระดับแปด ทั้งสามมีพลังที่แข็งแกร่งพอกัน พวกเขาอาจจะแข็งแกร่วกว่าถังหลิงที่เป็นจ้าวเทวะระดับแปดเล็กน้อย
ทั้งสามใบหน้ากระวนกระวายราวกับเจอสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมากจนต้องใช้วิหคไม้เพื่อเร่งความเร็ว
ทิศทางที่ทั้งสามกำลังมุ่งหน้านั้นเป็นจุดที่ซือหยูบินมาพอดี
ซือหยูใช้พลังดวงตามองด้านหลังพวกเขาและพบว่าบุพผาสีทองกำลังเบ่งบานใต้แสงสุริยาจ้าใต้แสงนี้ บุพผาได้สะท้อนแสงสีเหลืองเป็นเส้นสายกลับไปยังท้องฟ้า
วิหคไม้ทั้งสามอยู่ที่กึ่งกลางของลำแสงนั้นมีหนึ่งตัวถูกลำแสงสัมผัสและระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ คนที่ขี่หลังวิหคไม้กรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานและแตกดับไป
ซือหยูเห็นได้อย่างชัดเจนว่าวิญญาณเขาถูกทำลายไปพร้อมกับร่างกาย
จ้าวเทวะระดับแปดสามารถยืนได้ด้วยแข้งขาของตัวเองและแบกรับความรับผิดชอบได้มากมายไม่ว่าจะไปอยู่ส่วนไหนของจิวโจวแต่กลับในแดนมณี เขากลับต้านทานพลังจากดอกไม้ดอกเดียวไม่ได้! ชายอีกคนยื่นฝ่ามือชักกระบี่ทองแดงที่มีลวดลายสลับซับซ้อนออกมาเขาซัดกระบี่ไปตัดลำแสงที่ปรากฏตรงหน้า ลำแสงแล่นผ่านกระบี่ทองแดง และกระบี่นี้มีพลังดูดซับแรงปะทะ เจ้าของกระบี่จึงใช้โอกาสนี้สวนกลับพลังของบุพผาไปได้
ชายหนุ่มคนนี้เชี่ยวชาญวิชากระบี่เขารักษาสมดุลระหว่างความตึงและความผ่อนได้เป็นอย่างดีเมื่อถือกระบี่ ด้วยลำแสงจากศัตรูมากมาย เงากระบี่ของเขารวดเร็วและไม่พลาดเป้า
หญิงสาวโยนดอกบัวสีชมพูที่ดูงดงามออกไปดอกบัวบานสะพรั่งที่กลางอากาศ กลีบสีชมพูระเบิดออกมา มันเข้าล้อมรอบวิหคไม้ปกป้องทั้งนางและวิหคไม้เอาไว้ในกลีบ แต่พลังป้องกันของดอกบัวนั้นมีจำกัด นางรับลำแสงได้เพียงไม่กี่ครั้ง ยากที่กลีบบัวจะแบกรับไหว
“ศิษย์พี่ติงผิง!”
นางสัมผัสได้ถึงอันตรายและไม่มีทางเลือกนอกจากขอความช่วยเหลือชายหนุ่มที่อยู่บนวิหคไม้ตัวใกล้ๆ
นายหนุ่มเหลือบมองนางด้วยใบหน้าหมองเขาแทบจะปกป้องตัวเองไม่ได้แล้วเขาจะไปช่วยนางได้ยังไง?
“เจ้ารับมือไว้ก่อนนะชาหยินข้าจะไปช่วยเจ้า!”
ชายหนุ่มตะโกนแต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะเข้าหานางเลย
ชาหยินรู้ดีว่าติงผิงกำลังตึงมือนางกัดฟันขยับดัชนีควบคุมกลีบบุพผารอบตัววิหคไม้ พวกมันระเบิดในทันที เกิดแรงกระแทกรุนแรง ลำแสงมากมายถูกกันออกไป
ชาหยินใช้โอกาสนี้กัดปลายลิ้นพ่นโลหิตไปที่วิหคไม้จากนั้นวิหคไม้ก็เร่งความเร็วขึ้นอีกมาก
ใบหน้าอันงดงามของนางซีดลงด้วยความรวดเร็วการแล่นวิหคไม้ด้วยแก่นโลหิตนั้นต้องแลกกับพลังมหาศาล เป็นสิ่งที่ใช้บ่อยๆ ไม่ได้
แต่ในตอนนั้นเองเสียงที่ระบุเพศไม่ได้ก็ดังมาจากทะเลบุพผา
“กล้าดียังไงมาหนีไปจากดินแดนของข้า!”
เสียงที่คล้ายเทียนเหรินเหยาทำให้ซือหยูขนลุก
เมื่อเสียงนั้นพูดลำแสงที่หนากว่าเดิมสามเท่าก็พุ่งออกมาจากกลางหมู่บุพผา มันเร็วกว่าลำแสงอื่นหลายเท่าตัว ชาหยินมิอาจเป็นอิสระจากมันได้ ลำแสงกำลังจะทะลวงผ่านวิหคไม้และคร่าชีวิตทั้งนางกับทำลายวิหคไม้ไป
ในตอนนั้นเองสายฟ้าหนึ่งได้พุ่งตรงมาจากฟากฟ้าเข้าขวางระหว่างลำแสงและวิหคไม้
ชายหนุ่มผสขาวสวมหน้ากากสีเงินเดินก้าวออกมาจากสายฟ้า
เส้นผมขาวราวหิมะโบกสะบัดตามคลื่นลมสายฟ้าตระการตาล้อมรอบกายของเขาราวกับว่าเทพสายฟ้าได้จุติลงมา
เมื่อเผชิญหน้ากับแสงมากมายที่คร่าชีวิตได้แม้กระทั่งจ้าวเทวะระดับเก้าบุรุษผมขาวหน้ากากเงินยกมือเรียกมุกสีครามอำพันมาตรงหน้า
มุกกลมไม่ขยับแม้แต่น้อยเมื่อปะทะกับลำแสงลำแสงกลับกระเด็นออกไป มุกกลมยังคงไม่ขยับเขยื้อน จากนั้นชายผมขาวก็ได้เก็บมุกและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่เพียงแต่ชาหยินจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่บุพผาพูดได้ก็ผงะ
“มีคนอยากตายอีกแล้วสินะ!ก็ได้ ข้าจะทำตามความปรารถนาเจ้า!’
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ลำแสงปะทุจากทะเลบุพผามากกว่าเดิมหลายเท่า
“ฮื่ม!”
ซือหยูถอนหายใจเบาๆ เขากอดอกทำท่าทางประหลาด พลังอสูรในกายเดือดพล่านมังกรอสูรห้าตัวถูกปลดปล่อยออกมา พวกมันร้องคำรามรอบตัวเขา
ลำแสงทั้งหมดเข้าปะทะกับพลังอสูรจากมังกรและสลายหายไม่เหลือสิ่งใด
เหล่ามังกรอสูรพุ่งลงไปยังพื้นอย่างรวดเร็วพวกมันทำให้เหล่าบุพผาเบื้องล่างกลายเป็นฝุ่นผง
ไม่จบเพียงเท่านั้นเหล่ามังกรอสูรยังทะลวงลึกไปถึงพื้นดิน ไม่นานบุพผาขนาดยักษ์ที่มีสีเหลือบทองก็ได้ผุดขึ้นมา
บุพผายักษ์กว้างถึงพันศอกที่ดอกของมันมีใบหน้ามนุษย์ที่จ้องมองซือหยูด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เจ้าทำข้าโกรธแล้วนะ!”
“แล้วจะทำไมเล่า?” novel-lucky
ซือหยูยอกย้อนกลับไป
ซือหยูคิดว่าบุพผายักษ์นี้จะเตรียมต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่นี่แต่เขาก็อ้าปากค้างเมื่อเห็นใบหน้ามนุษย์ขี้อายจากบุพผายักษ์
“ข้าชอบบุรุษงดงามอย่างเจ้าที่สุดเลยมาสิ โหดร้ายกับข้า ทำร้ายข้าอีก!”
ซือหยูหน้านิ่งตึงเขาตัวสั่น
“พูดอะไรบ้างสิ!ข้านะรักบุรุษที่แข็งแกร่ง ข้าอยากจะมอบหัวใจให้เจ้านะ”
บุพผายักษ์พูดด้วยความเขินอาย
ซือหยูขยะแขยงในใจเขารู้แล้วว่าทำไมหยุนย่าสีถึงบอกว่าจะมีปัญญามากมายกับบุรุษที่มาสวนบุพผา
เจ้าดอกไม้นี่ไม่เคยมองกระจกหรือยังไง?
ซือหยูสั่นไปทั้งกายเขาแตะปลายเท้าเบา ๆ และกระโจนไปที่วิหคไม้ของชาหยิน
“แม่นางเจ้าจะไม่หนีรึ?”
เขาถาม
ชาหยินตัวแข็งทื่อจากกระบวนท่าที่ทรงพลังของซือหยูกว่าจะตั้งสติได้ซือหยูก็ไปอยู่บนวิหคไม้ของนางแล้ว นางรีบพูด
“โอ้โอ้ ใช่แล้ว ข้าจะใช้นก”
ฟึ่บ!
วิหคไม้บินไปทันที
ติงผิงเพิ่งจะมีโอกาสได้หายใจก่อนจะใช้วิหคไม้ไล่ตามทั้งสองไป
ครึ่งชั่วยามต่อมาวิหคไม้ทั้งสองหยุดบินที่เนินเขาสวนบุพผา
“ข้าชื่อติงผิงมาจากดินแดนช่างสวรรค์ สำนักช่างสวรรค์ นี่คือศิษย์น้องข้า ชาหยิน ท่านมีนามว่าอะไรหรือ?”
ติงผิงเดินตรงมาหาชาหยินทันทีที่ลงจากวิหคไม้
เขาขวางนางไว้ที่ด้านหลังดูเหมือนว่าเขาจะระแวงซือหยู
ซือหยูเหลือบมองเขาอย่างไม่ใส่ใจและมองวิหคไม้
ติงผิงสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมคนแปลกหน้าถึงมาช่วยพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลจะต้องเป็นเพราะวิหคไม้แน่
ซือหยูมีจุดอ่อนในเรื่องของความเร็ววิหคไม้นี้มีความเร็วเท่าจ้าวเทวะระดับเก้า มันจึงเป็นตัวเลือกที่ดี
“ข้าถามท่านอยู่นะ”
ติงผิงเลิกคิ้วน้ำเสียงของเขาเริ่มไม่พอใจ
เขาเลิกคิดจะช่วยชาหยินไปแล้วแต่ชายหน้ากากเงินผู้นี้ก็มาช่วยนางเอาไว้ไม่มีเหตุผลที่เขาจะพอใจโดยเฉพาะเมื่อชาหยินคือหญิงสาวที่งดงามที่สุดในสำนักช่างสวรรค์
ชาหยินมองติงผิงด้วยความผิดหวังนางไม่โทษติงผิงที่ทิ้งนางเพราะเขาแทบจะช่วยตัวเองไม่ได้ แต่นางไม่ชอบที่ติงผิงมักจะริษยาคนที่มีพลังและแค้นเคืองคนเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะต่ำต้อย เขาก็พร้อมที่จะโทษคนอื่นที่แข็งแกร่งกว่า
ชาหยินเดินออกมาจากด้านหลังติงผิงและทักทายซือหยูอย่างสุภาพ