บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)
บทที่ 1 หญิงสาวสกุลหัวแห่งบ้านตระกูลหลี่
ทิวเขาชวีซีเสวียคดเคี้ยววนเวียนนับร้อยโค้ง สายน้ำใสราวมรกตท่วมเรือน้อย สายลมโชยพลิ้ว
“โยว — — ดวงอาทิตย์แผดเผานทีสายยาว เชื้อเชิญบัณฑิตร่วมร่ำสุรา สนทนาเพื่อหนีความระทม โยว — –”
ฮวาหว่านได้ฟังเนื้อเพลงแปลกใหม่จึงเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่กำลังโก่งลูกคอร้องเพลง ซึ่งก็คือผู้เฒ่าเวิงแห่งตระกูลจางนั่นเอง จางเวิงพายเรือไปทางปลายน้ำอย่างช้าๆ
จางเวิงเองนั้นก็มองเห็นฮวาหว่านแล้วเช่นกัน เขาหยุดเรือลำน้อยทักทายเสียงสูง ” สาวน้อยบ้านหลี่ ผิวใบไผ่สักเพลงสองเพลงให้ผู้ชราเวิงรื่นเริงสักนิดเถอะนะ”
ฮวาหว่านแซ่ฮวาก็จริงอยู่ แต่เพราะว่าอาศัยอยู่กับบ้านท่านลุงที่แซ่หลี่ เพื่อนบ้านจึงคุ้นเคยที่จะเรียกนางว่าสาวน้อยสกุลหลี่
ฮวาหว่านสะบัดต้นหญ้าในมือไปมา “ข้าไม่สะดวก วันหลังค่อยเป่าให้อาเวิงฟังแล้วกัน”
” ฮาฮา ก็ได้! ”
ผู้เฒ่าเวิงแห่งบ้านจางอายุ 70 กว่าแล้ว แต่ร่างกายกระดูกกระเดี้ยวยังแข็งแรงนัก แค่จ้วงสาวเรือยาวๆไม่กี่ครั้ง เรือน้อยก็แล่นเลี้ยวโค้งไปตามทางจนลับสายตา
ห่างจากฮวาหว่านไปไม่ไกลนัก ยังมีอีกผู้หนึ่งใส่ชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบๆ เสื้อสีน้ำตาลตัวสั้นถูกสอดไว้ตรงเอว ไว้ผมเปียสองข้างเป็นเด็กหญิงวัยราว 11-12 ปี ร่างกายท่อนล่างของเด็กหญิงตัวน้อยจมอยู่ในน้ำตื้น ไม่รู้ว่าช้อนได้สิ่งมีค่าอะไร จึงได้กระโดดโลดเต้นยินดีพุ่งไปหาฮวาหว่าน
ก้อนกรวดขนาดเท่าไข่ห่านหลายก้อนร่วงหล่นข้างกายฮวาหว่าน เด็กน้อยยกมือโอบตัวฮวาหว่านแล้วยิ้มแย้ม “สองสามวันก่อนเฒ่าจางเข้าเมืองหลวงไม่รู้ว่าไปฟังเพลงจากสำนักคณิกาแห่งใดเข้า พอกลับมาที่หมู่บ้านก็เอาแต่ฮึมฮัมร้องเพลง ไม่รู้วันรู้คืน พอฟังเข้าหลายๆ รอบหูของข้าก็แทบจะมีตัวหนอนงอกออกมาอยู่แล้ว”
“จริงเหรอ? ข้ากลับเคยฟังแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” ฮวาหว่านฉีกปากยิ้มกว้าง รอยยิ้มนั้นสดใส ก่อนที่มือขาวละเอียดจะกรีดเป็นวงโค้งส่งต้นหญ้าหลายต้นที่ถูกบดรีดจนแห้ง ก่อนถักร้อยเป็นปล้องๆ ลอยคว้างอย่างชำนาญ ทว่าแฝงพลังเรี่ยวแรงที่ดีส่งต้นหญ้าถักนั้นเข้าสู่ใจกลางฝ่ามือของเด็กน้อยอย่างแม่นยำ ” เซียงลี่ให้เจ้า”
เด็กหญิงน้อยผู้นั้นคือเซียงลี่นั่นเอง
นัยน์ตาของเซียงลี่ทอประกาย นางเช็ดสองมือกับกระโปรงไปมา ถึงจะบรรจงหยิบปิ่นดอกหญ้าขึ้นมา
ปิ่นชิ้นนั้นคือต้นหญ้าที่ถูกถักเป็นข้อๆส่วนบนของปิ่นใช้เกสรลูกกลมๆ ที่เหมือนแสงตะเกียง ม้วนเป็นมาลัยดอกหญ้า แถมมาลัยดอกหญ้านั้นยังแต่งด้วยดอกไม้สีม่วงเล็กๆ อีกสามดอก
เมื่อเห็นเซียงลี่ลองปักปิ่นปักผมบนหัวทั้งซ้ายขวาไปมา ฮวาหว่านจึงยิ้มน้อยๆ “ส่วนบนของปิ่นข้าแค่เกี่ยวมาลัยไว้ รอจนดอกไม้สีม่วงพวกนั้นเหี่ยวเฉาเจ้าสามารถปักดอกไม้ดอกใหม่เข้าไปแทนได้”
“อืม พี่สาวหว่านปิ่นนี้สวยมาก ให้ข้าจริงๆ เหรอ?” เซียงลี่ยิ่งฉีกยิ้มหวานเงยหน้าสบสายตาฮวาหว่าน
เด็กน้อยชาวบ้านก็มีเพียงแค่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบหยาบๆ เท่านั้นไหนเลยจะมีเครื่องประดับสวยงามแบบนี้
ดวงตาฮวาหว่านเปล่งประกายสดใสรอยยิ้มบนใบหน้าแจ่มชัดขึ้น ” ก็แค่ต้นหญ้าถักไม่กี่ต้นเองไหนเลยจะเป็นของสวยงามอะไรได้ ถ้าเซียงลี่ชอบ ผ่านไปอีกสักไม่กี่วันข้าค่อยทำที่ห้อยผลไข่มุกให้เจ้า”
“ฝีมือพี่สาวหว่านสุดยอดไปเลย ” เซียงลี่ชูมือขึ้นปักปิ่นในเปียผม แล้วจึงใช้ผิวน้ำแทนกระจกมองความสวยงามอีกครั้ง
“สายแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ” พระอาทิตย์ค่อยๆ สูงขึ้น ฮว่าหว่านคาดคำนวณแล้วว่าคงใกล้ยามเที่ยงแล้วจึงยืดกายขึ้น ค่อยๆ ปัดรองเท้าที่ถักจากต้นหญ้าเพื่อเขี่ยก้อนหินแตกออกไป แล้วจึงหันกายแบกกองกิ่งไม้ที่มัดด้วยเชือกป่านขึ้นมา
เซียงลี่เร่งฝีเท้าสองก้าวจนทัน มองเห็นว่ากิ่งไม้ที่ฮวาหว่านแบกอยู่เปียกน้ำไปส่วนหนึ่งร้อนรนกล่าว “แย่แล้วพี่สาวหว่านฟืนเปียกน้ำแล้ว เกรงว่าคงใช้ติดไฟไม่ได้แล้ว ท่านกลับไปคงถูกท่านป้าต่อว่าแน่เลย ต้องการให้ข้าเป็นเพื่อนท่านกลับไปเก็บอีกสักหน่อยหรือไม่”
ฮวาหว่านส่ายศีรษะกล่าวอย่างไม่เร่งร้อน “ไม่เป็นไรยังไม่รีบใช้ วันนี้แดดแรงกลับไปตากตรงลานบ้านก็แห้งแล้ว พวกเรากลับเถอะ”
” อืม! ”
เซียงลี่กระโดดไปมาข้างกายฮวาหว่าน เด็กหญิงในหมู่บ้านมีมากมายแต่เซียงลี่กลับชอบแต่ฮวาหว่าน นางรู้สึกว่าฮวาหว่านต่างจากหญิงสาวคนอื่นๆ ฮวาหว่านไม่เพียงแต่หน้าตางดงาม แถมยังฉลาดและมือเติบอีกด้วย นางเหมือนกับคุณหนูผู้มีสกุลจากในเมือง
เมื่อผ่านหัวกำแพงหิน เดินไปตามถนนดินเหลืองอีกช่วงหนึ่ง เลี้ยวทางขวาก็คือบ้านท่านลุงของฮวาหว่านแล้ว แต่ว่าบ้านของเซียงลี่จะต้องเดินตรงไป
สองคนกล่าวคำอำลา เซียงลี่ลูบคลำปิ่นหญ้าบนศีรษะ หากไม่เกรงกลัวต่อป้าสะใภ้ของฮวาหว่านแล้วล่ะก็ เด็กน้อยอยากจะตามไปเล่นกับ
ฮวาหว่านอีก
“พี่สาวหว่านถ้าหากยามบ่ายท่านมีเวลา พวกเราไปเก็บผักป่ากันดีไหม”
เซียงลี่เป็นเด็กน้อยที่สุดของบ้าน ยังมีพี่ชายอีกสองคนพี่สะใภ้อีกหนึ่ง พี่สาวอีกสองคน ดังนั้นบรรดางานบ้านล้วนแล้วแต่ไม่ถึงมือเด็กสาวพ่อของเซียงลี่กับเพื่อนเปิดร้านค้าขายเล็กๆในเมืองหลวง มีความสามารถหาเงิน ในบ้านจึงไม่เดือดร้อน เพราะเหตุนี้เองทั้งวันนางจึงไม่มีอะไรทำจนน่าเบื่อ
“หากว่ายามบ่ายข้ามีเวลา ข้ากับหมิงเอ๋อจะไปหาเจ้า” ฮวาหว่านโบกมือให้เซียงลี่
เมื่อกลับถึงบ้านยังไม่ทันที่จะได้วางฟืนที่แบกไว้ นางก็ได้ยินนางเก๋อซื่อซึ่งเป็นป้าสะใภ้ตำหนิต่อว่า “เด็กบ้าไปแอบขี้เกียจสันหลังยาวที่ไหนกันนะ ให้ไปเก็บฟืนแค่นี้ต้องใช้เวลาทั้งเช้า แถมยังไม่รีบไปส่งข้าวให้พี่ชายอีก”
ฮวาหว่านรับคำเร่งรีบเอาฟืนไปตากก่อนพุ่งเข้าครัว
นางเก๋อซื่อได้ทำขนมเปี๊ยะหวานและขนมแป้งฟูไส้งาดำไว้แล้ว นางจึงเลือกชิ้นใหญ่ห้าชิ้นใส่ในตะกร้าไม้ไผ่เพื่อไม่ให้เย็นชืดเสียก่อน นางเก๋อซื่อยังวางชั้นซ้อนอีกอันหนึ่ง” สองชิ้นนี้ของเจ้ากินมากหน่อยผอมแห้งอย่างกับไม้ซีก เดี๋ยวคนอื่นจะว่าเอาว่าข้ารังแกเจ้า”
ปีนี้ฮวาหว่านอายุสิบสองแล้ว หากทว่าสูงใหญ่กว่าอายุ รูปร่างสูงโปร่ง กระดูกแขนขาผอมแห้งบอบบาง หากแต่เมื่อมองดูแล้วกลับได้สัดส่วนนัก
ฮวาหว่านหยิบตะกร้าอาหาร “ป้าสะใภ้วางใจได้ ฝีเท้าข้าไวนักรับประกันว่าท่านพี่ยังไม่ทันหิวแน่”
พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฮวาหว่านอายุสิบห้าปี ชื่อหลี่จงเหรินกำลังศึกษาปรัชญาขงจื๊อที่สำนักปราชญ์ในอำเภอกวงหยาง
“ฮึ เจ้าก็รู้จักแต่พูดไร้สาระ ยังไม่รีบไปอีก” นางเก๋อซื่อถลึงตามองฮวาหว่าน
ฮวาหว่านได้แต่ก้าวออกจากห้องครัว แต่ยังได้ยินเสียงเก๋อซื่อ “ตอนเย็นก็รีบถอดเสื้อเจ้ามาให้ข้า ปกเสื้อขาดแล้วยังไม่รู้จักซ่อม แล้วก็อย่าเข้าใจผิดว่าเจ้าเป็นคุณหนูล่ะ”
ฮวาหว่านก้มหน้ามองเสื้อสีเขียวที่สวมใส่ แล้วก็พบว่าตรงคอปกเสื้อมีรูขาดจริงๆ เมื่อเช้ายังดีๆ อยู่เลยคิดว่าคงเพราะตอนไปเก็บกิ่งไม้จึงถูกเกี่ยวขาดเป็นแน่
” ป้าสะใภ้ลำบากมากแล้วตอนเย็นข้าเย็บเองจะดีกว่า” ฮวาหว่านเหลือบมองนางเก๋อซื่อที่ร่างกายอ่อนแอ “ท่านป้าข้าเข้าเมืองก่อนนะ”
นางเก๋อซื่อยังคงบ่นด่า ทว่าฮวาหว่านรู้ดีว่าป้าสะใภ้ฝีปากแหลมคมราวคมมีดก็จริง แต่จิตใจอ่อนโยนราวก้อนเต้าหู้นาว นางไม่เคยโกรธเรื่องกินอยู่ ทุกวันแค่ช่วยงานเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น การให้ไปสำนักปราชญ์ช่วยส่งข้าวก็เป็นนางเองที่ริเริ่มอยากทำให้
ท่านลุงของฮวาหว่านเป็นแค่ขุนนางชั้นผู้น้อยของหมู่บ้านหยุนเซียว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความเป็นนักปราชญ์ชั้นสูงอันใด แต่ว่าก็ยังเป็นผู้นำของหมู่บ้าน ทุกเดือนยังคงได้รับเงินจากผู้ว่าอำเภอจำนวนหนึ่ง และทุกเดือนยังมีม้าสี่ตัว ผ้าฝ้ายอีกสิบห้าฝืน ที่ดินในหมู่บ้านอีกสองสามไร่ ในบ้านจึงไม่ขาดสิ่งของใช้จ่าย เงินทองที่มีส่วนใหญ่ใช้ไปในทางเดียวคือค่าเล่าเรียนของบุตรชาย
ฮวาหว่านถือตะกร้าอาหาร ไม่หยุดยั้งฝีเท้าหมู่บ้านหยุนเซียวห่างจากอำเภอกวงหยางประมาณสิบลี้ หากเร่งฝีเท้าก็แค่ไม่เกินครึ่งชั่วยาม
รอจนฮวาหว่านเร่งเดินถึงสำนักปราชญ์ก็เพิ่งถึงยามเที่ยง ซึ่งเป็นเวลาพักกินข้าวยามเที่ยงของสำนักพอดี
ฮวาหว่านอุ้มตะกร้าอาหารเขย่งปลายเท้า ใช้ฝีเท้าฝ่ามือแผ่วเบาหมอบราบตรงช่องหน้าต่างด้านหลังของโถงเรียน
ทางหนึ่งฟังเหล่านักเรียนชายในโถงเรียนพึมพำท่องตำรา อีกทางหนึ่งก็ใช้กิ่งต้นสนวาดตัวอักษรบนพื้น ฮวาหว่านรู้จักหนังสือ ก็เพราะเมื่อก่อนบิดาของนางเคยสอบขุนนางมาก่อน ทั้งเมื่อหกปีก่อนตอนที่ยังรุ่งเรืองก็ได้เปิดร้านขายเครื่องเขียนสองชั้นที่เป่าคังเหมิน สินค้าที่ขายนอกจากจะมีเครื่องหมึกชั้นดีและกระดาษชั้นเยี่ยมแล้ว ยังมีสำเนาหนังสือโบราณอีกไม่น้อย
ฮวาหว่านได้วิชาความรู้เหล่านี้มาจากบิดา ถึงแม้อายุยังน้อยแต่ก็อ่านหนังสือของร้านเครื่องหมึกมารอบหนึ่งแล้ว
ฮวาหว่านยังจำคำเตือนตอนที่บิดาสอนนางฝึกเขียนตัวอักษรว่า การฝึกอักษรเพราะเพื่อให้รู้จักความเป็นมนุษย์ การขีดหนึ่งเส้นและหนึ่งขีดนั้น พู่กันตรง อักษรตรง ร่างกายตรง ใจตรง จิตใจสมดุล ลายเส้นอักษรก็เปรียบดั่งสายน้ำ…
การค้าเครื่องเขียนของบิดานางไม่เพียงแต่เฟื่องฟูเท่านั้น เขายังแน่วแน่กับการเรียนรู้และสะสมวิชาความสามารถ
ส่วนมารดาของฮวาหว่านทุกวันช่วยจัดการงานของร้าน และคอยเตรียมอาหารรสเลิศมากมายไว้เพื่อตัวนางและบิดา ฤดูใบไม้ผลิผลไม้ดอกไม้งอกงามออกผล ฤดูร้อนคือคลายร้อนด้วยเครื่องดื่มเย็น ปลายฤดูใบไม้ร่วงกับเบญจมาศห้าสีสวยงาม ส่วนในฤดูหนาวกับน้ำแอพพริคอทร้อนๆ สักชาม
ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อปีที่แล้วเหตุต้นเพลิงจากร้านข้างๆ ทิศทางลมพัดโหมมายังร้านเครื่องเขียนจนถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน บิดามารดาคงยังอยู่ข้างกายนาง
นัยน์ตาฮวาหว่านพร่าเลือนเล็กน้อย เวลานั้นตอนที่วิ่งฝ่ากองไฟออกมา นางยังได้รับบาดเจ็บศีรษะเพราะถูกชั้นไม้กระแทกใส่ ดีที่ว่าไม่รุนแรงนัก เมื่อจัดการเรื่องบิดามารดาเรียบร้อยแล้ว ยังต้องรักษาตัวที่บ้านท่านลุงอีกครึ่งปีถึงฟื้นตัว แถมไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆ
ในช่วงที่ฮวาหว่านโศกเศร้าเสียใจนั้นนางยังรู้สึกขอบคุณที่ท่านลุงยังคงรับนางไปดูแล
ฮวาหว่านขยี้ตา สองขาคุกเข่าจนชาด้านขณะที่เตรียมจะลุกขึ้นขยับตัวก็ได้ยินเสียงเรียกนาง