บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)

บทที่ 2 ฝีมืออันชำนาญ

“น้องสาว เจ้ามาแล้ว” หลี่จงเหรินยืนอยู่ที่ด้านหลังฮวาหว่านไม่ไกลนัก เห็นท่าทางฮวาหว่านที่เพราะว่าขาชาเลยทำให้ยากที่จะลุกขึ้น ทั้งปวดใจทั้งขบขัน

หลี่จงเหรินมาที่ด้านหน้าฮวาหว่าน รับตะกร้าอาหารจากมือนาง “ที่ด้านหลังต้นชบาข้าวางโต๊ะเตี้ยเล็กๆไว้ ตอนหลังอย่ามาหมอบตรงนี้อีกเลยเดี๋ยวจะปวดแข้งปวดขา”

หลี่จงเหรินสวมใส่ชุดเขียวมีคอปก ตรงแขนเสื้อตรงกว้างเป็นเครื่องแบบของสำนัก บนศีรษะยังผูกผ้าสีเดียวกัน แม้ว่ารูปร่างจะดูออกว่ามาจากชนบท แต่หน้าตาทรงภูมิปัญญานัก แสดงถึงจิตใจที่มีคุณธรรม ทั่วร่างไม่มีท่าทางอันหยาบกระด้างของคนชนบท

ฮวาหว่านมองตามสายตาของหลี่จงเหรินที่มุ่งไปยังลานเล็กด้านหลังสำนักปราชญ์ แล้วแลเห็นว่าที่ด้านล่างของต้นชบามีขาโต๊ะจริงๆ ใบหน้าจึงฉายแววยินดี “ขอบคุณพี่ชาย”

ช่วงสุดท้ายของยามเที่ยงหมดลง หลี่จงเหรินต้องกลับเข้าไปในโถงเรียนอีกครั้ง ฮวาหว่านกลับย้ายโต๊ะเล็ก ยังคงปักหลักนั่งตรงด้านล่างหน้าต่าง ทั้งยังอาศัยช่วงจังหวะที่บรรดานักศึกษากำลังอ่านหนังสือ ฮวาหว่านหลบไปในสวนเล็กช่วยอาจารย์ผู้เฒ่าของสำนักปราชญ์ตักน้ำเก็บใบไม้ที่ร่วงหล่นลงตะกร้า

อาจารย์เฒ่าขยับแหวน หางตาปรือขึ้นปรายมองไปยังเงาร่างที่กำลังยุ่งในสวนเล็ก เขาคุ้นเคยดีแล้วกับการที่ฮวาหว่านเรียนตามเหล่านักศึกษาที่ด้านนอกขณะที่รอพี่ชาย

เขาโคลงศีรษะไปมาขณะอ่านตำรา เด็กสาวอายุคราวหลานสาวของเขาคนนี้ช่างประหลาดนัก ช่วงแรกๆ ตอนที่เขาก้าวออกจากโถงเรียน เด็กน้อยจะรีบวิ่งไปหลบในสวนไปๆกลับๆ หลายรอบ เหมือนว่าเด็กสาวตัวน้อยพบเขาแล้วไม่กล้าสู้หน้า ตอนนี้เริ่มกล้าหาญแต่ยังคงไม่ชอบพูดคุย

ตอนหลังเขาจึงพบว่าเด็กสาวไม่ใช่เงียบขรึม หากเพียงอ้าปากก็แสดงถึงความฉลาดเฉลียว มองออกเลยว่ามีความรู้จากการอ่านหนังไม่น้อยเลย นิสัยก็อ่อนน้อมถ่อมตน น่าเสียดายที่เป็นผู้หญิง ไม่อย่างนั้นอนาคตของนางจะต้องสดใสมากกว่านักศึกษาที่เขาสอนเสียอีก

เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของเวลาเรียน ฮวาหว่านยกเก้าอี้ไปไว้ที่ใต้ต้นชบาในสวน หิ้วตะกร้าอาหารแล้วต้องไปช่วยหลี่จงเหรินสะพายตะกร้าพู่กันหมึกและหนังสือ

หลี่จงเหรินกล่าวอย่างจนใจ “ข้าถือเองเจ้าต้องมาส่งข้าทุกวันก็ลำบากพอแล้ว”

เมื่อก่อนไม่มีฮวาหว่านคอยส่งข้าว หลี่จงเหรินเองก็ไม่สะดวกถืออาหาร นางเก๋อซื่อได้แต่ใช้กระดาษห่อขนมเปี๊ยะวางไว้ในตะกร้าหนังสือพอถึงยามเที่ยงขนมเปี๊ยะจึงเย็นชืด เคี้ยวระคายฟันตอนนี้มี ฮวาหว่านแล้วเขาจึงได้ดื่มน้ำแกงและขนมเปี๊ยะร้อนๆ แต่ว่าเดินทางไปกลับยี่สิบกว่าลี้ ความจริงแล้วไม่ง่ายเลย หลี่จงเหรินเคยปฏิเสธไม่ให้ฮวาหว่านส่งอาหาร แต่ก็จนปัญญากับความตั้งใจของฮวาหว่านกับมารดา ได้แต่ยินยอม

ฮวาหว่านเดินตามหลังหลี่จงเหรินอย่างสงบเงียบ การหิ้วตะกร้าอาหารที่ว่างเปล่าเทียบกับตอนส่งข้าวสบายกว่ามากทีเดียว

เมื่อข้ามสะพานหินซ้อนก็เท่ากับใกล้ถึงหมู่บ้านหยุนเซียวแล้ว ใกล้ค่ำของเดือนสี่พระอาทิตย์ทอแสงแดงระเรื่ออาบไล้ดอกไม้ป่าและต้นหญ้าป่าสองข้างทางของถนนชนบทให้อบอุ่นไม่ร้อนแรง

ฮวาหว่านสายตาแหลมคมแลเห็นลูกไข่มุกเก็บซ่อนไว้ในต้นหญ้าเรียงเป็นสายสวยบนก้านต้นหญ้าทั้งแดงทั้งสดใสแถมยังส่องประกายระเรื่อ

ฮวาหว่านเลือกสองก้านที่ไม่ถูกตัวหนอนไช แล้วดึงต้นหญ้าหลายต้นซุกเก็บในกระเป๋าเสื้อกลับไปแล้วจะใช้ลูกไข่มุกร้อยเป็นก้านประดับก้านหนึ่งจะมอบให้ท่านป้าส่วนอีกก้านจะส่งให้เซียงลี่ตอนนี้พอคิดแล้วฮวาหว่านก็พึงพอใจจนคิ้วโก่ง

หลี่จงเหรินมองดูฮวาหว่านที่ยืนเบิกบานโง่งมใต้แสงอาทิตย์ถึงกับตกตะลึง

ฮวาหว่านสูงขึ้นเมื่อเทียบกับตอนมาบ้านเขาเมื่อปีก่อนเครื่องหน้าทั้งห้าส่วนละเอียดลออนัยน์ตาทั้งสองข้างส่องประกายคิ้วคู่งามดำราวหมึกวาดสามารถทะลุผ่านเข้าไปในใจคนได้อย่างช้าๆ

หลี่จงเหรินกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัวในใจพลันไม่ยินยอมให้ฮวาหว่านไปส่งอาหารที่สำนักปราชญ์อีกอย่ามองว่าพวกนักศึกษาของสำนักปราชญ์เหล่านั้นทุกคนล้วนขุดเขียวแขนเสื้อยาวราวกับผู้คงแก่เรียน ทว่าสายตาไม่ซื่อสัตย์นักจิตใจยิ่งไม่น้อยกว่า

เมื่อกลับถึงบ้านหลี่ ฮวาหว่านล้างตะกร้าอาหารก่อนค่อยวางพาดไว้ในห้องครัวรอให้หลี่ชางเม่าเข้าบ้านจึงค่อยตามเก๋อซื่อนั่งลงกินมื้อเย็น

ท่านลุงห่วงใยนางมาโดยตลอดคีบซาลาเปาดอกไม้ที่เพิ่งทำใหม่ๆส่งให้นาง”อาหว่านกินให้มากๆ”

เก๋อซื่อพลันตีมือของหลี่ชางเม่าพร้อมถลึงตาใส่ฮวาหว่าน

ฮวาหว่านคิดว่าตนเองต้องโดนเก๋อซื่อต่อว่าชุดใหญ่เสียแล้วไม่คิดว่าเก๋อซื่อเพียงงึมงำไม่กี่คำเช่นนี้จิตใจกลับไม่สงบยิ่งกว่า

ตอนกลางคืนฮวาหว่านซ่อมแซมเสื้อด้วยตนเองฝีมือการปักเย็บได้มาจากมารดาอย่าเห็นว่านางอายุยังน้อยทว่าฝีปักไม่ด้อยเลยจะทำถุงผ้าหรือเครื่องประดับชิ้นเล็กๆนั้นนางก็ทำได้เป็นร้อยแปดสิบรูปแบบ

เมื่อซ่อมเสื้อเสร็จแล้วนางจึงอาศัยแสงตะเกียงอ่านหนังสือดวงน้อยของหลี่จงเหรินเริ่มถักร้อยก้านประดับไข่มุกดอกหญ้า

ฮวาหว่านไตร่ตรองว่าท่านป้าอายุกว่าสามสิบแล้วปกติใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์เรียบง่ายคงไม่ค่อยเหมาะนักที่จะปักปิ่นแดงๆเขียวๆบนมวยผมจะทำปิ่นปักผมหรือเปลี่ยนความคิดใหม่สุดท้ายจึงตัดสินใจทำพู่ห้อยสีแดงแทน

ฮวาหว่านหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำให้ต้นหญ้าทะลุเลยผูกเป็นปมหญ้าด้านล่างบรรจงถักเป็นพู่หญ้า

ฮวาหว่านเพิ่งจะร้อยลูกไข่มุกเข้าไปในพู่หญ้าเก๋อซื่อก็ออกมาเร่งรัดเริ่มจากสั่งฮวาหว่านก่อนแล้วจึงหันไปเอ็ดหลี่จงเหริน “ตอนกลางวันไม่อ่านหนังสือให้มากไว้จะต้องมาเปลืองค่าน้ำมันตะเกียงตอนกลางคืนถ้าสายตาเสียแล้วก็ต้องซื้อยาอีกรีบไปนอนซะ”

ฮวาหว่านกะพริบตารีบเก็บข้าวของเข้าห้องทันที

บ้านหลี่ถูกก่อจากดินแบ่งเป็นสี่ห้องหลี่ชางเม่ากับเก๋อซื่อพักในห้องทางทิศตะวันออกซึ่งกว้างที่สุดของหลี่จงเหรินกลับอยู่ทางทิศใต้ซึ่งมีแสงส่องสว่างอีกสองห้องเดิมทีเป็นห้องเก็บฟืนและเก็บสิ่งของสารพัดตอนหลังเมื่อรับฮวาหว่านมาอยู่ด้วยหลีชางเม่าจึงย้ายฟืนจากห้องเก็บฟืนที่มีหน้าต่างบานเล็กให้

ห้วงกลางคืนของชนบทที่พึ่งพาลำธารสายน้อยเต็มไปด้วยหมอกหนาแสงจันทร์ขาวกระจ่างทอดแสงตรงช่องหน้าต่างไม้โชยกลิ่นแห่งลำน้ำ

เมื่อไก่ตัวผู้โก่งคอขันครั้งแรกก็ปลุกฮวาหว่านให้ลุกขึ้นแล้วนัยน์ตาสดใสเป็นสีเขียวอ่อนๆ

เมื่อคืนนอนไม่เต็มที่นักพอเคลิ้มๆก็เริ่มฝันในความฝันปรากฏไฟกองโตภาพบิดามารดาเพื่อเพราะจะหยิบสมบัติจึงฝ่ากองไฟเข้าไปในร้านคานบ้านพลันหักโค่นลงมาทั่วร้านเครื่องเขียนทั้งสองฝั่งถล่มลงมากลายเป็นกองขี้เถ้า

ฝันถึงตรงนี้ฮวาหว่านก็สะดุ้งตื่น

ตะลึงงันเพียงชั่วครู่ฮวาหว่านจึงลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อหยิบเชือกฟางที่ดัดแปลงเป็นเข็มขัดคาดเอวหลังจากล้างหน้าแล้วจึงไปที่ลานหน้าบ้าน

หลี่จงเหรินกำลังเร่งให้ทันไปสำนักปราชญ์ที่อำเภอกวงหยาง ตอนนี้นางเก๋อซื่อกำลังแขวนตะกร้าหนังสือไว้บนตัวของเขา

“ท่านแม่ต่อไปไม่ต้องฮวาหว่านคอยส่งข้าวแล้วช่วงกลางวันอาหว่านจะได้ช่วยท่านทำงานหรือได้พักผ่อนบ้างไม่ต้องเดินเป็นสิบกว่าลี้ให้ลำบาก”

นางเก๋อซื่อเวลาพูดกับบุตรชายคนเดียวของนางน้ำเสียงช่างอบอุ่นนัก “นางมาอยู่บ้านเรากินอยู่ไม่เสียเงินเดินทางแค่นี้ไม่ลำบากนักหรอก? สบายมากเกินไปนางก็ไม่เข้าใจการใช้ชีวิตพอดีสิ”

” ท่านแม่!” หลี่จงเหรินลำบากใจจนขึ้นเสียงสูง

” เอาล่ะรอให้ผ่านเดือนไปก่อนแล้วกันกลางวันแดดแรงแล้วข้าจะให้นางอยู่แต่ในบ้านก็แล้วกัน” นางเก๋อซื่อผลักดันบุตรชายไปด้านนอกเจ้าอย่ากังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนักเลยรีบไปสำนักปราชญ์เถอะจะสายแล้วระวังจะโดนท่านอาจารย์ทำโทษเอา”

หลี่จงเหรินออกจากบ้านไม่นานฮวาหว่านก็เข้าไปหานางเก๋อซื่อในครัวเพื่อช่วยงาน

นางเก๋อซื่อกำลังยุ่งอยู่หน้าเตาดิน ปากยังไม่เว้นบ่นพึมพำ “ขี้เกียจพอหรือยัง? ไม่รู้หรือว่ามันเวลาอะไรแล้ว รีบไปกินขนมเปี๊ยะกับน้ำแกงเสียสิ ล้างเองด้วยนะแล้วก็ค่อยออกไปเล่น เดี๋ยวพ่อลูกคู่นั้นจะหาว่าข้าใจร้ายกับเจ้าอีก”

ฮวาหว่านยิ้มหวานให้นางเก๋อซื่อ แล้วจึงยกชามข้าวขึ้นกิน

ความจริงวันนี้ค่อนข้างว่าง นางเก๋อซื่อไปทุ่งนารอบหนึ่ง ก็มานั่งคุยกับอาสะใภ้สองสามประโยค แล้วจึงรีบเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารกลางวันเพื่อไปส่งที่สำนักปราชญ์ ฮวาหว่านนำพู่ห้อยที่ทำเมื่อคืนมาแอบวางไว้ด้านข้างตะกร้าเครื่องเย็บปักที่นางเก๋อซื่อใช้เป็นประจำ แล้วจึงไปที่หาเซียงลี่ที่บ้านสกุลโม่เพื่อไปเก็บเฟิร์นป่า

เซียงลี่ที่กำลังอยู่ตรงสี่แยกซึ่งห่างจากบ้านไม่ไกลนัก มองเห็นฮวาหว่านมาแต่ไกล รีบโบกมือให้ แล้วจึงกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดเข้าไปหาฮวาหว่าน

“พี่สาวหว่าน เมื่อคืนท่านพ่อของข้ากลับมาจากเองหลวง ชมว่าปิ่นหญ้าของท่านงดงามมาก เทียบกับเครื่องประดับที่วางขายตามร้านในเมืองยังฝีมือละเอียดลออกว่าอีก พี่สาวหว่านเจ๋งกว่าช่างฝีมือในเมืองเสียอีกนะ” ท่าทางเซียงลี่ภาคภูมิใจมาก บิดานางเรียกว่าโม่ฟู๋ทำการค้าในเมือง พบเห็นและเข้าใจเรื่องราวมากมาย เมื่อบิดากล่าวว่าดี แสดงว่าสั่งนั้นจะต้องดีจริงๆ เซียงลี่คิดถึงที่พี่สาวคนที่สองเหลือบมองปิ่นหญ้าของนางด้วยความอิจฉา ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะภูมิใจ

ฮวาหว่านเกาศีรษะ นางเติบโตในเมืองหลวง เครื่องประดับล้ำค่าล้วนพบเห็นมาไม่น้อย หญ้าแห้งนั้นนิ่มและยืดหยุ่นกว่าทองคำ เงิน ทองแดง หยก ไม้ เสียอีก ดังนั้นนางจึงสามารถดัดรูปทรงให้เป็นรูปร่างต่างๆ ได้โดยง่าย ไหนเลยที่ฝีมืออย่างนางจะไปเทียบกับช่างฝีมือในเมืองหลวงได้ โดยเฉพาะยิ่งไม่อาจไปเปรียบเทียบกับช่างฝีมือสำนักหนิงกวงหยวนของผู้ว่าการเส้า ที่ฝีมือสูงล้ำราวมือปีศาจ

“ท่านลุงโม่ก็แค่ชมไปอย่างนั้นกระมัง งดงามที่ไหนกันเล่า เมื่อวานข้าเก็บลูกไข่มุกได้ อีกสักครู่ก็จะทำเป็นปิ่นปักผมได้แล้ว”

“สุดยอดไปเลย รอให้ข้ามีปิ่นปักผมแล้ว ไม่รู้ว่าพี่สาวคนที่สองจะอิจฉาแค่ไหน”

เซียงลี่จูงมือฮวาหว่านไปที่บ้านของนาง “ท่านพ่อของข้าซื้อขนมเปี๊ยะดอกชบากับขนมเปี๊ยะหวานมาจากร้านอาหารเจในเมือง พี่สาวหว่านตามข้าไปเอานะ”

ฮวาหว่านอยากจะปฏิเสธ แต่จนใจกับเด็กน้อยเซียงลี่ ได้แต่ให้นางลากไปที่ลานบ้านสกุลโม่