ตอนที่ 121-1 ข้าวใหม่ปลามัน ตัวติดกันราวกับตังเม

จำนนรักชายาตัวร้าย

ยังดีที่เสวี่ยเยี่ยนเข้ามาช่วยนางได้ทันเวลา อาหารเลิศรสนานาชนิดถูกจัดวางลงบนโต๊ะ ทำให้อวี้เฟยเยียนหิวจนท้องร้องจ๊อกๆประท้วงไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไป เรียกซย่าโหวฉิงเทียนให้มานั่งด้วยกันแล้วเริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

 

 

หิวนี่นา…

 

 

นางไม่รู้มาก่อนเลยว่า เรื่องพรรค์นี้จะต้องใช้เรี่ยวแรงมากมายถึงเพียงนี้

 

 

ราวกับหิวโหยมาแต่ปางไหนก็ไม่ปาน อวี้เฟยเยียนรู้เพียงว่าต้องการอาหารเพื่อบำรุงกำลังด่วนๆ!

 

 

อวี้เฟยเยียนยัดอาหารมากมายใส่ปาก นางเคี้ยวจนแก้มตุ่ย ราวกับอมมะนาวไว้ในปากก็ไม่ปาน มองดูแล้วน่าตลกขบขันยิ่งนัก

 

 

เห็นอวี้เฟยเยียนกินอย่างมีความสุข ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนก็พลอยเกิดความอยากอาหารขึ้นมาบ้าง เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วลงมือกินพร้อมกันอวี้เฟยเยียน

 

 

เมื่อกินจนอิ่ม อวี้เฟยเยียนก็ลุกยืนขึ้นลูบหนังท้องที่กำลังตึงเปรี้ยะเบาๆ

 

 

ดูเหมือนว่านางจะกินมากจนจุก!

 

 

น่าอายชะมัด!

 

 

“พวกเราออกไปเดินเล่นย่อยอาหารข้างนอกกันเถอะ!”

 

 

อวี้เฟยเยียนพึ่งเดินถึงประตู ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบเดินเข้ามาประคับประคองนางจากทางด้านขวา

 

 

“ช้าๆนะ!”

 

 

ซึ่งเสวี่ยเยี่ยนก็ทันเข้ามาเห็นภาพนั้นพอดิบพอดี ทำเอาอวี้เฟยเยียนเขินอายจนต้องรีบชักมือกลับแทบไม่ทัน

 

 

“ข้าไม่ได้บาดเจ็บสักหน่อย! เดินเองได้!”

 

 

แต่ทว่า เสียงประท้วงของอวี้เฟยเยียนหาได้ผลอะไรกับซย่าโหวฉิงเทียนไม่ เขารั้งนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก เอ่อ พูดให้ถูกต้องก็คือเขาอุ้มนางขึ้นแนบอกด้วยมือเดียวราว โดยให้อวี้เฟยเยียนนั่งอยู่บนแขนของเขา

 

 

“ปล่อยข้าลงนะ!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเทียนอุ้มนางราวกับอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ก็ไม่ปาน ทำให้อวี้เฟยเยียนไม่พอใจเป็นอย่างมาก

 

 

เดินย่อยอาหาร ก็ต้องลงเดินเองสิ ทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด!

 

 

“เจ้าแน่ใจหรือ?”

 

 

ดวงตาเรียวระหงของซย่าโหวฉิงเทียนกำลังยิ้ม แววตาสื่อความหมายลึกซึ้งทอดมองมาที่นาง บอกไม่ถูกว่ามันกำลังสื่อความว่าอะไร แต่ก็ทำให้อวี้เฟยเยียนเห็นแล้วใบหน้าแดงก่ำหัวใจเต้นระรัว

 

 

ดูเหมือนว่าหลังจากที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาแนบชิดมากยิ่งขึ้น ซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งมีความเป็นผู้ชายมากขึ้นไปด้วย

 

 

แววตาลึกซึ้งแน่วแน่ของซย่าโหวฉิงเทียนที่มองมา ทำให้อวี้เฟยเหยียนแทบจะต้านทานไม่ไหว

 

 

แก้มที่แดงปลั่งนั่นคือกับดักชั้นดี นี่เขากำลังการยั่วยวนนางใช่ไหม?

 

 

คิดได้ดังนั้น อวี้เฟยเยียนก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจ

 

 

นางเปลี่ยนให้เขากลายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ เป็นผู้ชายของนาง!

 

 

“เอาเถอะ! เห็นแก่หน้าท่าน! จะให้ท่านอุ้มก็ได้”

 

 

สุดท้ายอวี้เฟยเยียนก็พ่ายแพ้ให้กับสายตาลึกซึ้งอบอุ่นราวกับไฟรักของซย่าโหวฉิงเทียนเข้าจนได้

 

 

“เด็กดี!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มอวี้เฟยเยียนแนบอกด้วยมือเดียว เดินออกไปจากห้อง

 

 

นางกำนัลขันทีที่ซย่าโหวจวินอวี่ส่งมารับใช้ซย่าโหวฉิงเทียน เมื่อเห็นท่านอ๋องถึงกับอุ้มพระชายาเดินลัดเลาะกว่าครึ่งชั่วยามจากตัวเรือนไปยังสวนดอกไม้ด้วยความทะนุถนอม แต่ละคนก็แทบตาหลุดออกจากเบ้าทีเดียว

 

 

พวกเขาเคยได้ยินมาบ้างว่าคนทั้งสองรักกันด้วยใจจริง แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะรักจะทะนุถนอมอวี้เฟยเหยียนถึงเพียงนี้ เพราอย่างไรเสียในยุคสมัยนี้ที่คนส่วนใหญ่มักจะถือคติว่าภรรยาต้องเคารพเชื่อสามี ผู้ชายมีฐานะสูงกว่าผู้หญิง ดังนั้นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว สามีก็คือท้องฟ้าเป็นทุกอย่างของนาง มีอย่างที่ไหนกันที่สามีรักเทิดทูลภรรยาถึงเพียงนี้ ถึงกับอุ้มภรรยาแนบอกโดยไม่สนใจสายตาของธารกำนัล!

 

 

จริงสินะ ซย่าโหวฉิงเทียนผู้เก่งกาจย่อมต้องมีความคิดอ่านที่แตกต่างจากคนทั่วไปอยู่แล้ว!

 

 

แต่ทว่า หลังจากที่มีบ่าวไพร่บางคนเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ทันระวัง จึงได้เห็นโฉมหน้าอันงดงามไร้ที่ติของอวี้เฟยเยียน พลันก็เข้าอะไรอะไรขึ้นมาในทันที

 

 

หญิงที่งดงามสดใสเช่นนี้ คู่ควรที่จะให้รักให้ทะนุนถนอมจริงๆนั่นแหละ

 

 

เมื่อถึงสวนดอกไม้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ให้คนทั้งหมดถอยออกไป เหลือเพียงเขาและอวี้เฟยเยียนตามลำพัง

 

 

สวนดอกไม้ยามฤดูหนาว ดอกไม้กำลังผลิดอกออกผลสวยงามละลานตา ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น ทว่าดอกเหมยกลับยิ่งผลิดอกสีแดงสดสวยงามเป็นพิเศษ เมื่อมองดูจึงให้ความสดใสสุนทรีย์ยิ่งนัก

 

 

“ไปเถอะ!”

 

 

เมื่อวางอวี้เฟยเยียนลง เขาก็จับจูงนางพาเดินเล่นไปอย่างช้าๆ

 

 

เดินได้ไม่นาน อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

แข้งขาอ่อนแรง…

 

 

นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดซย่าโหวฉิงเทียนถึงต้องการอุ้มนางตลอดทางที่มา

 

 

ก่อนหน้านี้ในขณะที่นางอยู่ในห้อง มีซย่าโหวฉิงเทียนคอยปรนนิบัติพัดวีตลอดเวลา ขาทั้งสองข้างของนางแทบไม่ได้แตะถูกพื้นเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงยังไม่พบความผิดปกตินี้

 

 

แต่คราวนี้ นางเดินไปพียงไม่กี่ก้าว ขาทั้งสองข้างก็สั่นระริกอ่อนปวกเปียกราวกับเส้นบะหมี่อย่างไร เหมือนกับมันไม่ใช่ขาของนางอย่างนั้น แล้วจะเดินไหวได้อย่างไรกัน

 

 

“เจ้ายังจะเดินอีกไหม?”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนดูท่าจะพึงพอใจกับการที่นางเป็นเช่นนี้เสียเต็มประดา

 

 

เพราะหากว่าในเวลานี้อวี้เฟยเยียนยังสามารถกระโดดโลดเต้นได้ละก็ มันก็เป็นการบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เขานั้นอ่อนหัดเกินไปนะสิ

 

 

ยังดีที่ยอมเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืนซึ่งก็ไม่เสียเปล่า ความจริงย่อมเอาชนะการแก้ตัวได้เสมอ!

 

 

“คนเจ้าเล่ห์!”

 

 

อวี้เฟยเยียนซุกหน้าแนบอกซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความเขินอาย

 

 

มิน่าเมื่อครู่เขาถึงได้ยิ้มเช่นนั้น เขามันร้ายกาจที่สุด!

 

 

“พี่ก็ร้ายแต่กับเจ้านั่นแหละ!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ออกมาจากหัวใจ หัวเราะด้วยความสุขใจ ซึ่งบ่าวไพร่รอบข้างต่างก็ได้ยินเสียงหัวเราะเช่นนั้นของท่านอ๋องกันอย่างถ้วนทั่ว

 

 

คนเมื่อมีความก็มักจะมีจิตใจที่สดชื่นแจ่มใสจริงๆด้วย!

 

 

ไม่เคยมีใครเคยเห็นซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มมาก่อน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะหัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้ได้เลย

 

 

เห็นทีคงจะมีเพียงพระชายาเท่านั้นที่ทำให้ท่านอ๋องมีความสุขเพียงนี้ได้!

 

 

สุดท้าย การเดินเล่นย่อยหลังมื้ออาหารกลับกลายเป็นซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มอวี้เฟยเยียนเดินชมดอกไม้รอบหนึ่งในสวนไปเสียนี่

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยงจิ้นก็มายังจวนอ๋องเพื่อประกาศราชโองการ

 

 

เมื่อเช้าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนไม่ได้เข้าวังมา ก็ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ดีใจยิ่งนัก เมื่อพระองค์กลับไปที่ห้องทรงอักษร ก็ทรงเดินวนเวียนไปมาอยู่หลายรอบเพื่อครุ่นคิด จนในที่สุดก็ตัดสินพระทัยจะให้รางวัลซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียน

 

 

โดยเฉพาะอวี้เฟยเยียนที่ซย่าโหวจวินอวี่เห็นว่าลูกสะใภ้มีความดีความชอบมากที่สุด!

 

 

ในที่สุดก็มีคนทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นผู้ชายที่แท้จริงเสียที นี่เป็นความดีความชอบใหญ่หลวงทีเดียว ดังนั้นจึงต้องมีรางวัล!