ยังดีที่เสวี่ยเยี่ยนเข้ามาช่วยนางได้ทันเวลา อาหารเลิศรสนานาชนิดถูกจัดวางลงบนโต๊ะ ทำให้อวี้เฟยเยียนหิวจนท้องร้องจ๊อกๆประท้วงไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไป เรียกซย่าโหวฉิงเทียนให้มานั่งด้วยกันแล้วเริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
หิวนี่นา…
นางไม่รู้มาก่อนเลยว่า เรื่องพรรค์นี้จะต้องใช้เรี่ยวแรงมากมายถึงเพียงนี้
ราวกับหิวโหยมาแต่ปางไหนก็ไม่ปาน อวี้เฟยเยียนรู้เพียงว่าต้องการอาหารเพื่อบำรุงกำลังด่วนๆ!
อวี้เฟยเยียนยัดอาหารมากมายใส่ปาก นางเคี้ยวจนแก้มตุ่ย ราวกับอมมะนาวไว้ในปากก็ไม่ปาน มองดูแล้วน่าตลกขบขันยิ่งนัก
เห็นอวี้เฟยเยียนกินอย่างมีความสุข ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนก็พลอยเกิดความอยากอาหารขึ้นมาบ้าง เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วลงมือกินพร้อมกันอวี้เฟยเยียน
เมื่อกินจนอิ่ม อวี้เฟยเยียนก็ลุกยืนขึ้นลูบหนังท้องที่กำลังตึงเปรี้ยะเบาๆ
ดูเหมือนว่านางจะกินมากจนจุก!
น่าอายชะมัด!
“พวกเราออกไปเดินเล่นย่อยอาหารข้างนอกกันเถอะ!”
อวี้เฟยเยียนพึ่งเดินถึงประตู ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบเดินเข้ามาประคับประคองนางจากทางด้านขวา
“ช้าๆนะ!”
ซึ่งเสวี่ยเยี่ยนก็ทันเข้ามาเห็นภาพนั้นพอดิบพอดี ทำเอาอวี้เฟยเยียนเขินอายจนต้องรีบชักมือกลับแทบไม่ทัน
“ข้าไม่ได้บาดเจ็บสักหน่อย! เดินเองได้!”
แต่ทว่า เสียงประท้วงของอวี้เฟยเยียนหาได้ผลอะไรกับซย่าโหวฉิงเทียนไม่ เขารั้งนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก เอ่อ พูดให้ถูกต้องก็คือเขาอุ้มนางขึ้นแนบอกด้วยมือเดียวราว โดยให้อวี้เฟยเยียนนั่งอยู่บนแขนของเขา
“ปล่อยข้าลงนะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเทียนอุ้มนางราวกับอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ก็ไม่ปาน ทำให้อวี้เฟยเยียนไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เดินย่อยอาหาร ก็ต้องลงเดินเองสิ ทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด!
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
ดวงตาเรียวระหงของซย่าโหวฉิงเทียนกำลังยิ้ม แววตาสื่อความหมายลึกซึ้งทอดมองมาที่นาง บอกไม่ถูกว่ามันกำลังสื่อความว่าอะไร แต่ก็ทำให้อวี้เฟยเยียนเห็นแล้วใบหน้าแดงก่ำหัวใจเต้นระรัว
ดูเหมือนว่าหลังจากที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาแนบชิดมากยิ่งขึ้น ซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งมีความเป็นผู้ชายมากขึ้นไปด้วย
แววตาลึกซึ้งแน่วแน่ของซย่าโหวฉิงเทียนที่มองมา ทำให้อวี้เฟยเหยียนแทบจะต้านทานไม่ไหว
แก้มที่แดงปลั่งนั่นคือกับดักชั้นดี นี่เขากำลังการยั่วยวนนางใช่ไหม?
คิดได้ดังนั้น อวี้เฟยเยียนก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจ
นางเปลี่ยนให้เขากลายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ เป็นผู้ชายของนาง!
“เอาเถอะ! เห็นแก่หน้าท่าน! จะให้ท่านอุ้มก็ได้”
สุดท้ายอวี้เฟยเยียนก็พ่ายแพ้ให้กับสายตาลึกซึ้งอบอุ่นราวกับไฟรักของซย่าโหวฉิงเทียนเข้าจนได้
“เด็กดี!”
ซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มอวี้เฟยเยียนแนบอกด้วยมือเดียว เดินออกไปจากห้อง
นางกำนัลขันทีที่ซย่าโหวจวินอวี่ส่งมารับใช้ซย่าโหวฉิงเทียน เมื่อเห็นท่านอ๋องถึงกับอุ้มพระชายาเดินลัดเลาะกว่าครึ่งชั่วยามจากตัวเรือนไปยังสวนดอกไม้ด้วยความทะนุถนอม แต่ละคนก็แทบตาหลุดออกจากเบ้าทีเดียว
พวกเขาเคยได้ยินมาบ้างว่าคนทั้งสองรักกันด้วยใจจริง แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะรักจะทะนุถนอมอวี้เฟยเหยียนถึงเพียงนี้ เพราอย่างไรเสียในยุคสมัยนี้ที่คนส่วนใหญ่มักจะถือคติว่าภรรยาต้องเคารพเชื่อสามี ผู้ชายมีฐานะสูงกว่าผู้หญิง ดังนั้นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว สามีก็คือท้องฟ้าเป็นทุกอย่างของนาง มีอย่างที่ไหนกันที่สามีรักเทิดทูลภรรยาถึงเพียงนี้ ถึงกับอุ้มภรรยาแนบอกโดยไม่สนใจสายตาของธารกำนัล!
จริงสินะ ซย่าโหวฉิงเทียนผู้เก่งกาจย่อมต้องมีความคิดอ่านที่แตกต่างจากคนทั่วไปอยู่แล้ว!
แต่ทว่า หลังจากที่มีบ่าวไพร่บางคนเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ทันระวัง จึงได้เห็นโฉมหน้าอันงดงามไร้ที่ติของอวี้เฟยเยียน พลันก็เข้าอะไรอะไรขึ้นมาในทันที
หญิงที่งดงามสดใสเช่นนี้ คู่ควรที่จะให้รักให้ทะนุนถนอมจริงๆนั่นแหละ
เมื่อถึงสวนดอกไม้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ให้คนทั้งหมดถอยออกไป เหลือเพียงเขาและอวี้เฟยเยียนตามลำพัง
สวนดอกไม้ยามฤดูหนาว ดอกไม้กำลังผลิดอกออกผลสวยงามละลานตา ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น ทว่าดอกเหมยกลับยิ่งผลิดอกสีแดงสดสวยงามเป็นพิเศษ เมื่อมองดูจึงให้ความสดใสสุนทรีย์ยิ่งนัก
“ไปเถอะ!”
เมื่อวางอวี้เฟยเยียนลง เขาก็จับจูงนางพาเดินเล่นไปอย่างช้าๆ
เดินได้ไม่นาน อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมาเล็กน้อย
แข้งขาอ่อนแรง…
นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดซย่าโหวฉิงเทียนถึงต้องการอุ้มนางตลอดทางที่มา
ก่อนหน้านี้ในขณะที่นางอยู่ในห้อง มีซย่าโหวฉิงเทียนคอยปรนนิบัติพัดวีตลอดเวลา ขาทั้งสองข้างของนางแทบไม่ได้แตะถูกพื้นเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงยังไม่พบความผิดปกตินี้
แต่คราวนี้ นางเดินไปพียงไม่กี่ก้าว ขาทั้งสองข้างก็สั่นระริกอ่อนปวกเปียกราวกับเส้นบะหมี่อย่างไร เหมือนกับมันไม่ใช่ขาของนางอย่างนั้น แล้วจะเดินไหวได้อย่างไรกัน
“เจ้ายังจะเดินอีกไหม?”
ซย่าโหวฉิงเทียนดูท่าจะพึงพอใจกับการที่นางเป็นเช่นนี้เสียเต็มประดา
เพราะหากว่าในเวลานี้อวี้เฟยเยียนยังสามารถกระโดดโลดเต้นได้ละก็ มันก็เป็นการบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เขานั้นอ่อนหัดเกินไปนะสิ
ยังดีที่ยอมเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืนซึ่งก็ไม่เสียเปล่า ความจริงย่อมเอาชนะการแก้ตัวได้เสมอ!
“คนเจ้าเล่ห์!”
อวี้เฟยเยียนซุกหน้าแนบอกซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความเขินอาย
มิน่าเมื่อครู่เขาถึงได้ยิ้มเช่นนั้น เขามันร้ายกาจที่สุด!
“พี่ก็ร้ายแต่กับเจ้านั่นแหละ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ออกมาจากหัวใจ หัวเราะด้วยความสุขใจ ซึ่งบ่าวไพร่รอบข้างต่างก็ได้ยินเสียงหัวเราะเช่นนั้นของท่านอ๋องกันอย่างถ้วนทั่ว
คนเมื่อมีความก็มักจะมีจิตใจที่สดชื่นแจ่มใสจริงๆด้วย!
ไม่เคยมีใครเคยเห็นซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มมาก่อน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะหัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้ได้เลย
เห็นทีคงจะมีเพียงพระชายาเท่านั้นที่ทำให้ท่านอ๋องมีความสุขเพียงนี้ได้!
สุดท้าย การเดินเล่นย่อยหลังมื้ออาหารกลับกลายเป็นซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มอวี้เฟยเยียนเดินชมดอกไม้รอบหนึ่งในสวนไปเสียนี่
หลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยงจิ้นก็มายังจวนอ๋องเพื่อประกาศราชโองการ
เมื่อเช้าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนไม่ได้เข้าวังมา ก็ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ดีใจยิ่งนัก เมื่อพระองค์กลับไปที่ห้องทรงอักษร ก็ทรงเดินวนเวียนไปมาอยู่หลายรอบเพื่อครุ่นคิด จนในที่สุดก็ตัดสินพระทัยจะให้รางวัลซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียน
โดยเฉพาะอวี้เฟยเยียนที่ซย่าโหวจวินอวี่เห็นว่าลูกสะใภ้มีความดีความชอบมากที่สุด!
ในที่สุดก็มีคนทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นผู้ชายที่แท้จริงเสียที นี่เป็นความดีความชอบใหญ่หลวงทีเดียว ดังนั้นจึงต้องมีรางวัล!