ตอนที่ 120-3 ผู้ชายให้ท้ายไม่ได้

จำนนรักชายาตัวร้าย

ในขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังตวัดสายตาแห่งความขุ่นเคืองจ้องมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนอยู่นั้น มือใหญ่ของเขาก็พาดวางบนเอวของนางแล้วเริ่มบีบนวดให้กับนาง

 

 

ขณะเดียวกันความอุ่นร้อนที่ปลายนิ้วของเขาส่งผ่านเข้าไปผ่อนคลายความเมื่อยล้าปวดระบมให้กับนาง

 

 

“อย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะยกโทษให้ท่านนะ!”

 

 

อวี้เฟยเยียนฮึดฮัด นอนราบบนบ่าของซย่าโหวฉิงเทียน ดื่มด่ำผ่อนคลายกับความสบายที่ถูกปฏิบัติราวกับพระโพธิสัตว์เฒ่าก็ไม่ปาน

 

 

“สบายจังเลย!”

 

 

น้ำหนักมือก็กำลังพอดิบพอดี!

 

 

แต่ว่า เรื่องนี้นางไม่มีทางบอกซย่าโหวฉิงเทียนอย่างแน่นอน!

 

 

เพราะว่าสบายตัวยิ่งนัก สบายตัวมากจนถึงขนาดที่ทำให้อวี้เฟยเยียนหลับคาบ่าซย่าโหวฉิงเทียนเลยทีเดียว

 

 

มองเห็นใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้ดีว่าตนเองเร่าร้อนเกินไป เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าขนาดเท่าไหนถึงจะพอเหมาะ เห็นทีเขายังต้องเรียนรู้อีกมากนัก!

 

 

หากว่าอวี้เฟยเยียนล่วงรู้ถึงความคิดนี้ของซย่าโหวฉิงเทียนละก็ นางจะต้องกอดขาทั้งสองข้างของเขาร้องไห้อ้อนวอนอย่างแน่นอน

 

 

อย่าเรียนอีกเลย!

 

 

สิ่งที่ท่านเรียนรู้ในตอนนี้เพียงพอที่จะใช้ได้ทั้งชีวิตแล้ว!

 

 

นางไม่อยากที่จะต้องใช้ความยืดหยุ่นเกร็งแข่งเกร็งขา จนผิดรูปผิดร่างหรอกนะ!

 

 

เกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะเหน็ดเหนื่อยเกินไป ซย่าโหวฉิงเทียนจึงให้คนไปแจ้งซย่าโหวจวินอวี่ว่า วันนี้จะเข้าวัง

 

 

เพราะแมวน้อยง่วงนอนเกินไป เขาจะอยู่เป็นเพื่อนนาง!

 

 

เมื่อซย่าโหวจวินอวี่ได้ยินว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะอยู่จวนเป็นเพื่อนอวี้เฟยเยียน ขอเลื่อนเวลาที่จะเข้าวังมาถวายพระพรออกไปก่อน สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เบิกบานเป็นที่สุด

 

 

ดีมากเจ้าลูกชาย!

 

 

ในที่สุดก็รู้จักเป็นห่วงเป็นใยคนเป็นเสียที!

 

 

ดังนั้น ซย่าโหวจวินอวี่จึงสะบัดมือบอกกับผู้ที่มาส่งสาส์นว่า

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลินเจียงอ๋องก็พักผ่อนอยู่ที่จวนเถอะ!”

 

 

เดิมทีแล้วตามกำหนดการ ทั้งสองจะต้องเข้าวังมาถวายพระพรฮ่องเต้ตั้งแต่เช้าตรู่

 

 

พระชายาทั้งหลายต่างก็รอคอยอยากจะยลโฉมพระชายาแห่งหลินเจียงอ๋อง

 

 

แต่ทว่าเมื่อมาก็ได้รับสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า เมื่อมนุษย์ถูกเปรียบเทียบกันเองแล้ว มันน่าโมโหที่สุดนะสิ!

 

 

เพราะตอนที่พวกนางแต่งงานนั้น วันแต่งงานยังต้องทนหิวเป็นวัน ตกกลางคืนยังต้องถูกคนกลุ่มใหญ่มาป่วนห้องหอชนิดที่ไม่รู้จักหนักเบากันเลย เมื่อเสร็จสิ้นยังต้องใช้ร่างกายที่หิวโหยจนไส้กิ่วปรนนิบัติให้สามีพึงพอใจ

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นยังจะต้องลากสังขารที่ปวดร้าวระบมไปทั้งร่าง กับแข้งขาที่แทบไร้เรี่ยวแรงเข้าวังเพื่อขอบพระทัยฮ่องเต้อีก

 

 

อีกทั้งขนบธรรมเนียมต่างๆ ยังต้องกระทำให้ถูกต้องครบถ้วนมิให้มีบกพร่อง ไม่ฉะนั้นก็จะต้องถูกหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อนทั้งยังต้องถูกสามีรังเกียจ

 

 

สะใภ้หลวงนี่ช่างเป็นยากเป็นเย็นเหลือเกิน…

 

 

เทียบกับชายาของหลินเจียงอ๋องที่มีชีวิตอันแสนหวานชื่นกับสามีแล้ว พวกนางราวกับกำลังตกนรกก็ไม่ปาน

 

 

“เสด็จพ่อทรงโปรดปรานท่านลุงสิบสี่ยิ่งนัก!”

 

 

พระชายาทั้งสามคนกำลังเดินกลับออกจากวังหลวง พระชายาหนิงอ๋องเริ่มพูดคุยอยู่กับบรรดาพระชายาคนอื่นๆ

 

 

หนิงอ๋อง ซย่าโหวฉีเป็นพระโอรสองค์ที่ห้า พระชายาแห่งหนิงอ๋องเข้าวังมาหลังสุด หลังจากที่แต่งเข้ามาได้ไม่นานก็ต้องติดตามสามีไปที่ถูกแต่งตั้งไปปกครองยังอาณาเขตอื่น ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับราชสำนักเท่าไหร่นัก

 

 

“เรื่องนี้ข้าเห็นจนชินเสียแล้ว!”

 

 

พระชายาแห่งเซี่ยนอ๋องในมือถือเตาผิง สีหน้าเรียบนิ่ง

 

 

ในบรรดาโอรสของซย่าโหวจวินอวี่ทั้งหมดหกคน นอกเสียจากองค์โตที่ถูกปลดออกไปก่อนกับองค์ที่หกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ที่เหลืออีกสี่องค์ ในอดีตต่างก็แย่งชิงต่อสู้กันมาอย่างหนักหน่วง

 

 

เซี่ยนอ๋อง หนานกงติงเมื่อครั้งยังดำรงยศเป็นพระโอรสองค์รองอยู่นั้น ความสามารถพอฟัดพอเหวี่ยงกับโอรสองค์ที่สี่ซย่าโหวหนานเลยทีเดียว

 

 

ภายหลังซย่าโหวหนานได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท จึงกลายเป็นผู้ชนะจากบรรดาองค์ชายทั้งหมดในทันที

 

 

แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่า ภายหลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นมาได้

 

 

หนานกงติงถึงแม้จะไร้วาสนาไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเซี่ยนอ๋อง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ตรงกันข้ามกับซย่าโหวหนาน ต้องถูกปลดเป็นสามัญชน หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ดั่งคำโบราณว่า ล้มเหลวก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป!

 

 

“เจ้ารู้ไว้ก็ดี! เสด็จพ่อรักท่านลุงสิบสี่ราวกับลูกชายแท้ๆ ก็ไม่ปาน! รักถึงขนาดที่ว่าลูกชายแท้ๆ ยังต้องหลีกทางให้ทีเดียว!”

 

 

พระชายาแห่งฮั่นอ๋องยิ้มแพรวพราว ขณะที่เอื้อมมือขึ้นมาจัดแต่งปิ่นปักผมชิ้นใหม่บนศีรษะไปพลางๆ

 

 

“แต่ว่า ข้ากลับได้ยินมาว่าอวี้เฟยเยียนเคยหมั้นหมายเอาไว้กับรัชทายาทองค์ก่อน เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกัน”

 

 

พระชายาแห่งหนิงอ๋องเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยใครรู้

 

 

“หากมิใช่รัชทายาทองค์ก่อนถูกปลดละก็ ตอนนี้นางก็คงเป็นพระชายารัชทายาทไปแล้ว! ตอนนี้นางแต่งงานกับท่านลุงสิบสี่แทน มันจะไม่เอ่อ…”

 

 

พระชายาแห่งหนิงอ๋องกำลังซุบซิบนินทาขณะที่สายตาก็เหลือบไปมองที่พระชายาแห่งเซี่ยนอ๋องและพระชายาแห่งฮั่นอ๋องไปด้วย

 

 

คำพูดของพระชายาแห่งหนิงอ๋องบ่งบอกหมายความอย่างชัดเจน คู่หมั้นของหลานสุดท้ายกลายเป็นชายาของลุง เรื่องนี้มีความนัยเรื่องรักๆ ใครๆ อะไรแอบแฝงหรือเปล่า

 

 

นี่มันยุ่งเหยิงวุ่นวายข้ามรุ่นไปหมดแล้ว!

 

 

ระหว่างคู่หมั้นของหลานกับลุงของหลานจะต้องมีอะไรเป็นแน่!

 

 

“ชู่ว์”

 

 

พระชายาแห่งฮั่นอ๋องทำมือเป็นเชิงให้เงียบเสียง แล้วกวาดสายตามองไปรอบทิศทางอย่างตื่นตระหนก

 

 

“น้องห้า เจ้าอย่าพูดเหลวไหลเด็ดขาดเชียวนะ!”

 

 

“ท่านลุงสิบสี่โหดเ**้ยมยิ่งนัก เจ้าพูดจาปั้นน้ำเป็นตัวเช่นนี้ หากรู้ไปถึงหูของเขาเข้าละก็ ระวังเขาจะมาจัดการกับเจ้านะ!”

 

 

“เขาจะทำอะไรได้”

 

 

บิดาของพระชายาแห่งหนิงอ๋องเป็นขุนนางใหญ่อยู่ที่ต่างมณฑล ดังนั้นตั้งแต่เล็กจนโตนางจึงใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น จึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวความเป็นไปในเมืองหลวงสักเท่าไหร่นัก

 

 

อีกอย่างสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น

 

 

เมื่อวานนี้ซย่าโหวฉิงเทียนที่นางเห็นหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตร ซึ่งถึงแม้อารมณ์ของเขาจะไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ แต่มองดูแล้วก็ไม่น่าจะโหดเ**้ยมอย่างที่เขาเล่าลือกันนี่นา!

 

 

“เขาจะฆ่าเจ้าได้!”

 

 

พระชายาแห่งเซี่ยนอ๋องหัวเราะเย็นชาพร้อมกับปรายตามองพระชายาแห่งหนิงอ๋อง ในใจครุ่นคิด

 

 

‘ช่างเพ้อฝันเสียจริงๆ!’

 

 

‘สมแล้วกับที่มาจากบ้านนอก โง่เขลายิ่งนัก!’

 

 

พระชายาแห่งเซี่ยนอ๋องแต่งงานเข้ามาเป็นคนแรกๆ นานกว่าพวกนางมากนัก

 

 

ความสำคัญของซย่าโหวฉิงเทียนในพระทัยของฮ่องเต้มากเสียยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆ เสียอีก

 

 

ต่อให้เขาแย่งคู่หมั้นของหลานชายมาจริง แล้วอย่างไรเล่า นี่เป็นเรื่องที่ผู้น้อยอย่างพวกนางมีสิทธิ์มาวิพากษ์วิจารณ์ได้ด้วยหรือ

 

 

ชายาของหนิงอ๋องนางหน้าโง่ พระชายาแห่งหนิงอ๋องจะกล้าท้าทายอำนาจของพญาเสือก็ช่าง แต่อย่ามาลากนางและคนอื่นๆ เข้าไปเกี่ยวด้วยสิ!

 

 

คำของชายาแห่งเซี่ยนอ๋อง ทำให้ชายาแห่งหนิงอ๋องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

 

 

“คงไม่น่ากลัวเช่นนั้นกระมัง!”

 

 

“เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย…”

 

 

ชายาแห่งเซี่ยนอ๋องขี้เกียจจะมาเสียเวลากับคนโง่พวกนี้อีกต่อไป ดังนั้นจึงขึ้นรถม้าของตนเองกลับออกไปทันที

 

 

“ซ้อสี่ ซ้อรองทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”

 

 

ชายาแห่งหนิงอ๋องเริ่มมีอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นมาบ้าง

 

 

“ปกติก็มักจะทำสูงส่งเหนือใคร ก็แค่ลูกผู้ดีมีชาติตระกูลหน่อยเท่านั้นเอง! พูดให้รื่นหูหน่อยก็คือยังมีศักดิ์สูง แต่หากพูดตรงๆ หน่อยก็คือยากจนข้นแค้นจนเหลือพียงแค่วิชาความรู้แล้ว! ยังจะมาถือตัวสูงส่งอะไรกันอีก”

 

 

ชายาแห่งหนิงอ๋องพร่ำบ่นเบาๆ

 

 

คำพูดของนางเมื่อครู่ ฮั่นอ๋องได้ยินเต็มสองรูหูอย่างชัดเจนโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว ชายาแห่งฮั่นอ๋องจึงหัวเราะออกมา

 

 

“น้องห้า เจ้าอย่าโมโหโกรธาไปเลยน่า! ซ้อรองอาจแลดูเย็นชาไปบ้าง แต่นางไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เจ้านะ สงบปากสงบคำเอาไว้บ้าง ระวังปลาหมอจะตายเพราะปาก!”

 

 

จวบจนกระทั่งชายาแห่งฮั่นอ๋องเดินแยกออกไปขึ้นรถม้าของตัวเองแล้ว ชายาแห่งหนิงอ๋องถึงได้ถีบล้อรถม้าของตนเองอย่างแรงด้วยความเจ็บใจ

 

 

แต่ละคนพูดอย่างกับมีลับลมคมใน ข้าว่ามันจะต้องมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ผสมปนเปอยู่เป็นแน่! ไม่บอกข้าก็ช่าง ข้าไปสืบเองก็ได้!

 

 

จวนหลินเจียงอ๋อง

 

 

อวี้เฟยเยียนนอนหลับก็หลับไปยาวจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งบ่าย

 

 

เมื่อนางสะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้น ก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า

 

 

ในตอนนั้นเองนางจึงเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ขณะที่นอนหลับนั้นรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่ตนเองตลอดเวลา

 

 

นางอยากจะรู้นักว่าใครกัน ที่ ‘หลอกหลอนนางไม่หยุด’ ถึงเพียงนี้!

 

 

แต่ทว่า นางเหน็ดเหนื่อยเกินไปจริงๆ จึงหลับสนิท

 

 

ที่แท้คนนั้นก็คือซย่าโหวฉิงเทียนนั่นเอง!

 

 

“เฮ่…”

 

 

เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่จ้องหน้าตนเองตาเชื่อม อวี้เฟยเยียนจึงยื่นมือออกไปผลักเขาออกให้พ้นทาง

 

 

“มองอยู่ตั้งนานแล้ว ยังไม่เบื่ออีกหรือ”

 

 

“ไม่เบื่อ! พี่ชอบ!”

 

 

“ฮึ่ย ขนลุก! หลีกไปนะ…”

 

 

หลังจากได้นอนหลับเต็มอิ่ม อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกมีแรงขึ้นมาก นางลงจากเตียงเตรียมที่จะไปอาบน้ำล้างหน้า ทันใดนั้นก็พบว่าตนเองเนื้อตัวสะอาดเอี่ยม ไม่หลงเหลือร่องรอยความบอบช้ำหลังเสร็จกิจเลยสักนิด

 

 

“ท่านอาบน้ำให้ข้า”

 

 

กล่าวจบอวี้เฟยเยียนก็หน้าแดงเถือก

 

 

คลับคล้ายคับคลาว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นและเขาได้กลายร่างเป็นจิ้งจอกหิวโซอีกครั้งในถังน้ำ

 

 

“ข้าหิวแล้ว!”

 

 

มองเห็นดวงตาที่ไม่มีท่าทีล้อเล่นของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนก็รีบเสหน้ามองไปทางอื่น แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

 

 

“ข้าเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเดินเข้ามาหานาง แล้วเกล้าผมแต่งตัวให้กับอวี้เฟยเยียนด้วยความชำนาญ

 

 

“เจ้าสูญเสียพลังงานไปมาก จะต้องบำรุงให้มากเช่นกัน!”

 

 

คำพูดหวานเลี่ยนจนขนลุกเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนทนฟังต่อไปไม่ไหว

 

 

ชายหนุ่มรูปงามแสนร้ายกาจเย็นชาหายไปไหนกัน

 

 

“หรือว่า เขาถูกผีลากมกเข้าสิง”