ในขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังตวัดสายตาแห่งความขุ่นเคืองจ้องมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนอยู่นั้น มือใหญ่ของเขาก็พาดวางบนเอวของนางแล้วเริ่มบีบนวดให้กับนาง
ขณะเดียวกันความอุ่นร้อนที่ปลายนิ้วของเขาส่งผ่านเข้าไปผ่อนคลายความเมื่อยล้าปวดระบมให้กับนาง
“อย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะยกโทษให้ท่านนะ!”
อวี้เฟยเยียนฮึดฮัด นอนราบบนบ่าของซย่าโหวฉิงเทียน ดื่มด่ำผ่อนคลายกับความสบายที่ถูกปฏิบัติราวกับพระโพธิสัตว์เฒ่าก็ไม่ปาน
“สบายจังเลย!”
น้ำหนักมือก็กำลังพอดิบพอดี!
แต่ว่า เรื่องนี้นางไม่มีทางบอกซย่าโหวฉิงเทียนอย่างแน่นอน!
เพราะว่าสบายตัวยิ่งนัก สบายตัวมากจนถึงขนาดที่ทำให้อวี้เฟยเยียนหลับคาบ่าซย่าโหวฉิงเทียนเลยทีเดียว
มองเห็นใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้ดีว่าตนเองเร่าร้อนเกินไป เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าขนาดเท่าไหนถึงจะพอเหมาะ เห็นทีเขายังต้องเรียนรู้อีกมากนัก!
หากว่าอวี้เฟยเยียนล่วงรู้ถึงความคิดนี้ของซย่าโหวฉิงเทียนละก็ นางจะต้องกอดขาทั้งสองข้างของเขาร้องไห้อ้อนวอนอย่างแน่นอน
อย่าเรียนอีกเลย!
สิ่งที่ท่านเรียนรู้ในตอนนี้เพียงพอที่จะใช้ได้ทั้งชีวิตแล้ว!
นางไม่อยากที่จะต้องใช้ความยืดหยุ่นเกร็งแข่งเกร็งขา จนผิดรูปผิดร่างหรอกนะ!
เกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะเหน็ดเหนื่อยเกินไป ซย่าโหวฉิงเทียนจึงให้คนไปแจ้งซย่าโหวจวินอวี่ว่า วันนี้จะเข้าวัง
เพราะแมวน้อยง่วงนอนเกินไป เขาจะอยู่เป็นเพื่อนนาง!
เมื่อซย่าโหวจวินอวี่ได้ยินว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะอยู่จวนเป็นเพื่อนอวี้เฟยเยียน ขอเลื่อนเวลาที่จะเข้าวังมาถวายพระพรออกไปก่อน สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เบิกบานเป็นที่สุด
ดีมากเจ้าลูกชาย!
ในที่สุดก็รู้จักเป็นห่วงเป็นใยคนเป็นเสียที!
ดังนั้น ซย่าโหวจวินอวี่จึงสะบัดมือบอกกับผู้ที่มาส่งสาส์นว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลินเจียงอ๋องก็พักผ่อนอยู่ที่จวนเถอะ!”
เดิมทีแล้วตามกำหนดการ ทั้งสองจะต้องเข้าวังมาถวายพระพรฮ่องเต้ตั้งแต่เช้าตรู่
พระชายาทั้งหลายต่างก็รอคอยอยากจะยลโฉมพระชายาแห่งหลินเจียงอ๋อง
แต่ทว่าเมื่อมาก็ได้รับสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า เมื่อมนุษย์ถูกเปรียบเทียบกันเองแล้ว มันน่าโมโหที่สุดนะสิ!
เพราะตอนที่พวกนางแต่งงานนั้น วันแต่งงานยังต้องทนหิวเป็นวัน ตกกลางคืนยังต้องถูกคนกลุ่มใหญ่มาป่วนห้องหอชนิดที่ไม่รู้จักหนักเบากันเลย เมื่อเสร็จสิ้นยังต้องใช้ร่างกายที่หิวโหยจนไส้กิ่วปรนนิบัติให้สามีพึงพอใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นยังจะต้องลากสังขารที่ปวดร้าวระบมไปทั้งร่าง กับแข้งขาที่แทบไร้เรี่ยวแรงเข้าวังเพื่อขอบพระทัยฮ่องเต้อีก
อีกทั้งขนบธรรมเนียมต่างๆ ยังต้องกระทำให้ถูกต้องครบถ้วนมิให้มีบกพร่อง ไม่ฉะนั้นก็จะต้องถูกหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อนทั้งยังต้องถูกสามีรังเกียจ
สะใภ้หลวงนี่ช่างเป็นยากเป็นเย็นเหลือเกิน…
เทียบกับชายาของหลินเจียงอ๋องที่มีชีวิตอันแสนหวานชื่นกับสามีแล้ว พวกนางราวกับกำลังตกนรกก็ไม่ปาน
“เสด็จพ่อทรงโปรดปรานท่านลุงสิบสี่ยิ่งนัก!”
พระชายาทั้งสามคนกำลังเดินกลับออกจากวังหลวง พระชายาหนิงอ๋องเริ่มพูดคุยอยู่กับบรรดาพระชายาคนอื่นๆ
หนิงอ๋อง ซย่าโหวฉีเป็นพระโอรสองค์ที่ห้า พระชายาแห่งหนิงอ๋องเข้าวังมาหลังสุด หลังจากที่แต่งเข้ามาได้ไม่นานก็ต้องติดตามสามีไปที่ถูกแต่งตั้งไปปกครองยังอาณาเขตอื่น ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับราชสำนักเท่าไหร่นัก
“เรื่องนี้ข้าเห็นจนชินเสียแล้ว!”
พระชายาแห่งเซี่ยนอ๋องในมือถือเตาผิง สีหน้าเรียบนิ่ง
ในบรรดาโอรสของซย่าโหวจวินอวี่ทั้งหมดหกคน นอกเสียจากองค์โตที่ถูกปลดออกไปก่อนกับองค์ที่หกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ที่เหลืออีกสี่องค์ ในอดีตต่างก็แย่งชิงต่อสู้กันมาอย่างหนักหน่วง
เซี่ยนอ๋อง หนานกงติงเมื่อครั้งยังดำรงยศเป็นพระโอรสองค์รองอยู่นั้น ความสามารถพอฟัดพอเหวี่ยงกับโอรสองค์ที่สี่ซย่าโหวหนานเลยทีเดียว
ภายหลังซย่าโหวหนานได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท จึงกลายเป็นผู้ชนะจากบรรดาองค์ชายทั้งหมดในทันที
แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่า ภายหลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นมาได้
หนานกงติงถึงแม้จะไร้วาสนาไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเซี่ยนอ๋อง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ตรงกันข้ามกับซย่าโหวหนาน ต้องถูกปลดเป็นสามัญชน หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
ดั่งคำโบราณว่า ล้มเหลวก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป!
“เจ้ารู้ไว้ก็ดี! เสด็จพ่อรักท่านลุงสิบสี่ราวกับลูกชายแท้ๆ ก็ไม่ปาน! รักถึงขนาดที่ว่าลูกชายแท้ๆ ยังต้องหลีกทางให้ทีเดียว!”
พระชายาแห่งฮั่นอ๋องยิ้มแพรวพราว ขณะที่เอื้อมมือขึ้นมาจัดแต่งปิ่นปักผมชิ้นใหม่บนศีรษะไปพลางๆ
“แต่ว่า ข้ากลับได้ยินมาว่าอวี้เฟยเยียนเคยหมั้นหมายเอาไว้กับรัชทายาทองค์ก่อน เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกัน”
พระชายาแห่งหนิงอ๋องเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยใครรู้
“หากมิใช่รัชทายาทองค์ก่อนถูกปลดละก็ ตอนนี้นางก็คงเป็นพระชายารัชทายาทไปแล้ว! ตอนนี้นางแต่งงานกับท่านลุงสิบสี่แทน มันจะไม่เอ่อ…”
พระชายาแห่งหนิงอ๋องกำลังซุบซิบนินทาขณะที่สายตาก็เหลือบไปมองที่พระชายาแห่งเซี่ยนอ๋องและพระชายาแห่งฮั่นอ๋องไปด้วย
คำพูดของพระชายาแห่งหนิงอ๋องบ่งบอกหมายความอย่างชัดเจน คู่หมั้นของหลานสุดท้ายกลายเป็นชายาของลุง เรื่องนี้มีความนัยเรื่องรักๆ ใครๆ อะไรแอบแฝงหรือเปล่า
นี่มันยุ่งเหยิงวุ่นวายข้ามรุ่นไปหมดแล้ว!
ระหว่างคู่หมั้นของหลานกับลุงของหลานจะต้องมีอะไรเป็นแน่!
“ชู่ว์”
พระชายาแห่งฮั่นอ๋องทำมือเป็นเชิงให้เงียบเสียง แล้วกวาดสายตามองไปรอบทิศทางอย่างตื่นตระหนก
“น้องห้า เจ้าอย่าพูดเหลวไหลเด็ดขาดเชียวนะ!”
“ท่านลุงสิบสี่โหดเ**้ยมยิ่งนัก เจ้าพูดจาปั้นน้ำเป็นตัวเช่นนี้ หากรู้ไปถึงหูของเขาเข้าละก็ ระวังเขาจะมาจัดการกับเจ้านะ!”
“เขาจะทำอะไรได้”
บิดาของพระชายาแห่งหนิงอ๋องเป็นขุนนางใหญ่อยู่ที่ต่างมณฑล ดังนั้นตั้งแต่เล็กจนโตนางจึงใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น จึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวความเป็นไปในเมืองหลวงสักเท่าไหร่นัก
อีกอย่างสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
เมื่อวานนี้ซย่าโหวฉิงเทียนที่นางเห็นหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตร ซึ่งถึงแม้อารมณ์ของเขาจะไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ แต่มองดูแล้วก็ไม่น่าจะโหดเ**้ยมอย่างที่เขาเล่าลือกันนี่นา!
“เขาจะฆ่าเจ้าได้!”
พระชายาแห่งเซี่ยนอ๋องหัวเราะเย็นชาพร้อมกับปรายตามองพระชายาแห่งหนิงอ๋อง ในใจครุ่นคิด
‘ช่างเพ้อฝันเสียจริงๆ!’
‘สมแล้วกับที่มาจากบ้านนอก โง่เขลายิ่งนัก!’
พระชายาแห่งเซี่ยนอ๋องแต่งงานเข้ามาเป็นคนแรกๆ นานกว่าพวกนางมากนัก
ความสำคัญของซย่าโหวฉิงเทียนในพระทัยของฮ่องเต้มากเสียยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆ เสียอีก
ต่อให้เขาแย่งคู่หมั้นของหลานชายมาจริง แล้วอย่างไรเล่า นี่เป็นเรื่องที่ผู้น้อยอย่างพวกนางมีสิทธิ์มาวิพากษ์วิจารณ์ได้ด้วยหรือ
ชายาของหนิงอ๋องนางหน้าโง่ พระชายาแห่งหนิงอ๋องจะกล้าท้าทายอำนาจของพญาเสือก็ช่าง แต่อย่ามาลากนางและคนอื่นๆ เข้าไปเกี่ยวด้วยสิ!
คำของชายาแห่งเซี่ยนอ๋อง ทำให้ชายาแห่งหนิงอ๋องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“คงไม่น่ากลัวเช่นนั้นกระมัง!”
“เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย…”
ชายาแห่งเซี่ยนอ๋องขี้เกียจจะมาเสียเวลากับคนโง่พวกนี้อีกต่อไป ดังนั้นจึงขึ้นรถม้าของตนเองกลับออกไปทันที
“ซ้อสี่ ซ้อรองทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ชายาแห่งหนิงอ๋องเริ่มมีอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นมาบ้าง
“ปกติก็มักจะทำสูงส่งเหนือใคร ก็แค่ลูกผู้ดีมีชาติตระกูลหน่อยเท่านั้นเอง! พูดให้รื่นหูหน่อยก็คือยังมีศักดิ์สูง แต่หากพูดตรงๆ หน่อยก็คือยากจนข้นแค้นจนเหลือพียงแค่วิชาความรู้แล้ว! ยังจะมาถือตัวสูงส่งอะไรกันอีก”
ชายาแห่งหนิงอ๋องพร่ำบ่นเบาๆ
คำพูดของนางเมื่อครู่ ฮั่นอ๋องได้ยินเต็มสองรูหูอย่างชัดเจนโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว ชายาแห่งฮั่นอ๋องจึงหัวเราะออกมา
“น้องห้า เจ้าอย่าโมโหโกรธาไปเลยน่า! ซ้อรองอาจแลดูเย็นชาไปบ้าง แต่นางไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เจ้านะ สงบปากสงบคำเอาไว้บ้าง ระวังปลาหมอจะตายเพราะปาก!”
จวบจนกระทั่งชายาแห่งฮั่นอ๋องเดินแยกออกไปขึ้นรถม้าของตัวเองแล้ว ชายาแห่งหนิงอ๋องถึงได้ถีบล้อรถม้าของตนเองอย่างแรงด้วยความเจ็บใจ
แต่ละคนพูดอย่างกับมีลับลมคมใน ข้าว่ามันจะต้องมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ผสมปนเปอยู่เป็นแน่! ไม่บอกข้าก็ช่าง ข้าไปสืบเองก็ได้!
จวนหลินเจียงอ๋อง
อวี้เฟยเยียนนอนหลับก็หลับไปยาวจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งบ่าย
เมื่อนางสะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้น ก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า
ในตอนนั้นเองนางจึงเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ขณะที่นอนหลับนั้นรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่ตนเองตลอดเวลา
นางอยากจะรู้นักว่าใครกัน ที่ ‘หลอกหลอนนางไม่หยุด’ ถึงเพียงนี้!
แต่ทว่า นางเหน็ดเหนื่อยเกินไปจริงๆ จึงหลับสนิท
ที่แท้คนนั้นก็คือซย่าโหวฉิงเทียนนั่นเอง!
“เฮ่…”
เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่จ้องหน้าตนเองตาเชื่อม อวี้เฟยเยียนจึงยื่นมือออกไปผลักเขาออกให้พ้นทาง
“มองอยู่ตั้งนานแล้ว ยังไม่เบื่ออีกหรือ”
“ไม่เบื่อ! พี่ชอบ!”
“ฮึ่ย ขนลุก! หลีกไปนะ…”
หลังจากได้นอนหลับเต็มอิ่ม อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกมีแรงขึ้นมาก นางลงจากเตียงเตรียมที่จะไปอาบน้ำล้างหน้า ทันใดนั้นก็พบว่าตนเองเนื้อตัวสะอาดเอี่ยม ไม่หลงเหลือร่องรอยความบอบช้ำหลังเสร็จกิจเลยสักนิด
“ท่านอาบน้ำให้ข้า”
กล่าวจบอวี้เฟยเยียนก็หน้าแดงเถือก
คลับคล้ายคับคลาว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นและเขาได้กลายร่างเป็นจิ้งจอกหิวโซอีกครั้งในถังน้ำ
“ข้าหิวแล้ว!”
มองเห็นดวงตาที่ไม่มีท่าทีล้อเล่นของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนก็รีบเสหน้ามองไปทางอื่น แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“ข้าเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเดินเข้ามาหานาง แล้วเกล้าผมแต่งตัวให้กับอวี้เฟยเยียนด้วยความชำนาญ
“เจ้าสูญเสียพลังงานไปมาก จะต้องบำรุงให้มากเช่นกัน!”
คำพูดหวานเลี่ยนจนขนลุกเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนทนฟังต่อไปไม่ไหว
ชายหนุ่มรูปงามแสนร้ายกาจเย็นชาหายไปไหนกัน
“หรือว่า เขาถูกผีลากมกเข้าสิง”