ตอนที่ 27 ดอกไม้ที่สะบัดไหว โดย Ink Stone_Fantasy
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน” เทพจักรวาลทั้งหลายของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญซึ่งอยู่ในที่นั้นต่างก็มีความรู้สึกแตกต่างกันออกไป แม้จะคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่ตอนนี้มั่นใจได้แล้วว่า ครั้งก่อนที่โจมตีอีกฝ่าย เขาก็สามารถหลบหนีออกไปได้แล้ว! ‘ป้อมปราการอากาศ’ มิอาจป้องกันอีกฝ่ายได้เลย เรื่องนี้ทำให้พวกเขามิอาจทนรับได้อยู่บ้าง เพราะในสายตาของพวกเขา ป้อมปราการอากาศนั้นสมบูรณ์แบบเป็นที่สุด
“ตงป๋อ ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ทำให้พวกเรามั่นใจได้ว่ามีเทพจักรวาลของฝูงมารผลาญทำลายเข้ามากบดานจริงๆ ป้อมปราการอากาศมีช่องโหว่จริงๆ” บรรพชนทิพย์กลับมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “เจ้ายังพบอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่”
“ไม่มีแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ตอนนั้นข้ามิกล้ารั้งรออีกต่อไป ได้แต่รีบหนีทันที”
“อื้ม สามารถได้อะไรเช่นนี้มาในระยะเวลาสั้นๆ ก็ดีมากแล้ว เจ้าตามตรวจสอบต่อไปเถิด” บรรพชนทิพย์กล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ว่าบรรดาเทพจักรวาลทั้งหลายน่าจะต้องปรึกษากันว่าจะแก้ไขช่องโหว่อย่างไร และจะรับมือ ‘อ๋อง’ ของฝูงมารผลาญทำลายเช่นไร ทว่านี่ก็มิใช่สิ่งที่เขาจะสามารถทำได้แล้ว บัดนี้ระดับขั้นของเขาเมื่อพบกับอ๋องของฝูงมารผลาญทำลายก็มีแต่ต้องหนีเท่านั้น! สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อทำลายล้างพรรค์นี้ ‘อ๋อง’ ของพวกเขาก็น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งโดยแท้ ลำพังแค่พูดถึงวิธีทำลายล้างเพียงอย่างเดียวก็ร้ายกาจกว่าเทพจักรวาลทั่วไปอยู่แล้ว ดีร้ายอย่างไรตนก็มีความสามารถทนเอาชีวิตรอดได้
หากพบเจดีย์ดาวระดับชั้นที่เก้าคนอื่นๆ ก็ไม่แน่ว่าจะหนีได้พ้น นี่เพราะตนรู้จักการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นจึงได้รับเลือกให้ไปทำภารกิจนี้
“ฟิ้ว”
มิติข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงบิดเบี้ยวไป เขาสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็ทะลุอากาศจากไป
ส่วนภายในโถงตำหนักนี้ ร่างแปรของเทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งก็เริ่มค้นคว้าหาวิธีต่อกรแล้ว
……
สำหรับผู้บำเพ็ญที่เก่าแก่แล้ว เวลาร้อยล้านปีก็เป็นเวลาแสนสั้นยิ่งนัก เก็บตัวครั้งหนึ่งจะใช้เวลากว่าร้อยล้านปีก็เป็นเรื่องปกติมาก เพราะถึงอย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว จะทำลายจักรวาลสักแห่งก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงท่องไปตามที่ต่างๆ โดยใช้วิธี ‘โง่เง่า’ ที่สุด คือการสำแดงเขตลวงออกมาปกคลุมทุกหนแห่งเพื่อตรวจสอบ…
ฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดานมีน้อยมากอย่างยิ่งโดยแท้จริง
เพราะผู้ที่สามารถเข้ามาได้ นอกจากแม่ทัพที่มี ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ สองคนแล้ว คนอื่นๆ ก็ต้องเป็นเทพจักรวาลผู้สูงส่งเหนือใคร หรือไม่ก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองชั้นที่แปดระดับยอดหรือระดับชั้นที่เก้าซึ่งมีจิตใจที่แข็งแกร่งและมีวิธีการอันสูงส่งยิ่ง! เนื่องจากผู้ที่มีจิตอ่อนแอกว่า ก็จะทนรับการเข่นฆ่าและทำลายล้างครั้งแล้วครั้งเล่ามิได้
เมื่อเข่นฆ่าและทำลายล้าหลายครั้งเข้า ก็อาจถูกเปิดเผยเอาได้ง่ายๆ นอกจากนี้ผู้ที่มีจิตอ่อนแอ ก็มีโอกาสที่จะบรรลุเป็น ‘อ๋อง’ ต่ำยิ่งนัก
ดังนั้นฝูงมารผลาญทำลายที่ถูกคัดเลือกออกมาและโชคดีสามารถมาถึงโลกของผู้บำเพ็ญได้ก็ล้วนแต่เป็นผู้มีความสามารถล้ำเลิศ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นที่ยอมรับว่ามีหวังจะสำเร็จเป็น ‘อ๋อง’ ได้
จำนวนน้อย!
และระมัดระวัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดจะหาพวกเขาให้พบ ก็ย่อมยากมากเป็นธรรมดา
……
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองหมื่นกว่าล้านปีแล้ว
นี่คือสำนักที่กินพื้นที่กว้างขวางมากแห่งหนึ่งซึ่งมีศิษย์สำนักจำนวนนับไม่ถ้วน ประมุขของสำนักก็เป็นยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า
วันนี้
ดวงอาทิตย์แรกโผล่พ้นขอบฟ้า หมอกอันเบาบางปกคลุมสำนักแห่งนี้เอาไว้ แต่ดอกตูมสีดำขนาดมหึมากลับปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือสำนักนี้ ดอกตูมสีดำซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่า กลับมีกลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ด้วย มันก่อตัวขึ้นมาจากบุปผาผลาญทำลายถึงสามสิบแปดดอก สามารถสำแดงออกมาได้มากมายถึงเพียงนี้ ข้อแรกก็เพราะวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งพอ ส่วนข้อที่สองก็คือการยกระดับของระดับขั้น
“คิดหนีรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างยืนอยู่กลางอากาศพลางมองดูมารเกราะทองตนหนึ่งที่เผยรูปร่างที่แท้จริงออกมาแล้วและถูกพันธนาการเอาไว้ภายในดอกตูมสีดำที่ทับซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า
“เปิด เปิด เปิด” มารเกราะทองตนนั้นถือมีดคมกริบเอาไว้ในมือพลางแทงลงบนดอกตูมสีดำด้วยความโมโห แต่กลับทำได้เพียงฟันทิ้งไปสิบกว่าดอกเท่านั้น อีกทั้งเมื่อเขาเพิ่งจะฟันไป ก็มีบุปผาผลาญทำลายดอกใหม่ก่อตัวขึ้นมาแล้ว และยังคงจำนวนเอาไว้ที่สามสิบแปดดอก
“ตู้ม”
ลำแสงสีแดงเข้มสายหนึ่งพลันทะลุผ่านดอกตูมชั้นแล้วชั้นเล่าแล้วทะลวงเข้าไปจนถึงด้านในสุด ซึ่งก็คือมารเกราะทองตนหนึ่งซึ่งมีรัศมีสีแดงเข้มอยู่เหนือผิวกาย เขาโบกมือคราหนึ่งก่อนจะเก็บสหายขึ้นไป
จากนั้น
ฟิ้ว…
ร่างกายแปรเป็นลำแสงสีแดงเข้ม ทั้งร่างกลายเป็นอาวุธเล่มหนึ่งเข้าฉีกทึ้งบุปผาผลาญทำลาย แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรีบสำแดงบุปผาผลาญทำลายออกมาอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายทำลายล้างได้รวดเร็วเกินไปแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็ทะลุผ่านอุปสรรคชั้นต่างๆ และพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง เมื่อพุ่งทะยานออกไปไกล ร่างกายก็กระจายตัวออกไปทั่วทุกสารทิศในทันที มันแปรเป็นแสงสีทองสายแล้วสายเล่าบินทะยานไปทั่วทุกทิศทุกทาง…
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รู้ว่าควรจะไล่ตามสายไหนดี รอจนเมื่อหนีออกไปค่อนข้างไกลแล้ว แสงสีทองเหล่านั้นก็ล้วนเคลื่อนที่ในอากาศจากไปจนหมด
“ปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์เสียอยู่บ้าง
ผู้บำเพ็ญทั้งหมดทั่วทั้งสำนักเบื้องล่างต่างก็ตกเข้าสู่เขตลวง ก่อนหน้านี้แม้การต่อสู้จะมีความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดก็ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง มิได้มีลูกหลงกระทบถูกพวกเขาแต่อย่างใด
“ครั้งนี้พบฝูงมารเกราะทองสองตน ตนหนึ่งน่าจะเป็นระดับชั้นที่เก้า ส่วนอีกตนอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง คาดว่าน่าจะเป็นชั้นที่แปดระดับยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบวิเคราะห์ “ตอนเริ่มต้นที่ประมือกับระดับชั้นที่เก้าตนนั้น ก็มิอาจขัดขวางเขาเอาไว้ได้ จนข้าต้องยอมรามือจากเขา แล้วตั้งใจจับฝูงมารเกราะทองที่อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยเหลือสหายไปด้วย”
“เฮ้อ…”
“พูดได้เพียงว่าบุปผาผลาญทำลายของข้านี้ยังมีอานุภาพไม่เพียงพอ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
แม้วิญญาณจะแข็งแกร่งขึ้นมาบ้างแล้ว ระดับขั้นก็สูงขึ้นแล้ว สามารถสำแดงบุปผาผลาญทำลายสามสิบแปดดอกออกมาได้ในครั้งเดียว แต่หากกล่าวว่าบุปผาผลาญทำลายสิบเก้าดอกสามารถคลำถึงปลายขอบของชั้นที่แปดได้ เช่นนั้นบัดนี้บุปผาผลาญทำลายสามสิบแปดดอก…แค่นับได้ว่าเป็นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าอย่างพอถูไถเท่านั้น นี่ยังคงนับได้ว่าเป็นแรงโจมตี ลำพังแค่พูดถึงการพันธนาการเพียงอย่างเดียว…อย่างน้อยก็พันธนาการฝูงมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าไม่ได้เอาเสียเลย
“จนถึงบัดนี้ข้ายังมิได้คิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนท่าที่สามขึ้นมาเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าด้วยความไม่ยอมจำนนเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไร เขาก็จากปราการอากาศมาสองหมื่นกว่าล้านปีแล้ว วันคืนอันยาวนานเช่นนี้ ความคิดจิตใจขอเขากว่าครึ่งก็ล้วนทุ่มเทให้กับบุปผาผลาญทำลายระบวนท่าที่สาม หากสามารถคิดค้นขึ้นมาได้ จึงจะนับได้ว่าเขามีกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าอย่างแท้จริง และไม่ถึงกับอับจนหนทางเมื่อเผชิญกับฝูงมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้า
น่าเสียดายที่มิอาจคิดค้นขึ้นมาได้ตลอดมา
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไปยังสำนักซึ่งอาบไล้ไปด้วยหมอกยามเช้าเบื้องล่าง ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนภายในสำนักต่างก็ยังคงอยู่ในเขตลวง ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บมันกลับไปก่อนจะหายวับไปกลางอากาศ
ผู้บำเพ็ญภายในสำนักแต่ละคนคืนสู่สภาพปกติ ถึงขั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้น เพียงแต่ภายในมีศิษย์บางคนพบว่า…สหายร่วมสำนักหายไปสอง!
……
ตลอดวันคืนที่ไล่ตามตรวจสอบหลังจากนั้น สถานการณ์กลับเลวร้ายจนเห็นได้ชัด
‘อ๋อง’ ผู้หนึ่งถูกพบเข้า ฝูงมารเกราะทองอีกสองคนก็ถูกพบเช่นกัน ซึ่งเป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงออกมา! บรรดาฝูงมารผลาญทำลายก็มิได้โง่งม พวกเขาเดาออกทันทีว่า…ผู้บำเพ็ญ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ซึ่งสามารถสำแดงเขตลวงออกมาทั้งยังสามารถหลบหนีเป็นระยะทางอันไกลโพ้นนั้นกำลังไล่ตรวจสอบพวกเขาอยู่ แน่นอนว่า บรรดา ‘อ๋อง’ ระดับสูงสุดก็ได้ออกคำสั่งไปยังฝูงมารเกราะทองตนอื่นๆ ที่เข้ามากบดาน
เรื่องนี้ก็นำไปสู่…
ในชั่วระยะเวลายาวนานมากหลังจากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้อะไรเลยสักอย่างเดียว แม้แต่ฝูงมารเกราะทองที่กบดานอยู่ก็หาไม่พบแม้แต่ตนเดียว
……
วันคืนล่วงเลยไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงท่องไปตามโลกทิพย์ทั้งสามและอากาศอันสับสนอลหม่าน แม้จะไม่พบร่องรอยของฝูงมารผลาญทำลายอีก แต่คืนวันอันยาวนานก็ทำให้เขาสั่งสมด้านการบำเพ็ญได้แน่นหนามากขึ้น ในวันนี้ เขามาถึงแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่ง แล้วสังหารมารร้ายที่ก่อความวุ่นวายไปทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านไปอย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกับที่เขารับประทานอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ภายในแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้นั่นเอง
เขากินอย่างสุขสำราญใจเป็นอันมาก จากนั้นก็โบกมือตามอำเภอใจคราหนึ่ง ภายในโลกลวงที่ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางด้านข้างก็พลันมีบุปผาเก้าใบดอกหนึ่งรวมตัวกันขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง เขาบำเพ็ญและท่องไปตามที่ต่างๆ และมักจะรับรู้อะไรขึ้นมาในใจบ้างเป็นประจำและได้ลองดูสักตั้ง วันคืนก่อนหน้านี้เขาได้ทดลองไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ครั้งนี้ ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมานั้น ก็สัมผัสได้ถึงความสั่นสะท้านจากขั้วหัวใจ นั่นเป็นความงดงามรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับขั้นรวมเป็นหนึ่งคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่หนึ่งขึ้นมานั่นเอง
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ในชั่วขณะที่สำแดงออกมานั้น แม้จะไม่มอง เขาก็รู้แล้วว่า…สำเร็จแล้ว!
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันกลับไปมอง ภายในโลกลวงด้านข้าง บุปผาเก้าใบสะบัดไหวเปี่ยมชีวิตชีวา งดงามจับตา ครบสมบูรณ์อย่างไร้ที่ติ
………………………………….