ภาคที่ 31 ขั้นอลวน ตอนที่ 28 ประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 28 ประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต โดย Ink Stone_Fantasy

ณ ยอดภูเขาน้ำแข็ง

บนโต๊ะที่สร้างขึ้นจากแผ่นน้ำแข็งที่เฉือนออกมามีอาหารรสเลิศเรียงรายอยู่มากมายซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ ตงป๋อเสวี่ยอิง ‘เคลื่อนย้าย’ มาจากภายในคูเมืองต่างๆ ของแผ่นดินอลหม่าน แน่นอนว่าเขาก็ได้ทิ้งสมบัติล้ำค่าบางอย่างเอาไว้ให้หอสุราเหล่านั้นบ้าง มิให้หอสุราเหล่านั้นขาดทุนเป็นอันขาด

“จุ๊ๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงวางจอกสุราผลึกน้ำแข็งในมือลง พลางมองไปกลางอากาศข้างกาย บุปผาเก้าใบอันวิจิตรงดงามซึ่งก่อตัวขึ้นภายในโลกลวงดอกนั้นแตกต่างกับระดับสามใบหรือหกใบที่เหมือนจะมีการทำลายล้างอันไร้ที่สิ้นสุดแฝงเอาไว้ เมื่อเทียบกันแล้วบุปผาเก้าใบดอกนี้ธรรมดาสามัญกว่ามากทีเดียว

หากรับรู้โดยละเอียดแล้ว…

กลับสามารถสัมผัสได้รางๆ ว่านัยยะที่แฝงอยู่ในบุปผาเก้าใบดอกนี้นั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตเพียงใด ราวกับจักรวาลอันกว้างไกลแห่งหนึ่ง ใช่แล้ว ตามความคาดหมายของตงป๋อเสวี่ยอิง กระบวนท่าที่สามของศาสตร์ลับเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายก็คือ ‘บุปผาเก้าใบ’ ซึ่งเป็นกระบวนท่าท้ายสุด มีบางด้านที่บรรลุถึงระดับขั้นเทพจักรวาลอย่างแท้จริง

“บุปผาดอกหนึ่งก็คือจักรวาลแห่งหนึ่ง หากเดินต่อไปตามทางเส้นนี้ ก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง ก็จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้วจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ “แต่เห็นได้ชัดว่าทางเส้นนี้แทบจะเป็นเส้นทางมรณะก็ว่าได้”

เพราะบุปผาดอกนี้ก่อตัวขึ้นจากการผสานเอาความเร้นของลับวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าเข้าไว้ด้วยกัน

คิดจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลตามทางสายนี้ มีเงื่อนไขของวิถีสองสายสูงยิ่งนัก! สู้ค้นคว้าทางสายเดียวมิได้เลย

วิถีก่อให้เกิดหนึ่ง หนึ่งเกิดสอง สองเกิดสาม สามเกิดหมื่นสรรพสิ่ง…

ทุกสิ่งล้วนมีจุดกำเนิด เมื่อค้นคว้าไปตามทางสายหนึ่ง อย่างเช่นตามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงวางแผนเอาไว้ก็คือค้นคว้าไปตาม ‘วิถีโลกเทียม’ ที่เชี่ยวชาญที่สุด วิถีโลกเทียมก็คือ ‘วิถี’ ใจกลางที่สุด มันก่อให้เกิดหนึ่ง ท้ายที่สุดก็จะทำให้เกิดหมื่นสรรพสิ่งขึ้นมา…หากตอนเริ่มแรกที่บำเพ็ญก็ทับซ้อนกันแล้ว จะหลอมรวมให้สมบูรณ์แบบจนสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ก็ยากยิ่งนัก

เทพจักรวาลทั้งหลายเช่นบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ บุปผาผลาญทำลาย ราชันย์มีดและคนอื่นๆ ล้วนฟันฝ่าอุปสรรคมาตามทางสายหนึ่ง แล้วเดินมุ่งหน้าไปทางจุดที่ไกลที่สุด

ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว

การคิดค้น ‘บุปผาเก้าใบ’ ข้อแรกก็คือคิดค้นท่าไม้ตายที่ร้ายกาจ ทำให้ตนมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกันตนเอง จึงจะสามารถเดินไปตามเส้นทางได้ไกลยิ่งขึ้น ข้อที่สองก็คือเคี่ยวกรำตนเอง ในระหว่างขั้นตอนนี้เป็นการเคี่ยวกรำทั้งจิตใจ วิญญาณและการรับรู้ ทำให้ตนเข้าใจวิถีโลกเทียมได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พื้นฐานก็ย่อมลึกล้ำขึ้นเป็นธรรมดา

“บำเพ็ญมาจวบจนวันนี้ก็แสนล้านกว่าปีแล้ว ในที่สุดก็รู้แจ้งกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าเสียที” บนใบหน้าที่ยังคงอ่อนเยาว์ของตงป๋อเสวี่ยอิงฉายแววซับซ้อนออกมา

กระบวนท่าระดับชั้นที่เก้า

นี่จึงจะเป็นหลักประกันที่แท้จริงของตน เป็นกระบวนท่าที่พอจะสามารถต่อกรกับเทพจักรวาลได้บ้าง

เช่นก่อนหน้านี้ หากพูดถึงวิธีการรุกโจมตีที่ใช้บุปผาหลายดอกซ้อนทับกันแล้ว หากพูดถึงการป้องกัน ระดับเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงกัณฑ์เก้าบวกกับ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ เร้นกายในโลกลวง หลายวิธีผสมผสานกันจึงจะนับได้ว่าเป็นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้า ทั้งยังมีสมบัติลับคุ้มกายอีกสองชิ้น ในด้านการป้องกันจึงนับได้ว่าร้ายกาจอยู่บ้าง เมื่อพบกับฝูงมารเกราะทองที่ค่อนข้างร้ายกาจก็มิอาจสกัดกั้นได้ ครั้งก่อนที่ต่อกรกับเทพจักรวาล ตนอาศัยสมบัติลับฝืนต้านทานล้วนๆ จึงสามารถหนีเอาชีวิตรอดได้ โดยไม่มีแม้แต่วิธีต้านทานเสียด้วยซ้ำไป

“ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกันแล้ว”

มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงเหยียดออกไป บุปผาเก้าใบออกจากความว่างเปล่ามาสู่ความเป็นจริง ทว่ามันร่อนลงมาอย่างเชื่องช้ามากมันค่อยๆ กลายเป็นความจริงทีละคืบๆ พลังฟ้าดินรอบด้านโหมซัดเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนของแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้งุนงงและวุ่นวายใจกันไปหมด ความเคลื่อนไหวใหญ่โตถึงเพียงนี้ หรือจะมีภยันตรายได้กำเนิดขึ้นมาอย่างนั้นหรือ

เพราะถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะสังหารมารร้ายไป และช่วยเหลือแผ่นดินอลหม่านเอาไว้

ผู้บำเพ็ญจำนวนมากต่างก็เร่งเดินทางมายังต้นกำเนิดของพลังฟ้าดินที่โหมซัด พวกเขาทะลุอากาศมา ทว่าเมื่อเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนก็ตกเข้าสู่เขตลวงแล้วเดินกลับไป โดยมิอาจเข้าใกล้ต้นกำเนิดของพลังฟ้าดินที่แท้จริงได้เลย

เวลาถึงครึ่งวัน

เพื่อที่จะไม่ทำให้ผืนดินนี้ถูกลูกหลงเข้า เวลาครึ่งวัน บุปผาเก้าใบจึงร่อนลงสู่ความจริงได้อย่างสมบูรณ์

“ช่างงดงามเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองบุปผาเก้าใบในมือ ใบและดอกตูมนั้นอ่อนราวกับจะหยาดหยดก็มิปาน ภายในหยาดน้ำแต่ละหยดที่หมุนเวียนอยู่นั้นราวกับโลกใบหนึ่ง

“อาศัยสิ่งนี้จึงจะมีคุณสมบัติพอเทียบกับพวกจักรพรรดิสิงหั่วหรือเจ้าลัทธิภาพจิตได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ภายในของบุปผาเก้าใบก็ยุบตัวลงแล้วปรากฏเป็นคูหาสีดำอันบิดเบี้ยวทันที จากนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องงรอย

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็กินอาหารเลิศรสอย่างสุขอุรา เมื่อกินเสร็จก็ลอยล่องจากแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ไป

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าถึงบุปผาเก้าใบแล้วก็ท่องไปทั่วสารทิศต่อไป เหล่ามารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนในบริเวณต่างๆ กลับโชคร้ายอย่างแท้จริง บางครั้งพวกเขายังเก็บตัวบำเพ็ญอยู่ บางครั้งก็กำลังสุขสมกับคนงาม แต่กลับถูกลอบสังหารอย่างเงียบเชียบ เห็นได้ชัดว่าเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นว่าระหว่างทางมีเรื่องไม่ยุติธรรม ก็ลงมือสังหารมารร้ายเสียเลย

นิสัยของเขานั้นไม่สามารถทนเห็นมารร้ายเหล่านั้นได้ มองไม่เห็นก็แล้วไปเถิด แต่หากเห็นเข้าแล้วก็ย่อมต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว!

ดังนั้นฝูงมารผลาญทำลายพบตัวได้ยาก แต่พวกผู้ที่ชั่วร้ายต่างๆ นั้น กลับถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก

“ช่างหายากจริงๆ”

“ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน”

เขาจากปราการอากาศมาได้แปดหมื่นกว่าล้านปีแล้ว นอกจากตอนเพิ่งเริ่มไล่สังหารเท่านั้นที่ได้พบร่องรอยของฝูงมารระดับเทพจักรวาลอยู่ครั้งหนึ่งและร่องรอยของฝูงมารเกราะทองอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็มิได้พบอีก!

“หรือว่าซ่อนอยู่ในสถานที่ซอมซ่ออันไกลโพ้น มิกล้าปรากฏตัวตามขุมอำนาจใหญ่เสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคาดเดา และด้วยการคาดเดานี้เอง เขาจึงได้ไปตามแผ่นดินอลหม่านอันไกลโพ้น หรือไม่ก็ส่วนลึกของเทือกเขาต่างๆ โดยสรุปแล้วเมื่อเขา ‘สอดส่อง’ ผ่านรูทรงกลมหมอกดำแล้วพบว่าบริเวณใดมีสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยรวมตัวกันอยู่ เขาก็จะสำแดงเขตลวงออกไปปกคลุมทันที

หากพุ่งเป้าไปที่ขุมอำนาจใหญ่เท่านั้น

สำหรับป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็ไม่ยากเลย แต่หากเสาะหาไปตามสถานที่ซอมซ่ออันไกลโพ้น ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของอากาศอันสับสนอลหม่าน เกรงว่าต่อให้เป็นล้านล้านปีก็คงทำได้เพียงสำรวจส่วนน้อยอย่างยิ่งเท่านั้น

“นี่คือที่ไหนกัน”

โลกทิพย์นิจนิรันดร์

บนทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวกำลังเดินอยู่กลางทะเลทราย เขาส่องสำรวจบริเวณอันกว้างใหญ่อย่างยิ่งรอบด้านผ่านรูทรงกลมหมอกดำ ด้วยการส่องสำรวจของเขาก็พบทันทีว่า ณ ส่วนลึกของทะเลทราย ที่ส่วนลึกของภูเขารกร้างอันโล่งเตียนซึ่งทอดยาวต่อเนื่องกันนั้น มีราชวังและป้อมปราการที่ดูเหมือนจะธรรมดาสามัญมากแห่งหนึ่งตั้งอยู่  จะมองอย่างไรก็เหมือนจะเป็นเพียงคูหาของผู้บำเพ็ญสักคนเท่านั้น

แต่ด้วยการสำรวจของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว…

กลับพบว่าด้านล่างป้อมปราการกลับทั้งลึกและกว้างใหญ่ เป็นขุมอำนาจที่ใหญ่มากของแถบหนึ่ง

“ไปดูเสียหน่อยดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็เร่งเคลื่อนที่ในพริบตาไปทันที

เขาเคลื่อนที่ในพริบตาอย่างไร้สุ้มเสียง จนเมื่อผู้อื่นพบเข้า ตนก็ไปถึงแล้ว

การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น…โดยทั่วไปก็จะต่อทางเชื่อมไว้ก่อน ถูกคนพบทางเชื่อมอากาศอันบิดเบี้ยวก่อน จากนั้นจึงจะสามารถส่งคนผ่านไปได้ สำหรับผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงแล้ว ชั่วขณะที่สัมผัสรับรู้ความเคลื่อนไหวของ ‘การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ ได้ ก็เพียงพอให้หนีเอาชีวิตรอดได้แล้ว

……

เบื้องล่างของป้อมปราการวังอันธรรมดาสามัญแห่งนี้ กลับมีคูหาสวรรค์แยกออกมาต่างหาก

ใต้ดิน

มีสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตตระหง่านง้ำ ตรงกลางสิ่งก่อสร้างนั้นคือเจดีย์สีดำแห่งหนึ่ง ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างใต้ดินกับวังปราการเหนือผืนดินแห่งนั้น

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ฉวีกวง เจดีย์เป็นตายแห่งนี้ของข้าเป็นอย่างไรบ้างเล่า” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนพูดอย่างได้ใจมาก เขานั่งตรงข้ามกับชายชราผู้หนึ่งพอดิบพอดี เขาร่ำสุราอย่างเป็นสุข ด้านข้างยังมีสาวงามคอยปรนนิบัติอีกด้วย

พวกเขาทั้งสองล้วนสามารถมองลอดผ่านการขัดขวางของผนังเจดีย์สีดำจนเห็นภายในเจดีย์ได้อย่างง่ายดาย

ภายในเจดีย์แห่งนี้ใหญ่โตหาใดเปรียบ มีทั้งหมดสิบแปดชั้นด้วยกัน

ชั้นที่หนึ่งก็คือชั้นที่ต่ำสุด มีผู้บำเพ็ญหลายสิบล้านคนถูกจองจำอยู่ ที่นี่พลังฟ้าดินถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ดำรงชีวิตก็มิได้ดูดซับพลังงานเลยแม้แต่น้อย เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ตกต่ำลงอย่างต้อเนื่องทว่าพวกเขาสามารถเลือกทำ ‘สงครามระหว่างความเป็นความตาย’ ได้ ผู้ที่มีระดับขั้นเดียวกันสองคนสามารถทำสงครามระหว่างความเป็นความตายระหว่างกันได้ หากฝ่ายหนึ่งตายไป  อีกฝ่ายก็สามารถก้าวเข้าสู่ชั้นที่สองได้

ชั้นที่สอง เมื่อเทียบกันแล้วก็มีผู้บำเพ็ญน้อยกว่ามากทีเดียว พวกเขาล้วนเคยผ่านสงครามระหว่างความเป็นความตายมาก่อนจึงสามารถมาถึงที่นี่ได้ คิดจะเข้าสู้ชั้นที่สามน่ะหรือ สงครามระหว่างความเป็นความตาย ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายก็เข้าสู่ชั้นต่อไปได้

ไล่เรียงเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

ชั้นแล้วชั้นเล่าทอดขึ้นสู่ด้านบน

ทั้งหมดรวมสิบแปดชั้น

เมื่ออยู่ในชั้นที่สิบแปด ค่อยทำสงครามระหว่างความเป็นความตายอีกครั้ง ผู้ที่รอดชีวิตก็จะสามารถจากเจดีย์เป็นตายไปได้ตัวเป็นๆ และนี่ก็คือรางวัลที่ ‘ประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต’ มอบให้

“น่าสนใจดี ฮ่าฮ่า น่าสนใจจริงๆ” ชายชราด้านข้างเห็นเข้าก็หัวเราะใหญ่ “เมฆาโลหิต เจ้านี่ช่างมีใจเมตตาจริงๆพวกคนที่ล่วงเกินและรุกล้ำเจ้า เจ้าก็มิได้สังหารทันที ทั้งยังให้ทางรอดแก่พวกเขาสายหนึ่งอีกด้วย”

“การหมุนเวียนจองฟ้าดินนี้มักจะทิ้งทางรอดสักสายเอาไว้ให้อยู่เรื่อย กฎข้าก็ย่อมต้องหมุนเวียนไปเช่นกัน ต้องทิ้งทางรอดไว้ให้พวกเขาสักสาย” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนหัวเราะฮิฮิ

ชายชรากลับลอบร่ำร้องในใจ

ประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต มารร้ายเหล่ากลืนกินตนหนึ่ง ยังตั้งใจเหลือโอกาสรอดชีวิตไว้ด้วยอย่างนั้นหรือ

 ……………………………