ปฏิบัติการคบเพลิง โดย Ink Stone_Fantasy
เช้าวันถัดมาหลังงานแข่งขันกีฬาจบลง ในตอนที่โรแลนด์ก้าวเข้ามาในห้องประชุม เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ พากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพ
“นั่งลงเถอะ” เขาเดินไปยังเก้าอี้ของตัวเอง ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าทุกคนคงจะรู้อยู่แล้วว่าข้าเรียกพวกเจ้ามาทำไม….สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว!”
“นี่ไม่ได้เป็นเกี่ยวพันถึงกองทัพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นับแต่นี้ไป ข้าอยากจะให้ผู้รับผิดชอบของทุกๆ หน่วยงานมีความเข้าใจอย่างคร่าวๆ ในเรื่องทิศทางและสถานการณ์ของสงคราม แล้วก็แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับการทำสงครามในครั้งนี้!” เขาพูดช้าๆ ชัดๆ “ตั้งแต่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก่อตั้งขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ทุกคนต่างทำผลงานได้ดีมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามแห่งโชคชะตา ทุกอย่างที่เราทำมาอาจจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ยึดเอาซากเมืองทาคิลามา หมอกแดงก็จะปกคลุมไปทั่วทั้งทวีป เมื่อถึงตอนนั้นปีศาจก็แข็งแกร่งจนไม่สามารถหยุดมันได้ ดังนั้นศึกครั้งนี้เราต้องชนะเท่านั้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” บารอฟและคนอื่นๆ ตอบรับขึ้นมา
“ดีมาก” โรแลนด์มองไปทางเอดิธส์ “ต่อไปทางหน่วยบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่จะมาอธิบายถึงแนวทางกลยุทธ์ในการทำสงครามอย่างละเอียด”
“เพคะ ฝ่าบาท” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือลุกขึ้นทำความเคารพ “หม่อมฉันขออนุญาตใช้แผนที่ประกอบในการอธิบายนะเพคะ”
เธอเดินไปด้านล่างโรแลนด์ แล้วเคาะไปยังแผนที่ที่อยู่ด้านหลัง หลังผ่านการแก้ไขและเพิ่มเติมมาหลายครั้ง แผนที่นี้ก็แทบจะเก็บรายละเอียดของแผ่นดินรกร้างเอาไว้จนหมด เมืองเนเวอร์วินเทอร์จากที่ตอนแรกเป็นจุดกึ่งกลางของแผนที่ ตอนนี้กลายเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งที่อยู่ริมขอบแผนที่เท่านั้น ไม่ว่าใครได้ดูแผนที่นี้ก็จะรับรู้ได้ถึงความเล็กของที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และนี่ก็เป็นหนึ่งในความตั้งใจเริ่มแรกของโรแลนด์
เขาอยากจะให้เหล่าเสนาบดีของตัวเองมองโลกให้กว้างมากกว่าเดิม ไม่ใช่เอาแต่ลุ่มหลงอยู่กับผลประโยชน์เล็กน้อยของตัวเอง
“อันดับแรก สงครามครั้งนี้จะไม่เหมือนกับสงครามครั้งผ่านๆ มาของเรา มันจะเป็นสงครามที่กินระยะเวลายาวนาน” เอดิธส์พูดตรงๆ “ข้าอยากให้ทุกคนรู้ว่าเราไม่อาจจบสงครามได้อย่างรวดเร็วเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว”
กลยุทธ์บดบังทัศนวิสัยที่เคยใช้ตอนทำศึกนอร์ธบาวด์นั้นไม่สามารถใช้ซ้ำได้แน่นอน ระยะห่างระหว่างป่าเร้นลับกับเมืองทาคิลานั้นไกลกว่าหอสังเกตการณ์ที่ถูกทำลายไปก่อนหน้า เวลาที่ต้องใช้ในการปูรางเหล็กอย่างน้อยๆ ก็เป็นเดือน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ปีศาจจะไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของกองทัพอย่างแน่นอน
บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์อันกว้างใหญ่ ศัตรูมีความได้เปรียบในเรื่องความคล่องตัวที่มากกว่า ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงล้มเลิกความคิดที่จะคว้าชัยชนะจากการลอบโจมตี แล้วเปลี่ยนมาใช้วิธีเคลื่อนทัพไปเผชิญหน้ากับปีศาจตรงๆ
ซึ่งแผนการนี้ทุกคนต่างก็รู้กันอยู่ก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครที่ดูแปลกใจ
มีเพียงบารอฟที่ถามขึ้นมาว่า “อย่างนั้นพวกเจ้าได้ประเมินระยะเวลาเอาไว้หรือเปล่า?”
“นี่ขึ้นอยู่กับการตอบโต้ของปีศาจ” เอดิธส์พูดอย่างไม่ลนลาน “ทางทีมที่ปรึกษาได้วานให้แม่มดทาคิลาจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาหลายครั้ง สมมติว่าปีศาจบุกโจมตีเข้ามาอาทิตย์ละครั้ง อีกทั้งขนาดในการบุกโจมตีของปีศาจในแต่ละครั้งก็มีความใกล้เคียงกับศึกนอร์ธบาวด์ล่ะก็ อย่างนั้นพวกเราก็จะสามารถเอาปืนใหญ่ป้อมไปวางไว้ตรงหน้ามันได้ในเวลา 3 เดือน”
“แต่พวกมันไม่ได้โง่ พวกมันไม่มีทางหลงกลซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก”
“ถูกต้อง ข้าคิดว่าไม่นานปีศาจจะต้องรู้แน่ว่ารางเหล็กมันเอาไว้ทำอะไร แล้วก็สังเกตเห็นถึงป่าเร้นลับที่ตั้งอยู่ด้านหลังด้วย แต่พวกเราก็ไม่ใช่ว่าไม่มีการเตรียมตัว เพราะว่าในสงครามนั้นมีตัวแปรที่ไม่แน่นอนมากมาย ดังนั้นข้าจึงอยากให้ทางสำนักบริหารจัดเตรียมทรัพยากรเอาไว้รับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด”
“สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด…” บารอฟขมวดคิ้วขึ้นมา
“รบกันตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดูหนาว จนกระทั่งเดือนแห่งปีศาจรอบใหม่มาถึง” เอดิธส์ตอบ
“อย่างนั้นมันก็เท่ากับแพ้ไม่ใช่เหรอ?” บารอฟแสยะยิ้มออกมา “นี่ัมันไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาท”
“ขอเพียงไปถอนทัพ สงครามก็ไม่ถือว่าสิ้นสุด อย่างมากก็เรียกได้ว่ายื้อไว้เท่านั้น” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยิ้มเล็กน้อย “เมื่อหิมะละลายในปีถัดไป เราก็บุกต่อ” เมื่อเห็นหัวหน้าสำนักบริหารทำสีหน้าแย่ เธอจึงพูดเสริมต่อว่า “แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์แบบนี้มีไม่สูงนัก เพราะว่าความเร็วในการฟื้นตัวของปีศาจไม่อาจสู้ความเร็วในการผลิตกระสุนได้ ข้าเองก็แค่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น”
บารอฟนิ่งเงียบไปครู่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องการให้รวบรวมเสบียงจากเมืองต่างๆ เพื่อมาเป็นเสบียงสำรอง เมล็ดพันธุ์ทองคำหมายเลขสองได้แจกจ่ายไปทั่วทั้งอาณาจักรแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาด ผลผลิตในปีนี้น่าจะได้ไม่น้อยทีเดียว ถ้าเก็บรวบรวมพวกมันมาก็น่าจะพอให้กองทัพที่หนึ่งได้กินไปปีนึง”
“ไม่มีปัญหา” เซนจ์ ดาลีหัวหน้ากองการเกษตรตอบ “อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายแจ้งไปยังสำนักงานเมืองของแต่ละที่”
“กองอุตสาหกรรมเคมีก็ต้องทำการปรับเปลี่ยนเหมือนกัน” บารอฟพูดต่อ “พยายามผลิตดินปืนและระเบิดให้เพียงพอต่อความต้องการ”
“คนงานก็มีอยู่เท่านี้ นอกเสียจากต้องลดการผลิตน้ำหอมกับสบู่ลง” เคโม ซูอีลหัวหน้ากองอุตสาหกรรมเคมีพูด
“บางทีพวกเราอาจจะยืมตัวนักเล่นแร่แปรธาตุจากอาณาจักรเพื่อนบ้านให้มาช่วยทางเกรย์คาสเซิล…” เขามองไปทางโรแลนด์ “กระหม่อมได้ยินมาว่าที่อาณาจักรดอว์นก็มีการเล่นแร่แปรธาตุเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ที่เมืองกลอรีทั้งหมด แต่ถ้าได้ฝ่าบาทออกหน้า ราชาแห่งดอว์นคนนั้นน่าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเขาคงจะไม่คิดเรื่องระยะเวลาในการยืมตัวนักเล่นแร่แปรธาตุด้วย นอกจากนี้…กองทัพที่หนึ่งยังมีกำลังพลประจำอยู่ที่เคจเมาเธ่นอีกร้อยกว่าคน เช่นนี้เราก็น่าจะยืมตัวนักเล่นแร่แปรธาตุจากอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทและอีเทอร์นอลวินเทอร์มาได้อีกพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามหลักแล้วไม่มีปัญหา” โรแลนด์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เขียนแผนออกมาตามที่เจ้าว่า”
ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกชื่นชมอย่างมาก
ในช่วงแรกของการรวมอาณาจักร เขาเคยคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลา 2 – 3 ปีกว่าปีระบบการปกครองแบบใหม่จะแสดงประสิทธิภาพของมันออกมาได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงความคิดที่ฝังแน่นอยู่ในหัวนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้เคยชินกับกฎเกณฑ์ที่ว่าอำนาจในการตัดสินเรื่องทุกเรื่องในดินแดนจะตกเป็นของผู้นำดินแดน และผู้นำดินแดนแต่ละที่จะไม่ก้าวก่ายกัน การที่จะบอกให้พวกเขาเปิดหูเปิดตาแล้วมองดินแดนอื่นเป็นหมากให้ใช้งานนั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่เขาก็พบว่าตัวเองนั้นประเมินความเย้ายวนของอำนาจต่ำไป
หลังจากที่อำนาจที่อยู่ในมือขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ต่อให้ไม่รู้ถึงแก่นแท้ในการเปลี่ยนแปลงของมัน เขาพวกเขาก็พยายามที่จะใช้มัน บารอฟนั้นคือคนที่ทำมันได้ดีที่สุด
เขาไม่เพียงแต่จะมองเห็นอาณาจักรดอว์น แต่เขายังคิดไปถึงการใช้อิทธิพลของกองทัพที่หนึ่งด้วย ทำให้มีโอกาสในการเอาทรัพยากรมาจากสถานที่ที่อยู่ไกลออกไป
กระทั่งทุกคนคุยกันจบแล้ว เอดิธส์จึงพูดต่อว่า “แต่การทำลายฐานที่มั่นของปีศาจเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ เนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเราจึงจำเป็นต้องพยายามกำจัดศัตรูให้สิ้นซากทั้งหมด ดังนั้นก่อนจะเปิดฉากการโจมตีครั้งสุดท้าย พวกเราจำเป็นต้องตัดทางหนีของศัตรูทั้งหมด ทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน ซึ่งในจุดนี้ก็มีแต่แม่มดเท่านั้นที่ทำได้”
“เหตุผล…บางอย่าง?” บารอฟพูดอย่างงุนงง “การอ้อมไปด้านหลังจะทำให้พวกนางมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ?”
“เพราะว่าคำสาป” โรแลนด์พูดต่อ “ในศัตรูมีปีศาจระดับสูงอยู่ตัวหนึ่งที่สามารถใช้คำสาปเวทมนตร์จากในระยะไกลได้ หลักการใช้งานของมันก็ยังไม่อาจรู้ได้ชัดเจน แต่มีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะคล้ายๆ กับผ้าคลุมดำที่เป็นแม่มดของศาสนจักร ถ้าปล่อยให้มันหนีไปได้ ต่อให้กองทัพที่หนึ่งชนะก็คงชนะโดยมีความเสียหายที่หนักมาก”
ภายในห้องประชุมมีเสียงอุทานตกใจขึ้นมา
เพียงแค่การสบตาก็สามารถสังหารกองทัพที่หนึ่งไปได้ 700 กว่าคน เรียกได้ว่าเป็นความเสียหายที่รุนแรงที่สุดนับแต่ก่อตั้งกองทัพขึ้นมา ทำให้ทุกคนต่างจดจำชื่อผ้าคลุมดำได้เป็นอย่างดี
ถ้าปีศาจสามารถใช้คำสาปผ่านทางดวงตาได้เหมือนกัน อย่างนั้นการกำจัดมันก่อนจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
โรแลนด์มองไลต์นิ่งที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงปลายโต๊ะ ก่อนจะถอนใจออกมา
เขาเดาความรู้สึกภายในใจของอีกฝ่ายออก
การที่ให้พี่น้องคนอื่นๆ ต้องไปเสี่ยงเพื่อตัวเอง ต่อให้คนอื่นไม่ว่าอะไร แต่เธอก็คงจะรู้สึกผิดอย่างมาก
แต่ตอนนี้มันไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
โรแลนด์ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ “สรุปแล้ว เป้าหมายในการออกรบครั้งนี้ก็คือทำลายเสาโอเบลิสก์ให้สิ้นซากก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาจะมาถึงและตัดกำลังในการรบของพวกปีศาจ ปฏิบัติการนี้จะชื่อว่า ‘คบเพลิง’ มันจะเป็นทั้งไฟที่ดับแสงแห่งความหวังของพวกปีศาจและส่องสว่างไปบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ ขอให้ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะขยายเขตแดนให้กับเกรย์คาสเซิล!”
ทุกคนต่างยืนขึ้นทำความเคารพ
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”