TQF:บทที่ 696 ฆ่ากันเอง (2)

 

“ข้าน้อยออกเดินทางได้ทุกเมื่อ แต่แม่นางทั้ง 2 จะเคลื่อนไหวยังไง ให้ข้าน้อยช่วยอำพรางมั้ย”

 

“ไม่ต้องหรอกท่านอาวุโส พวกเรา 2 พี่น้องไปเองได้”

 

“ได้ ข้าน้อยจะรอแม่นางทั้ง 2 อยู่หน้าสำนักมาร” พูดจบขันทีชราก็หายตัวไป รวดเร็วอย่างกระฉับกระเฉง

 

“คุณหนู ท่านเก็บตัวฝึกฝนปิดบังคนอื่นได้ ข้าล่ะจะทำยังไง” หยูเฮงน้อยเบ้ปากถามคนตรงหน้า

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยื่นมือไปขยี้หัวนาง “เจ้าลืมอิทธฤทธิ์ผันเปลี่ยนแล้วรึ”

 

“อ๊ะ จริงสินะ….”

 

หยูเฮงน้อยที่นึกออกในที่สุดตีหัวตัวเองและพูดด้วยความถึงแก่อ้อ “ข้าเปลี่ยนเถาวัลย์ให้เป็นข้าแล้วค่อยเที่ยวเล่นอยู่ในบ้านตระกูลฟางก็จบ แล้วยังสามารถให้เผ่าอสูรคนหนึ่งกลายร่างเป็นคุณหนูเก็บตัวฝึกฝนอยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางรู้เรื่องที่พวกเราไม่ได้อยู่ที่นี่”

 

“ใช่ พวกเราเอาอย่างนี้แหละ เดี๋ยวไปบอกท่านย่าไว้ ให้นางรู้จะดีกว่า จะได้ช่วยเราจัดการกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าด้วย”

 

“ไม่มีปัญหา ข้าจะไปหาฮูหยินฟางเดี๋ยวนี้”

 

2 สาวอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้ฮูหยินฟาง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวห้ามนางไว้ไม่ให้ไปด้วย

 

ไม่ว่ายังไงตระกูลฟางไม่แทรกแซงเรื่องของสำนักมารจะดีกว่า ถึงยังไงนี่ก็ไม่ใช่การวิวาทกันเล็กๆที่ฆ่าแค่คน 2 คนก็แก้ปัญหาได้ การลบล้างนามของสำนักมารไปหมดสิ้นต้องเป็นที่โกลาหลแน่ การที่ตระกูลฟางมีเอี่ยวด้วยไม่ใช่เรื่องดีแน่

 

ไม่นานนักฟางซูหยุนก็เข้าใจและพยักหน้าเห็นด้วยและเตือนให้พวกนางระวังตัว เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วให้รีบกลับมา

 

แม่นางเผ่าอสูรคนหนึ่งใช่อิทธฤทธิ์ผันเปลี่ยนกลายร่างเป็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในตึกเล็ก หยูเฮงน้อยทำให้เถาวัลย์ตัวเองกลายร่างเป็นตัวเองคอยเที่ยวเล่นอยู่ในบ้านตระกูลฟาง

 

ส่วนพวกนางใช้มิติออกจากชิงยางไปสู่สำนักมาร

 

สำนักมารอยู่ที่ขุนเขานอกชิงยางไปร้อยลี้ แม้จะไม่ใช่อิทธิพลชั้นยอดแต่ก็มีลูกศิษย์นับแสนคนได้ ขุนเขาที่เป็นฐานทัพก็กว้างใหญ่หลายสิบลี้ ล้วนเป็นถิ่นของสำนักมารหมด

 

การใช้มิติเดินทางด้วยวิทยายุทธของหยูเฮงน้อย หลายรอยลี้ก็ใช้เวลาเพียง 1 ก้านธูปเท่านั้น

 

เมื่อพวกนางอยู่ในขอบเขตของสำนักมารก็รู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที ทั้ง 2 มองหน้ากันด้วยสีหน้าตะลึง

 

“ทำไมตีกันแล้วล่ะ”

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าตาเฒ่าลงมือแล้วนะ”

 

“ไม่ใช่ ตาเฒ่ายังไม่ได้เข้าไป” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวใช้จิตเทพกวาดไปก็หาเขาพบทันที และเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณหนู เรื่องสนุกมาแล้ว ที่ตีกันอยู่ก็คือสามีภรรยาฟางซูเสวี่ยนั่นเอง”

 

“จริงด้วย ตีกันอยู่จริงๆ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกเหมือนกัน มีรอยยิ้มบางๆอยู่ที่มุมปาก

 

หยูเฮงน้อยพูดอย่างตื่นเต้น “คุณหนูพวกเรารีบไปเร็ว ไปดูเรื่องสนุกๆกัน”

 

“รีบทำไม”

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหลือบมองนาง “พวกเราปล่อยเผ่าอสูรออกไปล้อมโจมตีเหล่าผู้อาวุโสของสำนักมาร พวกลูกศิษย์ธรรมดาปล่อยไว้ได้ ขอแค่เป็นคนระดับผู้อาวุโส ฆ่าไม่เลี่ยง” “ใช่ ต้องล้างบางพวกเขาให้สิ้นซาก” หยูเฮงน้อยหรี่ตาเอ่ยอย่างเหี้ยมโหด

 

“พวกเราหาสักที่ไว้เรียกเผ่าอสูรออกมา ตาเฒ่าเกรงว่าจะเอาไม่อยู่”

 

“พันนึงเลยแล้วกัน”

 

หยูเฮงน้อยขับเคลื่อนมิติมายังยอดเขาไร้คนและสร้างเกราะป้องกันขึ้น ก่อนจะหายตัวออกมาจากมิติ ตามด้วยเผ่าอสูรอีก 1000 ตน และสั่งพวกเขาอย่างละเอียดว่าให้ทำอย่างไรบ้าง

 

หลังจากที่ทั้ง 2 หายตัวไป เผ่าอสูร 1000 คนก็เริ่มเคลื่อนไหวกระจายกันออกไป ล้อมหลายสิบลี้รอบๆนี้ไว้เพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสสำนักมารหนีรอดไปได้

 

ขันทีชรารออยู่ไม่ไกลสำนักมาร และคอยดูภาพการต่อสู้อย่างดุเดือดข้างในสำนักมาร

 

จู่ๆลมปราณอันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น เขารีบหันไปมองก็เห็น 2 สาวเดินออกมาจากอากาศ

 

“แม่นางทั้ง 2” ขันทีชรายังคงให้ความเคารพทั้ง 2 บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยน

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มบางๆ “ท่านอาวุโสรอนานแล้วสินะ”

 

“มิกล้า ข้าน้อยก็เพิ่งมาได้ไม่นาน”

 

ขันทีชราตอบยิ้มๆ สายตามองเข้าไปในสำนักมาร “ข้างในครึกครื้นมาก”

 

“อิอิ ตาเฒ่า พวกเราก็อยากให้พวกเขาครึกครื้นอยู่แล้วนี่ เดิมทีก็จะมาดูเรื่องสนุกๆอยู่แล้ว”

 

หยูเฮงน้อยยิ้มแย้มแจ่มใส พูดด้วยความคึก “ไป พวกเรารีบไปดูกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว”

 

พูดจบร่างเล็กๆของหยูเฮงน้อยก็หายตัวไปต่อหน้าทั้ง 2

 

“แม่นาง เชิญ…” ขันทีชราพูดกับเฉิงเสี่ยวเสี่ยวอย่างนอบน้อม

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองเขาและยิ้ม “ท่านอาวุโส ในเมื่อทุกคนอยู่ด้วยกันก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก”

 

“นี่เป็นเรื่องที่ควรทำ ข้าน้อยอยากให้คุณหนูมอบชื่อให้ข้าน้อย หลังจากนี้คุณหนูเรียกข้าน้อยด้วยชื่อก็พอ” ขันทีชราประสานมือ บอกอย่างจริงใจ

 

“ชื่อ?” เรื่องนี้ทำให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวแปลกใจไม่น้อย อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “ชื่อเดิมของท่านอาวุโสล่ะ”

 

“ชื่อเดิมมันเมื่อนานมาแล้ว ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไร” ขันทีชราส่ายหัวด้วยสีหน้าโศกเศร้า

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองเขาอย่างแปลกใจ เห็นได้ว่าเขาไม่อยากนึกถึงเรื่องในอดีต แต่นางไม่คิดจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นคนรับใช้หรือบริวารจริงๆ จึงเสนอขึ้นอีก “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ท่านอาวุโสตั้งชื่อให้ตัวเองเถิด”

 

“ข้าน้อยติดตามแม่นางทั้ง 2 ย่อมให้แม่นางทั้ง 2 เป็นผู้ตั้งชื่อจะเหมาะสมกว่า คุณหนูมอบชื่อใหม่ให้ข้าน้อยเถิด”

 

ขันทีชรายังคงปฏิเสธ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเห็นความแน่วแน่ในแววตาอีกฝ่ายได้แต่ครุ่นคิด ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองคนตรงหน้าและเอ่ยขึ้น “ท่านอาวุโส พวกเราเรียกท่านว่าอาเฟิงดีกว่า”

 

“อาเฟิง?” ขันทีชราชะงักไปนิดหน่อย มีความซาบซึ้งแว้บผ่านไปในแววตา รู้ว่านางยังเห็นตัวเองเป็นอาวุโส จึงพยักหน้าและเอ่ย “ข้าน้อยเชื่อฟังที่คุณหนูบอก”

 

“อาเฟิงไม่ต้องเกรงใจไป” บอกตามตรงการเรียกคนกันเองว่าท่านอาวุโสเหมือนเรียกคนนอกยังไงยังงั้น เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เห็นด้วยกับการเปลี่ยนคำเรียกขานเขา

 

“คุณหนู เราไปกันเถอะ เดี๋ยวแม่นางหยูเฮงต้องวนกลับมาหาเราอีก”

 

“ได้ ไปเถอะ”

 

คนนึงอยู่หน้าคนนึงตามหลัง ทั้ง 2 ร่างแฝงตัวเข้าไปในสำนักมารแล้วเช่นกัน

 

แม้ว่าสำนักมารจะวางวิชาสะกดไว้กันไม่ให้คนอื่นลอบเข้าไป แต่ถึงวิชาสะกดนี้จะมีผลกับคนทั่วๆไป กับพวกยอดฝีมืออย่างเฉิงเสี่ยวเสี่ยวแล้วไม่ได้มีผลอะไรมากนัก

—————————————–