ตอนที่ 1726 การปรากฏตัวของนักปราชญ์โบราณ

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1726 การปรากฏตัวของนักปราชญ์โบราณ

ฟิ้ววว!

ต้นไม้สูงตระหง่านนั้นโอนเอนเล็กน้อย แล้วทะเลทรายก็หายวับไป ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ ราวกับสิ่งที่พวกเขาได้เห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของจินตนาการ

ความแตกต่างเดียวก็คือเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่ชื่อเป่ยเฟิงหายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว

“เป่ยเฟิงตายแล้วหรือ?”

“รังสีของเขาหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย นี่ร่างของเขากลายเป็นทรายสีเหลืองแล้วจริงๆใช่ไหม?”

“เป็นแบบนั้นได้อย่างไร มันเกิดอะไรขึ้น?”

เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่บริเวณนั้นต่างพรั่นพรึงกับสิ่งที่ได้เห็น มันช่างเหลือเชื่อเสียจนพวกเขาได้แต่จ้องมองด้วยความคลางแคลงใจ

ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ พูดได้ว่าเป่ยเฟิงคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา แต่ทั้งๆที่มีพละกำลังระดับนั้น ก็ยังต้องแหลกสลายกลายเป็นทรายสีเหลืองทันทีที่เริ่มการดวลได้ไม่นาน รากไม้อันนั้นคืออะไร?

ทำไมถึงมีอานุภาพน่าสะพรึงขนาดนี้?

ไม่ใช่เฉพาะเผ่าพันธุ์ปีศาจที่จังงังกับการพลิกผันของสถานการณ์ เซียนดาบชิงเหมิงกับปรมาจารย์คนอื่นๆที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็อึ้งตะลึง

พวกเขาคิดว่าจางเซวียนคงจะรับมือกับเป่ยเฟิงด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะเมื่อถูกห้ามไม่ให้ใช้อสูร ใครจะไปคิดว่าลงท้ายเขาจะเอาชนะการดวลได้อย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิมเสียอีก?

จบการดวลได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 อึดใจ แถมยังไม่ใช่ความตายแบบธรรมดาด้วย ทุกร่องรอยของเป่ยเฟิงถูกลบหายไปอย่างสิ้นเชิง!

“เซวียนเอ๋อ, มัน…” เซียนดาบเหมิงพึมพำอย่างกังวลใจ

“ไม่มีอะไรต้องห่วง ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เป็นแค่ความโชคดีเล็กน้อยที่ผมบอกท่านแม่ก่อนหน้านี้ ผมบังเอิญทำให้รากไม้อันนี้ยอมจำนนได้” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มให้ความมั่นใจ

ถึงรากไม้จะดูน่าสะพรึงแค่ไหน แต่อันที่จริง การรับมือกับมันนั้นง่ายมาก ขอแค่ใครสักคนปิดกั้นจุดชีพจรของเขาไว้และป้องกันไม่ให้ปุยฝ้ายสัมผัสร่างกาย รากไม้ก็ไม่อาจทำอันตรายอีกฝ่ายได้เลย ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ มันเทียบไม่ได้กับ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่เลยด้วยซ้ำ

เซียนดาบเหมิงรู้สึกเจ็บแปลบที่อก

โชคดีเล็กน้อย*?*

ห้าอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก และการสอยนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกคนหนึ่งให้หายสาบสูญไปจากโลกนี้อย่างง่ายดาย*…ถ้าเรื่องแบบนี้ยังเรียกว่าความโชคดีเล็กน้อย แล้วอย่างพวกเราเรียกว่าอะไร?*

พวกเราคงไม่ได้อะไรเลยกระมัง*?*

“กลับมาได้แล้ว!” จางเซวียนสะบัดข้อมือ เก็บรากไม้เข้าสู่รังนางพญามด จากนั้นก็โบกมืออีกครั้ง แล้วคริสตัลเลือดศักดิ์สิทธิ์กับอาวุธของเป่ยเฟิงก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือของเขา

“ในเมื่อผมชนะการดวล ผมก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ” จางเซวียนพูด

เขาไม่ใส่ใจปฏิกิริยาของเผ่าพันธุ์ปีศาจ จางเซวียนเก็บของล้ำค่าทั้ง 2 ชิ้นเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติ

ครืนนนนน!

ทันทีที่เก็บข้าวของเหล่านั้นเสร็จ รังสีอันน่าสะพรึงก็แผ่ไปทั่วทั้งดินแดน ราวกับพายุทอร์นาโดกำลังพุ่งเข้าสู่โลก เกิดรอยแยกปรากฏทั่วไปบนพื้น ทั้งหอใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ใบไม้ร่วง และฤดูหนาวก็เริ่มสั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับพวกมันพร้อมจะพ่ายแพ้ให้กับแรงกดดันหนักหน่วงนั้นได้ทุกเมื่อ

“นี่คือ…พละกำลังของนักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนหรี่ตาขณะรีบเงยหน้ามอง

แต่แรงกดดันนั้นดูจะแผ่ไปทั่วจนเขาไม่สามารถประเมินได้ว่ามันมาจากทิศทางไหน

“ถึงรากไม้อันนี้จะไม่ใช่อสูร แต่ก็มีชีวิตจิตใจของตัวเอง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกมันว่าเป็นอสูรตัวหนึ่งได้ แล้วคุณเรียกสิ่งนี้ว่าการดวลอย่างชอบธรรมหรือ?”

เสียงทรงอำนาจดังก้องไปทั่วพื้นที่

จากนั้น จางเซวียนก็รู้สึกว่าร่างกายตึงเขม็งขึ้นมาทันที ราวกับมีพละกำลังอันน่าทึ่งบางอย่างล็อคตัวเขาไว้และกำลังข่มขู่เอาชีวิต

กร๊อบบบ!

กระดูกของจางเซวียนลั่นกราว ขณะเหงื่อเย็นๆผุดออกจากใบหน้า

เห็นได้ชัดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณมองว่าการกระทำของเขาเป็นการฝ่าฝืนกฎและตัดสินใจจะเข้าโจมตี

“ผู้เฒ่าหยู คุณไม่ได้ยินหรือว่าลูกหลานของผมได้พูดไว้ก่อนแล้วว่าจะใช้รากไม้อันนี้ ซึ่งบริวารของคุณก็ตอบตกลงนี่ คุณคิดจะสร้างปัญหาเพียงเพราะว่าบริวารของคุณพ่ายแพ้ในการดวลอย่างนั้นหรือ? ถ้าคุณปรารถนาการต่อสู้ ก็จะเป็นไปตามนั้น!”

ขณะที่จางเซวียนใกล้จะทนไม่ไหว เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นกลางอากาศ จากนั้น พลังงานที่ให้ความรู้สึกเหมือนสายลมอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิก็โอบล้อมร่างของเขาไว้ ทำให้แรงกดดันหนักหน่วงนั้นหายวับไป

มันเป็นแค่การปะทะระหว่างนักปราชญ์โบราณ แต่คลื่นความสั่นสะเทือนก็ทำให้น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวกรากจนกัดเซาะโขดหิน ดูราวกับว่าแม้แต่พื้นที่ในวิหารแห่งขงจื๊อก็อาจวอดวายได้เพราะพละกำลังของพวกเขา

“นักปราชญ์โบราณของตระกูลจาง?” เมื่อรู้แล้วว่านักปราชญ์โบราณที่เพิ่งปรากฏตัวนั้นเข้าข้างเขา จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก

เท่าที่เห็น ดูเหมือนบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางจะตัดสินใจเปิดการโจมตีเช่นกัน

“ลูกหลานของคุณพูดว่ารากไม้นี้แข็งแกร่งทนทาน แต่ไม่เคยเปิดเผยว่ามันมีความสามารถที่เป็นปริศนาแบบนี้…” เสียงชายที่ถูกเรียกว่าผู้เฒ่าหยูดังก้องไปทั่ว

“ก็ในเมื่อมันเป็นการดวล บริวารของคุณก็ควรจะรู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาจะถูกสังหาร บริวารของคุณโง่เง่าแค่ไหนกัน ถึงคาดหวังให้คู่ต่อสู้ของเขาใช้ไม้ตายอย่างใสสะอาด?” บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางคำราม “อีกอย่าง ถึงรากไม้นี้จะมีความสามารถอันน่าพิศวง แต่สำหรับอาวุธที่บริวารของคุณใช้ก็สามารถใช้คำนี้ได้เช่นกัน!”

“แพ้ก็คือแพ้ หากคุณไม่กล้าหาญพอที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ก็ควรจะยับยั้งบริวารของคุณไม่ให้ตอบรับการดวลตั้งแต่แรก แต่ถ้าคุณอยากแก้แค้นให้บริวารของคุณจริงๆล่ะก็ ทำไมไม่เลิกหดหัวเหมือนเต่าและออกมาเผชิญหน้ากับผมล่ะ? ต่อให้ผมต้องได้รับบาดเจ็บ ผมก็ขอสาบานว่าจะเล่นงานคุณให้ได้!”

“คุณ…” ผู้เฒ่าหยูโมโหจนเสียงสั่น แต่ดูเหมือนเขาจะหวาดกลัวบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางอยู่เล็กน้อย แทนที่จะลากเรื่องให้ยืดยาวต่อไป เขาคำราม “ผมจะไม่ใส่ใจกับการยั่วยุของคุณในวันนี้ แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณจะปกป้องหมอนี่ได้ตลอดไป เขาชื่อจางเซวียนใช่ไหม? ผมจะจำไว้ ผมยังมีโอกาสอีกมากที่จะจบชีวิตของเขาทันทีที่เราออกไปจากวิหารแห่งขงจื๊อ”

“พวกแกน่ะ เลิกอ้าปากค้างและทำตัวงี่เง่าเสียที กลับไปที่โดมเร่าร้อนดั่งไฟและรอเวลาที่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จะเปิด!”

“ขอรับ!” ได้ยินคำสั่งจากบรรพบุรุษเก่าแก่ของพวกเขา เผ่าพันธุ์ปีศาจรีบหันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าไปยังโดม

“เดี๋ยวก่อน!”

ทันทีที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเริ่มล่าถอยกลับสู่โดมเร่าร้อนดั่งไฟ ก็ได้ยินเสียงตวาดก้อง

เสียงนั้นมาจากจางเซวียน

เห็นจางเซวียนกัดไม่ปล่อย เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้นมีสีหน้าเคร่งเครียด “คุณยังคิดจะดวลกับพวกเราอยู่หรือ?”

“ใช่ ผมอยากท้าทายพวกคุณทั้งหมด วางใจเถอะ คราวนี้ผมจะไม่ใช้อสูรหรือรากไม้แล้ว มีใครที่ยังกล้าหาญพอจะเผชิญหน้ากับผมไหม?” จางเซวียน ไม่ได้อารมณ์ดีพอที่จะปล่อยให้ใครสักคนสร้างความกดดันและข่มขู่เขาแล้วจากไปโดยไม่ต้องชดใช้

ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยสังหารนักปราชญ์โบราณเสียหน่อย!

คุณอยากฆ่าผมหรือ*? ได้เลย…นั่งดูก็แล้วกันว่าผมจะเล่นงานบริวารของคุณอย่างไร!*

ถ้าคุณกล้าปรากฏตัว ผมจะขว้างหน้าหนังสือสีทองเข้าใส่และทำให้คุณกลายเป็นนักปราชญ์โบราณตัวที่สองที่ผมได้สังหาร*!*

เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งตั้งคำถามอย่างแคลงใจ “คุณแน่ใจนะ?”

“ถ้าในหมู่พวกคุณไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะรับคำท้าดวล ทั้งๆที่ผมประนีประนอมให้มากมายแล้ว ผมก็ขอแนะให้พวกคุณกลับสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ และอย่าได้มาเสนอหน้าบนทวีปแห่งปรมาจารย์อีก ถ้าพวกคุณขี้ขลาดขนาดนี้ล่ะก็ ไม่มีทางที่จะเป็นภัยคุกคามต่อมวลมนุษย์หรอก!” จางเซวียนคำรามด้วยทีท่าหยิ่งผยอง

“คุณ…” บรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่ใช้ทั้งอสูรและรากไม้?” เสียงของผู้เฒ่าหยูดังขึ้น

“ผมขอสาบานด้วยเกียรติของปรมาจารย์ว่าผมจะใช้เฉพาะพละกำลังและอาวุธของตัวเองเท่านั้น คุณคงไม่หวาดกลัวผมเพียงเพราะผมเป็นนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติที่มีอาวุธหรอกนะ ใช่ไหม?” จางเซวียนเชิดหน้าขึ้นอย่างวางมาด ไม่แสดงความหวาดกลัวให้ผู้เฒ่าหยูเห็นแม้แต่น้อย “แต่ถ้าคุณกำลังจะห้ามไม่ให้ผมใช้อาวุธล่ะก็ ถือเสียว่าผมไม่ได้พูดอะไรเลยก็แล้วกัน!”

“เอาเถอะ! ถ้าอย่างนั้นใช้อาวุธของคุณก็ได้” ผู้เฒ่าหยูคำราม

ก่อนหน้านี้บริวารของเขาก็ใช้อาวุธ ต่อให้จางเซวียนมีอาวุธอันทรงพลังอยู่ในมือ แต่ด้วยระดับวรยุทธอันจำกัด ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก

“มีใครกล้าสู้กับผมไหม?” จางเซวียนชี้นิ้วออกไปและท้าทายอย่างอาจหาญ “ถ้าบริวารของคุณหวาดกลัว ผมก็ไม่รังเกียจนะที่จะให้ทุกคนเข้ามารุมผมพร้อมๆกัน พูดอีกอย่างก็คือ ผมสามารถสู้กับพวกเขาได้จนครบ ถ้าผม, จางเซวียน, แสดงความหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อยล่ะก็ ผมจะถอนตัวจากการเป็นทายาทตระกูลจางเลย!”

“พูดได้ดีนี่ สมกับเป็นคนของตระกูลจางของเรา!” บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางชมเชยด้วยความจริงใจ จากนั้นเขาก็หันไปคำรามใส่เผ่าพันธุ์ปีศาจ “ผู้เฒ่าหยู ลูกหลานของผมอ่อนข้อให้มากแล้ว คุณคงไม่หวาดกลัวเขาหรอกนะ ใช่ไหม?”

“คุณ…” นึกไม่ถึงว่าจะโดนนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติดูถูก ผู้เฒ่าหยูโมโหจนแทบระเบิด “ได้สิ คุณอยากได้อะไรผมก็จะให้ แต่มันจะไม่ใช่แค่การดวลธรรมดานะ จะเป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย พูดอีกอย่างก็คือ การดวลครั้งนี้จะไม่จบจนกว่าหมอนี่จะตาย หรือไม่บริวารของผมก็ตาย คุณกล้ารับคำท้าหรือเปล่า?”

เขาหมดความอดทนแล้วจริงๆ

นับตั้งแต่ได้เป็นนักปราชญ์โบราณ ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาโอหังกับเขา แต่ชายหนุ่มคนนี้อาจหาญเยาะเย้ยเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งมีศักดิ์ศรีอย่างเขาจะยอมรับได้

หมอนี่ครอบครองอสูรทรงพลังและรากไม้ที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน แต่ระดับวรยุทธยังอ่อนด้อย เขาอาจมีวิธีการบางอย่างที่จะรับมือกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน ถึงได้กล้าท้าทายแบบนี้ แต่ผู้เฒ่าหยูก็ไม่เชื่อว่าจะไม่มีบริวารของเขาคนไหนที่ยับยั้งหมอนี่ไม่ได้!

รู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจใช้โอกาสนี้คิดสังหารลูกหลานของเขา บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางคำราม “ผู้เฒ่าหยู คุณก็ช่างมีหน้ามาพูดนะ…”

ขณะที่เขากำลังจะปฏิเสธคำท้า เสียงหนึ่งก็ขัดขึ้น

“ได้สิ ผมรับคำท้าของคุณ!”