งานแกะสลักหิน

 

หลังจากได้ยินซูจิ้งพูดว่ามีสมบัติให้ดูอีกสองชิ้น เฉินฮงและซงเหลารีบผละออกจากไท่ซุ่ยทันที แล้วรีบตามซูจิ้งไปยังห้องๆหนึ่ง ซูจิ้งนำพวกเขาไปที่โต๊ะแล้วเขานั้นได้เปิดกล่องบนโต๊ะออกเผยให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ข้างใน

 

เฉินฮงและซงเหลามองหน้ากันทันทีเมื่อเห็นของข้างในกล่อง พลางสะบัดหน้าและขยี้ตาพร้อมๆ กัน แล้วซงเหลาก็พูดขึ้นมาว่า “ตาฉันฟาดไปใช่ไหม”

 

เฉินฮงตอบมาในทันทีในขณะหายใจถี่รัวด้วยความตื่นเต้นว่า “ถ้าฉันไม่ได้ตาฟาดไปพร้อมนายล่ะก็คิดว่าไม่ใช่นะ”

 

ไม่ทันรู้ตัวทั้งสองไปโผล่อยู่ข้างๆกล่องนั่นเรียบร้อบร้อย ของในกล่องเป็นของที่เดิมทีเหมือนจะเป็นชิ้นเดียวกันแต่แตกออกแบบผ่าครึ่งได้แทบจะกึ่งกลางพอดี

ทั้งสองได้ยกพวกมันขึ้นมาดูคนละครึ่ง รูปร่างแต่เดิมของมันดูเหมือนจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสมีท่อนบนเป็นสีขาวและท่อนล่างเป็นสีเหลือง

โดยตรงกลางมีร่องรายการประสานกันที่ดูเป็นธรรมชาติ เนื้อในมีความโปร่งใสเต็มไปด้วยประกายแวววาวอบอุ่นราวกับหยกก็ไม่ปาน

ทั่วทั้งชิ้นดูใสราวกับน้ำแข็งและคริสตัล แต่กลับสลักไว้ด้วยรวดลายที่ให้ความรู้สึกมีพลังและอบอุ่น

 

ชิ้นที่เฉินฮงถืออยู่นั้นถูกแกะสลักเอาไว้เป็นลวดลายมังกรที่ดูราวกับมีชีวิตพร้อมทั้งส่วนหัวของนกไฟ

อีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในมือซงเหลาถูกแกะสลักเป็นเป็นส่วนที่เหลือของนกไฟ

ถึงแม้มันจะดูมีชีวิตเช่นเดียวกันแต่มันก็ไม่สมบูรณ์เพราะขาดหัวไป

 

ซงเหลาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือออกมาว่า “พระเจ้านี่มันงานแกะสลักหินเหลืองจริงๆด้วย ฉันคิดว่าส่วนที่อยู่บนมือนี่น่าจะหนักสองชั่งได้”

 

เฉินฮงพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ส่วนที่อยู่ในมือของฉันเองก็น่าจะประมาณสองชั่งเหมือนกัน แถมลวดลายช่างวิจิตรจริงๆ”

 

นั่นหมายความว่างานแกะสลักหินเหลืองที่อยู่ในมือพวกเขามีน้ำหนักถึงสี่ชั่งหรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น

 

หินเทียนฮวงโดยส่วนใหญ่เป็นหินก้อนเล็กๆ ถิ่นที่พบมีเฉพาะบริเวณหน้าข้าวรอบแม่น้ำโชวชัน เมืองฟูโจว ที่มันได้ชื่อนี้มาเพราะสีของมันที่เป็นสีเหลือง

 

งานแกะสลักหินเหลืองนี้ถือได้ว่าเป็นของขึ้นชื่อของพื้นที่โชวชันโดยรู้จักกันในนาม “ราชันหมื่นหิน”

ด้วยสัมผัสของหินให้ความรู้สึกดีและสีที่ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นด้วยความรัก

ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ถังได้ได้ยกให้หินนี้เป็น “ราชันแห่งหิน” เป็นเวลานับร้อยปี หินเทียนฮวงนี้ได้รับความนิยมสำหรับนักสะสมอย่างมาก จนทำให้เกิดคำพูดที่ว่า “ทองน่ะหาง่าย แต่หินเทียนฮวงสิหายาก”

ด้วยความนิยมนี้ทำให้เกิดการค้นหาหินเทียนฮวงอย่างจริงจัง จนทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นสูง

โดยเฉพาะกับหินเทียนฮวงที่ได้รับการแกะสลักแล้ว(เทียนฮวงชิ,งานแกะสลักหินเหลือง)

วิธีการขายถ้าพวกมันเป็นหินที่มีคุณภาพสูงจะใช้วิธีการชั่งน้ำหนักเช่นเดียวกับหินโทแพซ

และยิ่งนำหินมาแกะสลักด้วยแล้วราคาก็จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก

 

ในปี 2012 ราคาของงานแกะสลักหินเหลืองยิ่งทะยานสูงมากขึ้น ราคาต่อ 1 กรัมอยู่ที่ 8 พันถึง 1 หมื่นหยวน สำหรับราคาทั่วไป และ ราคา 2 หมื่นหยวนต่อ 1 กรัมสำหรับงานที่ทำมาจากหินคุณภาพสูง

ส่วนตอนนี้นั้นราคาสำหรับงานแกะสลักหินเหลืองนี้พุ่งเกิน 5 หมื่นหยวนต่อ 1 กรัมไปเรียบร้อยแล้วและราคาอาจสูงกว่านี้ถ้าเป็นงานแกะสลักหินเหลืองขนาดใหญ่ ซึ่งตอนนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว

เคยมีคนนำงานแกะสลักหินเหลืองไปประมูลที่โรงประมูลในเมืองฝอซานโดยมีน้ำหนักเพียง 432 กรัม แต่ถูกประมูลไปในราคากว่า 4 ล้านหยวน

อีกครั้งในเทศกาลงานประมูลในฤดูใบไม้ผลิที่เมืองเบ่ยจิง งานแกะสลักหินเหลืองที่ถูกแกะโดย วูจางชัว ถูกประมูลไปที่ 13.8 ล้านหยวน และยังเคยมีชิ้นอื่นที่มีน้ำหนัก 1,725 กรัม ถูกประมูลไปในราคา 392 ล้านหยวน

 

ทั้ง 3 ชิ้นมีปัจจัยที่ทำให้ราคาต่างกันอย่างเด่นชัดคือ คุณภาพหิน ลวดลาย และช่างแกะสลัก

 

ไม่ต้องพูดถึงงานแกะสลักหินเหลืองที่อยู่ตรงหน้าของทั้งสองคนในตอนนี้แค่คุณภาพก็ไม่มีชิ้นไหนสู้ได้แล้ว

เรื่องขนาดทั้งซงเหลาและเฉินฮงไม่เคยเห็นงานแกะสลักหินเหลืองที่ขนาดใหญ่และหนักเท่านี้มาก่อน ขนาดของมันยังใหญ่กว่าชิ้นที่ขายไปได้ 392 ล้านหยวนอยู่มากโข

ถึงแม้ว่ามันจะแตกออกจากกันแต่น้ำหนักต่ออันก็ยังมากกว่า 1000 กรัมแน่ๆ ถือได้ว่าหาได้ยากมาก

ลวดลายการแกะสลักยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะมีความวิจิตรประดุจดั่งใส่มังกรและนกไฟที่มีชีวิตที่พร้อมจะโผบินได้ทุกเวลาไปไว้ในหินก้อนนี้ก็ไม่ปาน

พวกเขาไม่เคยเห็นฝึมือการแกะสลักแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต

 

เฉินฮงรู้สึกเศร้าเสียดายจุกอกจนต้องพูดออกมาว่า “พระเจ้า ใครกันที่กล้าทำลายผลงานปะติมากรรมชั้นเลิศได้อย่างนี้ ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว”

 

“ช่างมันเถอะเรื่องมันผ่านไปแล้ว ถึงมันจะหักแต่มันก็ยังได้ราคาสูงอยู่ดี

อย่างชิ้นที่นายถืออยู่ถ้านำไปตัดออกซะหน่อยก็เป็นมังกรสมบูรณ์ได้เลยนะ เอาไปบอกว่าเป็นงานชิ้นสมบูรณ์ก็ยังมีคนเชื่อ เอาจริงต่อให้ใช้กาวต่อมันเข้าด้วยกันฉันก็เชื่อว่าไม่มีปัญหาแน่นอน ไม่สิต้องบอกว่ายิ่งทำให้สมบูรณ์ดูดีกว่าเดิมขึ้นด้วยซ้ำ

ว่าแต่คูณซูคุณไปได้งานแกะหินเหลืองนี่มาจากไหนครับ แล้วมันแตกได้ยังไงกัน”

 

“ถ้าให้พูดตรงๆผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนขายบังเอิญทำแตก หรือไม่ก็เขาไม่อยากจะขายก็ได้”

 

เฉินฮงพูดต่อว่า “ต่อให้เจ้านี่แตกก็ไม่เป็นไรเพราะยังไงก็ยังมีราคา แถมราคายังดีซะด้วย

ว่าแต่คุณซูคุณคิดจะขายในโรงประมูลจริงๆอย่างนั้นหรอครับ

เจ้างานแกะสลักหินเหลืองสองชิ้นนี่ดึงดูดความสนใจได้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

ว่าแต่ขอถามอีกครั้งนะว่าคุณอยากจะขายมันจริงๆ งั้นหรอ เจ้าสมบัติที่แทบจะซื้อด้วยเงินไม่ได้นี้น่ะ”

 

ซูจิ้งยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมจะไม่ล่ะ”

 

ถ้าให้พูดตรงๆซูจิ้งเองก็ค่อนข้างจะเสียดายงานแกะสลักนี้อยู่หน่อยๆ เหมือนกัน

แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรถ้าเทียบกับการที่เข้าต้องหาเงินในการนำมาสร้างปฏิสสาร ยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ และเหนือสิ่งอื่นใดคือการอำพราง

ตราบใดที่เขายังสามารถปกป้องและคอยดูแลเจ้าสถานีฯนี้ต่อไปได้ สมบัติที่เขาจะได้มาก็จะหลั่งไหลเข้ามาหาเขาไม่ขาดสายอย่างแน่นอน

แต่ถ้าเขาดูแลได้ไม่ดีหรือปกป้องไว้ไม่ได้ ทุกสิ่งที่เขามีอยู่ตอนนี้จะหายวับไปในพริบตา

 

เอาจริงเจ้างานแกะสลักหินเหลืองสองชิ้นนี้เขาเองก็เพิ่งได้มาจากขยะห้วงเวลฯเรื่องจูเซียนเมื่อวานนี้

เท่าที่เขาดูน่าจะมาจากสำนักเมฆาเขียวอีกเช่นกัน เพราะสำหรับบนโลกมนุษย์และงานแกะหินเหลืองนี้เป็นที่นิยม แต่กลับในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนนั้นไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับตกแต่งบ้านเรือนทั่วไป

แค่มีเงินนิดหน่อยก็หาซื้อได้แล้ว สำหรับในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนนั้น ผู้คนทั่วไปก็อาจจะเห็นว่าเงินมีคุณค่าอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับผู้ฝึกตนของสำนักสิ่งที่มีค่าที่สุดก็คืออาวุธวิเศษ(อาวุธเวทย์มนต์)เพียงอย่างเดียวเท่านั้นโดยไม่สนแม้กระทั่งเงินทองเสียด้วยซ้ำ

อาจเป็นไปได้ว่ามีผู้ฝึกตนบางคนนึกสนุกหยิบหินเหลืองมาแกะสลักเล่นแล้วทำแตกเลยโยนทิ้งมาก็ได้”

 

“นี่คุณรู้คุณค่าของเจ้าสิ่งนี้รึเปล่าเนี่ย” หลังจากได้ยินที่ซูจิ้งตอบมานั้นทำให้เฉินฮงแทบอยากจะเข้าไปบีบคอตะโกนใส่หน้าซูจิ้ง

เจ้าหมอนี่มีสมบัติในมือมากมายแต่ไม่ได้มีความใส่ใจเลยซักนิด ถึงขนาดที่ค่าของมันยังเอาเงินมาแลกไม่ได้ด้วยซ้ำ

นี่เขาไม่รู้ๆจริงหรอเนี่ยว่าพวกมันทำอะไรได้บ้าง ถ้าคนทั่วไปก็คงจะเก็บมันไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ถ้าไม่ได้ขัดสนหรือหมดหนทางจริงๆ จะไม่มีทางเอามาขายแน่นอน

 

“คุณซู พูดตรงๆนะสมบัติแบบนี้คุณควรจะเก็บซ่อนมันไว้มากกว่า

อย่างรูปแกะสลักที่ไม่สามารถเอาเงินมาแลกได้แบบนี้” ซงเหลาเองก็เห็นด้วยเหมือนกัน

ถ้าเขามีของพวกนี้อยู่กับตัวเขาจะไม่ยอมขายมันต่อให้โดนฆ่าตายก็ยอม

มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทันทีที่ซูจิ้งบอกขายพวกมัน ถ้าเขามีเงินมากพอเขายอมทุ่มหมดตัวที่จะได้มันมาครองเลยทีเดียว

แต่ด้วยคุณลักษณะของมันแล้วต่อให้เขาใช้เงินหมดทั้งชีวิตก็ไม่มีทางซื้อมันมาไว้ครอบครองได้แน่นอน

 

“พวกคุณอย่ามาพยายามเปลี่ยนใจผมเลยน่า ผมตั้งใจไว้อย่างนั้นแล้ว

ว่าแต่ดูจากสภาพและน้ำเสียงเหมือนพวกคุณเองก็อยากได้เจ้านี่ไปครอบครองเหมือนกันนะเนี่ย

สนใจรับข้อเสนอของผมหรือยังหล่ะ” ซูจิ้งหัวเราะออกมานั่นทำให้เฉินฮงและซงเหลาอยากจะบีบคอซูจิ้งซะตรงนั้นเลยทีเดียวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

นี่เขาไม่รู้วิธีที่จะจัดการสมบัติหรือไงนะ หรือว่าเขาแค่เห็นเงินอยู่ในสายตาเท่านั้น

ถ้าของนี่หลุดไปวางในโรงประมูลจริงๆล่ะก็ มันไม่แค่จะทำให้ทุกคนสนใจและจะทำให้วงการนักสะสมแตกตื่นทั้งวงการเลยด้วยซ้ำ

 

“เอาล่ะ ต่อไปก็ชิ้นสุดท้าย พวกคุณเองก็มาดูมันก่อนดีกว่า ปล่อยเจ้าสองชิ้นนั้นไว้อย่างนั้นแหล่ะ

ผมเองก็ไม่แน่ใจเจ้าของชิ้นสุดท้ายนี่เหมือนกันว่าจะทำให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง”

ซูจิ้งพูดพร้อมเอื้อมไปเพื่อนจะเปิดกล่องที่วางอยู่ข้างๆ

 

“เดี๋ยวๆๆๆ ขอพวกเราหยุดพักหายใจก่อนเถอะนะ” เฉินฮงและซงเหลารีบนำมือไปตบบนกล่องพร้อมนำมืออีกข้างนึงมาทาบอกก่อนสูดลมหายใจยาวๆพักนึง

แค่สมบัติสองชิ้นแรกก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงและตกใจสุดๆแล้ว ต่อให้เป็นผีก็ยังรู้เลยว่าชิ้นที่เหลือย่อมไม่ธรรมดา ดีไม่ดีจะยิ่งกว่าด้วย

สิ่งที่พวกเขากังวลไม่ใช่การที่จะไม่ได้เห็นของดีแต่เป็นที่กลัวว่าโรคหัวใจจะกำเริบมากกว่า