นักประเมินผู้บ้าคลั่ง

 

เมื่อซูจิ้งเห็นทั้งเฉินฮงและซงหลงกำลังยืดเส้นยืดสายหายใจเข้าออกเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ เขานั้นก็ทำได้แค่มองตาปริบๆ ซักพักพอทั้งสองคิดว่าพร้อมที่จะเผชิญหน้าสิ่งที่เหลือแล้ว หนึ่งในนั้นทำท่าช่างใจอีกสักนิดก่อนที่จะบอกออกมาว่า “โอเค พวกผมพร้อมแล้วเปิดได้เลย” ถึงแม้จะพูดอย่างนั้นแต่ท่าทางของพวกเขาไม่ได้ดูดีขึ้นเลยซักเท่าไหร่ พวกเขาเองก็ย้อนไปคำพูดซูจิ้งก่อนหน้านี้ว่าเป็นไปได้ที่ของข้างในนี้ซูจิ้งเองก็อาจไม่รู้ว่ามันจะสุดยอดอีกรึเปล่าแสดงว่าอาจไม่ใช่ของดีนัก ถึงแม้จะไม่ใช่ของดีแต่ด้วยของสองอย่างก่อนหน้านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนในวงการนักสะสมวัตถุโบราณต้องดิ้นพร่านแล้ว คงไม่มีอะไรสุดยอดไปกว่านี้แล้วหล่ะ

 

ซูจิ้งค่อยๆเปิดกล่องออกอย่างช้าๆ ทั้งสองคนจึงเพ่งมองเข้าไปในกล่องอย่างตั้งใจ แต่ทันทีที่เห็นมันเผยโฉมออกมาแต่หน้าพวกเขาทีละน้อย หน้าพวกเขาเองก็ค่อยเปลี่ยนสีหน้าเช่นกัน ค่อยแสดงความตะลึงออกมาทีละน้อยจนนิ่งค้างไป ถึงตอนแวบแรกที่พวกเชาเห็นมันจะดูเหมือนหินทรงวงรีทั่วไป สีของมันมีทั้งโทนขาวไปยังเทา มีรอยแตกอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ดูวิเศษวิโสอะไร แต่ไม่นานนักผู้เฒ่านักประเมินทั้งสองดูแปลกๆ ไปอย่างสิ้นเชิง ซูจิ้งก็ยังนึกตกใจว่านี่สายตาของเขาพลาดไปแล้วใช่รึเปล่า ตอนแรกเขาเองนึกว่าสิ่งนี้จะสุดยอดกว่าไท่ซุ่ยและงานแกะสลักหินเหลือง แต่ดูจากท่าทางของทั้งสองคนแล้วสงสัยเขาจะพลาดไปจริงๆ

 

ผู้อาวุโสนักประเมินทั้งสองค่อยเข้าไปจับหินก้อนนั้นอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ มันให้ความรู้สึกเหมือนคนพวกนี้กำลังตั้งท่าเตรียมพร้อมโดนถ่ายรูปเพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ดูดีที่สุด เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีกล้องถ่ายรูปมาตั้งแต่ภาพที่ซูจิ้งเห็นให้ความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาเหมือนจะพยายามคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว บางช่วงหันมาสบตากันแล้วก็เปลี่ยนมุมหินไปทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่พูดอะไรกันเลย ทันใดนั้นทั้งคู่ก็แสดงให้เห็นท่าทางบางอย่างเหมือนตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง พร้อมทั้งทำตาเบิกโพลงขึ้นมา ตอนนี้เหมือนเขาจะหยุดหายใจไปแล้วด้วย ไม่นานนักปากของเฉินฮงก็ขยับพร้อมพูดพึมพำออกมาว่า “นี่ เจ้านี่ของเลียนแบบ ไม่สิไม่น่าใช่แต่ก็ไม่น่าเป็นของจริงได้”

 

“ต้องของปลอมแน่ๆ ไม่มีทางเป็นของจริงได้ไม่มีทาง ถึงจะทำมาได้ดูแนบเนียนมากแต่ก็เท่านั้น เกือบหลอกพวกเราได้แล้วจริงๆสินะ” ซงเหลาเอ่ยพึมพำออกมาเช่นกัน แต่ใบหน้าของเขาไม่ได้เหมือนกับที่ปากพูดเลยซักนิด หน้าตาของเขาตอนนี้เชื่อไปแล้วเกินร้อยว่าเป็นของจริง

 

เฉินฮงเองก็มองไปที่ซงเหลาพร้อมพูดแบบไม่ค่อยอยากเชื่อคำพูดของตัวเองออกมาว่า “ใช่ๆ มันต้องเป็นของปลอมแน่ ฉันเองก็เกือบจะโดนหลอกด้วยเหมือนกัน”

 

แต่ซูจิ้งกลับยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วก็พูดออกมาทันทีว่า “จากเท่าที่มองพวกคุณนะ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าควรจะเชื่อคำพูดหรือท่าทางของพวกคุณดี เอาเป็นอย่างนี้ดีกว่า ผมให้โอกาสคุณดูใกล้ๆดีๆอีกซักหน่อยแล้วลองบอกให้ได้เต็มทีว่ามันเป็นของจริงหรือของปลอม” ผู้อาวุโสนักประเมินทั้งสองมีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาแทบจะไม่เชื่อที่จะได้ยินจากปากของซูจิ้งว่ายอมให้พวกเขาดู “หิน” ให้ดีๆอีกรอบ ตอนนี้พวกเขาได้ใช้อาวุธ(อุปกรณ์)ทุกอย่างที่มีที่เคยใช้มาตลอดทั้งชีวิตในการพิสูจน์เจ้าหินก้อนนี้ ยิ่งพวกเขาดูยิ่งหายใจแรงขึ้น ยิ่งเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่

 

สุดท้ายเฉินฮงเองก็ยังไม่ยอมเชื่อในสายตาตัวเองอยู่ดีพร้อมพูดออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ มันจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

 

เฒ่าซงเองซึ่งตอนนี้หน้าตาของเขาเป็นสีแดงเพราะเลือดลมสูบฉีดด้วยความตื่นเต้นนั้นก็ได้ถามซูจิ้งออกมาตรงๆว่า “คุณซู คุณจะบอกผมว่าสิ่งนี้คือฟอสซิลกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งของจริงอย่างงั้นหรอ”

 

เจ้าหินก้อนนี้จริงๆแล้วคือฟอสซิลถ้ามองผ่านๆมันดูเหมือนทั้งกะโหลกมนุษย์แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว จะเป็นกะโหลกลิงก็ไม่เชิง เหมือนมันผสมปนๆกันระหว่างมนุษย์กับลิงมากกว่า

 

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1941 นักโบราณคดีได้ขุดค้นถ้ำๆ หนึ่งในโจวโค่วเตี้ยนซึ่งอยู่ภายใต้เขตการปกครองของปักกิ่ง นักโบราณคดีคนนั้นได้ค้นพบชิ้นส่วนกะโหลกของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจำนวนกว่า 199 ชิ้นซึ่งมีอายุประมาณ 6 แสนปี(ขอแก้ให้ตรงตามเหตุการณ์จริงในวิกีพีเดีย)  กะโหลกนั้นต่อมาถูกเรียกว่ามนุษย์ปักกิ่ง และเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในนาม “มนุษย์ลิงสายพันธุ์ปักกิ่ง” ซึ่งตอนนี้ได้ถูกเรียกบ่อยๆในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “ปักกิ่งโฮโมอิเลกทัส” ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคพาลีโอลีติก ซึ่งในปีที่ค้นพบนั้น จีนต้องยอมให้ทหารเรือสหรัฐบังคับยืมไปศึกษาต่อที่อเมริกาแต่ในระหว่างขนส่งได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เหล่าทหารอเมริกาที่รับหน้าที่ขนส่งได้ถูกทหารญี่ปุ่นจับตัวไป หลังจากนั้นไม่เคยมีใครเห็นมันอีกเลย

 

การค้นพบที่พักและฟอซซิลของมนุษย์ปักกิ่ง

มันคือเหตุการณ์การค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในโลก เหนือสิ่งอื่นใดยังเป็นการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญบนโลกใบนี้นั่นก็คือ มนุษย์ปักกิ่งเป็นรอยแต่แห่งวิวัฒนาการที่ขาดหายไประหว่างลิงและมนุษย์ จากลักษณะทางบรรพชีวินวิทยาชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ปักกิ่งนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นลิงและก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ อยู่ระหว่างกลางของทั้งสองสายพันธุ์จนเป็นที่รู้จักกันในนาม “หลักฐานของห่วงโซ่ที่หายไปในวิวัฒนาการมนุษย์” ซึ่งก็คือมนุษย์ปักกิ่งตนนี้

 

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุการณ์ที่ว่านี้ได้ทำให้กระโหลกมนุษย์ปักกิ่งที่ถูกขุดขี้นมาโดยเป่ยเหวินต้องสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นการสูญหายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แม้แต่มีการทุ่มกำลังค้นหาจนถึงปลายทศวรรษที่ 50 ก็ยังไม่พบร่องรอย ถึงแม้ในปัจจุบันก็ยังมีการพยายามติดตามกลับคืนมาก็ตาม

 

ซึ่ง ณ ตอนนี้หนึ่งในห้าหัวกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งได้ปรากฎอยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงซูจิ้งจะยืนยันว่าเป็นของจริงแท้แน่นอนก็ตามจะให้ทั้งสองคนเชื่อได้ยังไง ของสิ่งนี้ถ้าเอาไปเทียบกับไท่ซุ่ยหรืองานแกะสลักหินเหลืองแล้วทั้งสองอย่างนั้นไร้ค่าไปโดยปริยาย

 

ซูจิ้งใช้นิ้วเกาจมูกตัวเองพร้อมพูดว่า “ผมพูดตรงๆเลยนะ ผมรู้แค่ว่ามันเป็นฟอสซิลของจริงเท่านั้นเองแต่มันเป็นกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งจริงๆรึเปล่านั้นผมก็ไม่แน่ใจ ผมถึงยอมเอามาให้พวกคุณดูนี่แหล่ะ” ซูจิ้งเล่าเรื่องจริงปนโกหกออกไป กระโหลกลิงนี่จริงๆแล้วเขาขุดออกมาจากขยะห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนอีกนั่นแหล่ะ ในเรื่องจูเซียนนั้นมันไม่ใช่กระโหลกของสัตว์ที่อยู่ระหว่างการวิวัฒน์ระหว่างลิงและมนุษย์แบบบนโลก แต่มันคือกระโหลกของมนุษย์ลิงจริงๆ(คล้ายๆพวกบิ๊กฟุตแต่เล็กกว่า ในเกมจูเซียนเรียกมนุษย์ถ้ำ)บนห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียน

 

สำหรับบนโลกแล้วกระโหลกนี้มีความสำคัญอย่างมากแต่ในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนนั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย

พวกมันคือหนึ่งในสัตว์ประหลาดในเทพนิยายหรือตำนานของจีนปรากฎออกมาแทบจะเป็นว่าเล่น

ในโลกที่มีแม้แต่สมบัติวิเศษ หรือมีกระทั่งเทพและมารที่เข่นฆ่ากันได้ทุกวี่วัน คนบนโลกนั้นใครจะมาคอยนั่งสนใจเรื่องพวกนี้ แค่เอาตัวรอดในแต่ละวันได้ก็ดีแล้ว

ที่มันมาโผล่ในขยะห้วงเวลาฯได้ก็อาจจะเป็นมีใครบางคนไปเจอแล้วรู้สึกว่ามันเก๋ดีเลยเอามาประดับบ้าน พอเบื่อก็คงโยนทิ้งออกมา

ตอนแรกซูจิ้งก็ไม่เชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน เขาถึงกับต้องขูดผิวให้เป็นผงแล้วนำไปให้โจวซีเชียนและเย่โปไปตรวจ ซึ่งผลออกมากลายเป็นว่ามันเป็นฟอสซิลอายุกว่า 6 แสนปี ยังดีที่เขาไม่ได้เอาไปทั้งหัวกระโหลกไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาไม่มีทางได้มันคืนอย่างแน่นอน

 

“ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดต้องเป็นของปลอมแน่ๆ มันต้องใช้เทคนิคที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน” เฉินฮงพูดพลางส่ายหัว

“ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน คุณซูไปได้มันมาจากไหนกันแน่” ซงหลงถามออกมาด้วยน้ำเสียแบบเหลืออด

 

“ฉันได้มาเพราะโอกาสอำนวยน่ะ ถ้ามันเป็นของจริงคุณว่าพอจะนำไปประมูลได้รึเปล่าหล่ะ” ซูจิ้งถามแบบทีเล่นทีจริง

 

“ถ้า ถ้ามันเป็นของจริง เราไม่ควรนำมันไปประมูลอย่างแน่นอน มันคือสมบัติของชาติที่สูญหายไปนะ ถ้าคุณนำไปประมูลบอกได้เลยว่าคุณต้องเจอปัญหาเข้ามาเล่นงานแบบไม่ต้องนับเลย

สำหรับทางเลือกอื่นที่เราพอทำได้ซึ่งควรจะเป็นทางเดียวด้วยในฐานะคุณเป็นคนจีนคุณควรส่งคืนแบบไม่มีข้อแม้ใดๆ และทำแบบระมัดระวังอย่างที่สุด

ถึงแม้สมบัติอย่างอื่นเป็นอะไรก็ยังพออนุโลมได้แต่เจ้านี่ กับเจ้ากะโหลกนี่ถ้ามันหล่น แตก หรือเสียหาย จะเป็นตราบาปติดตัวคุณไปตลอดชีวิต”

 

“ฮ่าฮ่า โอเคงั้นฉันจะบอกไปก็แล้วกันว่าไม่ใช่ของจริง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ความจริงเขาก็นึกปัญหาที่จะตามมาคร่าวๆไว้แล้วถ้าเกิดนำมันไปประมูลจริงๆ

แต่พอฟังจากน้ำเสียผู้อาวุโสทั้งสองแล้วน่าจะหนักกว่าที่เขาคิดไปเยอะเลย

ถึงมันอาจจะทำให้เขาเผชิญปัญหาใหญ่ไปบ้างแต่เขาก็ยังไม่คิดจะเอากะโหลกนี้ไปส่งคืนให้พิพิธภัณฑ์ในจีนทันที

เขาอยากนำมันไปประชาสัมพันธ์โรงประมูลของเขาก่อน

 

“เฮ้อออออ ไม่ใช่ของจริง จริงๆซินะ ว่าแต่ที่คุณบอกว่ามันไม่ใช่ของจริงนี่คุณได้ทดสอบมันแล้วใช่ไหม” ผู้เฒ่านักประเมินทั้งสองถึงจะบอกว่าไม่เชื่อว่าเป็นของจริงก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจที่ซูจิ้งบอกว่ามันเป็นของปลอม

 

“อ๋อ ลองแล้วสิ ผมขูดเอาผงของมันไปให้นักโบราณคดีที่สถาบันโบราณคดีตรวจสอบดูแล้ว

พวกเขาบอกแค่ว่ามันมีอายุ 6 แสนปีแค่นั้นเองผมถึงบอกว่ารู้แค่ว่ามันเป็นฟอสซิลไง” ซูจิ้งพูดออกไปพร้อมหันไปเหมือนเตรียมตัวจะทำอะไรบางอย่างปล่อยให้เฒ่านักประเมินทั้งสองนิ่ง อึ้ง ไม่ไหวติง จนแทบจะคิดว่าทั้งสองหมดสติในท่ายืนไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่ใช่ของจริงกะผีน่ะสิ นี่เขายังกล้าบอกว่ามันไม่ใช่ของจริงอีกหรอ บ้า บ้า บ้าไปแล้ว บ้าแน่ๆ