บทที่ 82 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 82 จื่อจวีหานซื่อ (2)
ถังเฉิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเหลือบมองถังเสวี่ยเงียบๆ จากนั้นก็เดินไปด้านหน้าลั่วจื่อหานพร้อมรอยยิ้ม “เสียวเสวี่ยทำอะไรให้ประธานลั่วไม่พอใจหรือเปล่า ผมจะต้องลงโทษเขาแน่นอน เสียวเสวี่ยยังเด็ก ถ้าทำอะไรผิดตรงไหนก็ควรเห็นแก่เหตุและผล ประธานลั่วจะโมโหเพราะเรื่องเล็กๆ มันไม่คุ้มค่าหรอก”
“เรื่องเล็ก? นายต้องเห็นจริงๆ ว่าปกติน้องสาวนายทำ ‘เรื่องเล็ก’ อะไรบ้าง”
“ประธานลั่ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ โทรศัพท์มือถือของลั่วจื่อหานก็ดังขึ้น เขาชำเลืองมองหน้าจอก็วางลงไม่ได้สนใจอีก
“ประธานลั่ว โทรศัพท์มือถือของคุณดังตลอดเลย หรือว่ามีเรื่องด่วนอะไร?”
“ไม่ด่วน ดูว่านายจะสั่งสองน้องสาวแสนดีของนายยังไงต่างหากถึงจะเป็นเรื่องด่วนที่สุด ทำไมล่ะ ทำไม่ลงหรือไง อยากให้ฉันช่วยไหม?”
ถังเฉิงโบกมืออย่างรวดเร็ว ทำทีดูเคร่งขรึม ตะคอกเยือกเย็น “เสียวเสวี่ย คุกเข่า” ถังเสวี่ยคุกเข่าลงทันที หลังก็งุ้มงอ หวาดกลัวมาก
“เธอทำอะไรให้ประธานลั่วไม่พอใจกันแน่ เธอรู้หรือเปล่า”
น้ำตาเอ่อล้นดวงตาของถังเสวี่ย “พี่ ฉันไม่…”
“ถ้าคุณหนูถังไม่อยากพูด ผมจะเล่าให้พี่ชายคุณฟังแทนอย่างละเอียดก็ได้”
เธอหดตัว กัดริมฝีปาก “พี่ฉันเปล่า”
ถังเฉิงสังเกตอาการของลั่วจื่อหาน จนถึงตอนนี้บนใบหน้าของลั่วจื่อหานยังคงมีความโกรธ เขารู้ดีว่าหากไม่ทำอะไรสักอย่างก็จะไม่หลุดพ้นพระผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ “ถังเสวี่ย ถ้าเธอไม่พูดอีกก็อย่าโทษที่พี่ใช้กฎบ้านแล้วนะ”
เธอไม่อยากจะเชื่อ สองมือกำแน่นอยู่ด้านหน้า “เพราะ เพราะเป่ยซี…”
อี้เป่ยซี เขาเอียงคอครุ่นคิด ทำไมช่วงนี้มีแต่เรื่องอี้เป่ยซี เขากระแอมไอ “พูดต่อ”
ท่าทางที่ลำบากใจของถังเสวี่ยทำให้ถังเฉิงยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตัวเอง เรื่องนั้นไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับน้องสาวของเขา น่าจะเป็นเพราะอี้เป่ยซี
“ประธานลั่ว ในเมื่อเสียวเสวี่ยบอกแล้วว่าเป็นเพราะอี้เป่ยซี งั้น…”
“จะรีบทำไม นายฟังเขาพูดให้จบ”
“พี่ ฉันผิดเอง ฉันขอโทษ” เธอยอมรับผิดทันที ไม่ต้องการพูดอะไรมาก น้ำตาเม็ดโตๆ ไหลอาบแก้ม หัวใจของถังเฉิงทนไม่ไหว
“คุณไม่อยากพูด ผมจะช่วยคุณพูดเอง” ลั่วจื่อหานไม่ต้องการมองเธออีก “รูปถ่ายของพวกหลานฉือเซวียนคุณหาคนมาถ่ายสินะ จากนั้นคุณก็เขียนบทความที่เป็นที่ฮือฮาของมหา’ลัยพวกคุณ เพื่อไม่ให้คนจับได้ว่าเป็นคุณ คุณยังตั้งใจแอบให้ฉินรั่วเข่อไปหาหลิงจื่อเซี่ย ก็ดี โยนความผิดทั้งหมดให้จื่อเซี่ย ใช่หรือเปล่า?”
“เสียวเสวี่ย” ถังเฉิงมองดูน้องสาวที่น่ารักอ่อนโยนของตัวเอง เธอทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร “ประธานลั่ว ไม่แน่อาจจะมีใครใส่ร้ายเสียวเสวี่ยของพวกเราก็ได้นะ”
ลั่วจื่อหานไม่ได้มองเขา “ยังไม่จบ ทั้งๆ ที่คุณก็รู้ว่ามีคนคิดทำร้ายเป่ยซี ตั้งใจนัดเขาออกไปเที่ยว เปิดเผยตำแหน่งของเธอให้คนเลวพวกนั้น คุณทำร้ายเป่ยซีจนเกือบจะ…” เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้เล็กน้อยและนึกถึงก่อนหน้านี้ อี้เป่ยซีล้มอยู่บนพื้นหิมะอย่างไร้หนทาง พวกสัตว์เดียรัจฉานที่ไร้ความเป็นมนุษย์ต้องการทำอะไรกับเธอ ถ้าหากเขาไปไม่ทัน…
และเรื่องทั้งหมดนี้ ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องได้เลย
“เป็นไปไม่ได้ เสียวเสวี่ยไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้น เขากับอี้เป่ยซีเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก” แม้ว่าถังเฉิงจะพูดเช่นนี้ คิ้วที่ยับย่นก็แสดงให้เห็นถึงความสงสัยของเขา
“จากนั้น คุณรู้เรื่องของเป่ยซีกับลู่เยี่ยหวา คุณก็รู้ว่าลู่เยี่ยจิ่งแทบทนไม่ไหวที่จะกำจัดอี้เป่ยซีออกไปจากโลกใบนี้เร็วๆ ก็เลยวางแผนให้พวกเขาสองคนได้เจอหน้ากัน ใช่หรือเปล่า”
“ถังเสวี่ย” ถังเฉิงมองถังเสวี่ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เห็นเธอไม่พูดไม่จา เข้าใจว่าที่ลั่วจื่อหานพูดทั้งหมดคือเรื่องจริง เพียงแต่ยากที่จะจินจนาการว่าน้องสาวของตัวเองจะ… “ประธานลั่ว มันไม่มีหลักฐานอะไรที่จะยืนยันได้ว่าเสียวเสวี่ยของพวกเราทำเรื่องพวกนี้จริงๆ”
ขณะที่ลั่วจื่อหานกำลังจะพูดต่อ จู่ๆ เสียงมือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงเรียกเข้าต่างออกไป เขาขมวดคิ้ว กดปุ่มรับสาย
“เจ้าเด็กบ้า นายไม่กลับมาก็รอเก็บศพให้ฉัน” พูดจบก็วางสายไปแล้ว
ลั่วจื่อหานละสายตา มองไปยังถังเสวี่ย “ต้องการหลักฐานที่ผมพูดงั้นเหรอ ถังเสวี่ย อยากให้ผมพูดกับพี่ชายที่รักคุณต่อไหม?”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว” ถังเสวี่ยส่ายหัวอย่างแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
“ถังเสวี่ย” ถังเฉิงก็รู้สึกโมโหเล็กน้อย “ที่ประธานลั่วพูดเป็นความจริงเหรอ?”
ถังเสวี่ยเอาแต่ร้องไห้ ร้องไห้ไม่หยุด ร้องไห้ตลอดเวลา ไม่ได้ตอบคำถามของเขาทันที ถังเฉิงลุกขึ้นยืน “วางใจเถอะประธานลั่ว ผมจะต้องหาคำอธิบายให้คุณแน่นอน”
ลั่วจื่อหานไม่พูด มองปุ่มรับสายที่เด้งขึ้นมาอีกครั้งแล้วกดตัดสาย “ฉันจะรอดูคำอธิบายของประธานถัง” พูดจบก็จากไปโดยไม่หันมามอง
ถังเสวี่ยนั่งอยู่บนพื้น ยังคงร้องไห้ไม่หยุด ถังเฉิงเดินเข้าไปหาเธอ คุกเข่า ยกมือขึ้นสูง ขณะที่กำลังจะร่วงลงอย่างแรงนั้นก็สูญเสียพลังทั้งหมดฉับพลัน “เสียวเสวี่ย เพราะอะไร?”
เธอคว้าแขนเสื้อของถังเฉิงไว้ กอดถังเฉิงเหมือนตอนเด็กๆ “พี่ ฉันเปล่า ฉันไม่ได้อยากทำแบบนี้จริงๆ เป็นเพราะ เป็นเพราะ ฟางหมิ่น พวกเขาสองคนทะเลาะกันตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรกแล้ว ฉัน ฉันก็ถูกบังคับนะพี่ พี่เชื่อฉันนะ”
“จนป่านนี้แล้ว เธอยังคิดโยนความผิดให้คนอื่นอีก” ถังเฉิงดึงมือของเธอออก “เธอน่าจะคิดทบทวนให้ดีนะ ถังเสวี่ย”
เมื่อออกมาจากบ้านถังลั่วจื่อหานยังคงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ความโกรธเคือง ความสงสาร ความกล่าวโทษตัวเองระคนอยู่ด้วยกัน มันยกระดับสูงจนทำให้เขาหายใจได้ไม่ทั่วท้อง เขาคลายเนกไทออก หยิบบุหรี่ออกมาม้วนหนึ่งจุดให้ตัวเองอย่างกระสับกระส่าย จากนั้นเนิ่นนานจึงจะสตาร์ทรถอีกครั้ง
“พี่จื่อหาน ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว พวกเรารอพี่…นานแล้ว” เดิมทีหลิงจื่อเซี่ยเปิดประตูต้อนรับลั่วจื่อหานด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่เห็นแววตาเตือนภัยของเขาแล้วก็ห่อเหี่ยวลง “เอ่อ แม่ก็มาแล้วด้วย”
“พี่รู้” ลั่วจื่อถอดเสื้อโค้ทให้คนรับใช้ เดินไปหาคุณแม่ลั่ว “แม่ วันนี้ผมเหนื่อยนิดหน่อย ไว้กินข้าวกับแม่วันหลังนะ”
คุณแม่ลั่วได้กลิ่นบุหรี่จางๆ บนตัวของลูกชายตัวเอง แล้วมองดูสีหน้าบนใบหน้าเขา มันคือความเหนื่อยล้าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน “ช่วงนี้งานยุ่งขนาดนี้เลยเหรอ? แม้แต่เวลาพักผ่อนของประธานก็ไม่มีหรือไง? เหนื่อยแล้วก็รีบไปพักผ่อน ไปเถอะๆ”
“อืม” หลังจากได้รับคำอนุญาตก็กลับห้องของตัวเอง ปล่อยให้แม่ลูกสองคนอยู่หน้าโต๊ะกินข้าว เห็นอาหารน่ากินละลานตาก็ไม่รู้สึกอยากอาหาร
หลิงจื่อเซี่ยเคลื่อนไหวรุนแรง คุณแม่ลั่วพริบตาเดียวก็มองอารมณ์ของเธอออก “แค่ก เซี่ยเซี่ย ช่วงนี้จื่อหานยุ่งอะไรเหรอ?”
เธอเบ้ปาก แสดงความไม่พอใจทั้งหมดออกมา “ตอนนี้พี่จื่อหานยังจะยุ่งอะไรได้ ยุ่งกับการแก้ปมของคนบางคนน่ะสิ ก็ไม่รู้ว่าในใจของเด็กสาวพวกนั้นคิดอะไรอยู่ พอเห็นพี่จื่อหานก็คิดจะโยนทุกอย่างมาให้เขา พี่จื่อหานจะไม่เหนื่อยได้ยังไง?”
“เซี่ยเซี่ย นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรพูดนะ” หลิงจื่อเซี่ยเพิ่งจะรู้ตัว รีบนั่งตัวตรง กลัวสู่สภาวะเด็กสาวปกติอีกครั้ง
“ค่ะแม่ เพราะหนูผิดเอง แต่ว่ามีบางคนทำเกินไปจริงๆ หนูอดไม่ได้ก็เลยเสียมารยาทไปหน่อย คราวหน้าจะไม่เป็นแล้ว”
คุณแม่ลั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย “เธอบอกแม่มาว่ามันเรื่องอะไรกันแน่”
ดังนั้น หลิงจื่อเซี่ยจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เล่าว่าอี้เป่ยซียั่วยวนคนข้างกายเธออย่างไร เรื่องที่ไม่ปล่อยแม้กระทั่งพี่ชายของตัวเอง พูดพลางยังทำท่าทีซื่อตรงเป็นอย่างมากพร้อมวิพากย์วิจารย์ไปสองสามคำ พอคุณแม่ลั่วได้ฟังคำพูดของเธอแล้วคิ้วก็ยับย่น
“ในเมื่อเป็นเพื่อนในมหา’ลัยของเธอ เธอก็ควรช่วยพี่ชายเธอสักหน่อย อย่าปล่อยให้คนที่ไม่ประสงค์ดีพวกนี้ได้มีโอกาส”
หลิงจื่อเซี่ยหดหู่ใจมาก ลั่วจื่อหานจะฟังหลิงจื่อเซี่ยอย่างเธอได้อย่างไร อี้เป่ยซีดีเสมอในสายตาของเขา ส่วนหลิงจื่อเซี่ยในสายตาเขานั้นไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึง แม้จะเป็นเช่นนี้ หลิงจื่อเซี่ยก็ยังยิ้มและตอบรับ
……………………………….