บทที่ 83 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 83 จื่อจวีหานซื่อ (3)

เสียงนาฬิกาเวลาเที่ยงคืนดังขึ้น อี้เป่ยซีมองไปที่ประตู ป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก วันนี้พี่เป่ยเฉินคงไม่กลับมาแล้วมั้ง

การฝึกฝนฉากที่เจอหน้ากันในหัวหลายต่อหลายครั้งนั้นช่างสูญเปล่าจริงๆ เธอลุกขึ้นยืนเทน้ำให้ตัวเอง ถืออยู่ในมือ สายตายังคงมองที่โทรทัศน์ที่กำลังฉาย

มันคือตอนใหม่ของซีรีส์ หนุ่มน้อยหน้าตาดีกับเทพธิดาตัวน้อยแสดงร่วมกันในบทละครน้ำเน่าที่ตื้นเขิน อี้เป่ยซีเบะปาก ดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง เฮ้อ รออีกหน่อยเถอะ อีกนิดเดียวแล้วค่อยไปนอน สายตาจับจ้องไปที่ภาพที่กำลังฉายอย่างเลื่อนลอย

ประตูใหญ่ถูกเปิดออกเบาๆ

“เสี่ยว เสี่ยวซี” ความอ่อนล้ายังคงอยู่บนใบหน้าของอี้เป่ยเฉิน คำที่พูดอออกมาระมัดระวังเป็นอย่างมาก กลัวว่าจะพูดอะไรผิดเข้า

อี้เป่ยซีเงยหน้าสบตากับเขา ยิ้ม แล้วรินน้ำอีกแก้วหนึ่งส่งให้เขา อี้เป่ยเฉินรับน้ำมา นั่งลงบนโซฟาข้างเธอ

“วันนี้พี่เป่ยเฉินกลับมาดึกจังเลย ตอนนี้ที่บริษัทยุ่งมากเลยเหรอ?”

มือของเขาลูบคลำบนด้านนอกของแก้ว ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร

“งั้นฉันไม่อยู่นี่รบกวนเวลาพักผ่อนของพี่เป่ยเฉินแล้ว ฉันจะกลับไปนอนก่อน” วางแก้วน้ำลง ปิดโทรทัศน์ จู่ๆ ห้องนั่งเล่นก็เข้าสู้ความเงียบที่แปลกประหลาดมาก อี้เป่ยซีไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป ก้าวเท้าต้องการจะจากไป

“เสี่ยวซี พี่ขอโทษ”

เธอเม้มปาก “พี่เป่ยเฉินไม่ได้ทำผิดอะไรนี่ เพราะปกติเสี่ยวซีทำอะไรไม่เป็นเอง ชอบทำให้พี่เป่ยเฉินเป็นห่วงอยู่บ่อยๆ วางใจเถอะ ต่อไปเสี่ยวซีจะเปลี่ยนแปลงแน่นอน จะไม่ทำให้พี่เป่ยเฉินเป็นทุกข์แบบนี้อีก”

“เสี่ยว…”

ทันใดนั้นเองอี้เป่ยซีหันกลับมาตัดบทของเขา “จริงสิ พี่เป่ยเฉิน ต่อไปถ้ามีข่าวเรื่องพี่สะใภ้พี่ต้องบอกฉันนะ รู้เป็นคนสุดท้ายมันรู้สึกแปลกๆ เกินไปแล้ว รู้สึกอึดอัดมาก” พูดพลางคิ้วก็ขมวดกัน เหมือนกับเด็กขี้น้อยใจอย่างไรอย่างนั้น

“พี่กับฉินรั่วเข่อไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้น”

ปฏิเสธว่าไม่มีอะไรงั้นเหรอ? อี้เป่ยเฉินโกหกเธอไม่ลง ที่หนังสือพิมพ์บอกล้วนเป็นความจริง ที่รายงานก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด เพียงแต่มันเป็นความจริงขั้นพื้นฐานและคาดเดาผลลัพธ์ที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้น เขาคบกับฉินรั่วเข่องั้นเหรอ? น่าตลกสิ้นดี

“อือ ฉันรู้”

“เสี่ยวซี เธอยอมเชื่อพี่เหรอ?” อี้เป่ยเฉินเก็บอาการดีใจของตัวเองไว้ไม่อยู่

อี้เป่ยซีหัวเราะ “พี่เป่ยเฉินพูดอะไรฉันก็เชื่อทั้งนั้นแหละ” เธอยกข้อมือของตัวเองขึ้น “ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ฉันจะกลับไปนอนก่อน ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปฉันจะตั้งใจเรียนแล้ว”

“อืม ราตรีสวัสดิ์” อี้เป่ยเฉินรอจนเธอจากไปแล้วพิงอยู่บนโซฟา เขาเห็นแล้ว บนข้อมือที่เรียวบางนั้นว่างเปล่า…แต่ว่า ขอเพียงเธอยอมเชื่อก็พอ แค่นี้ก็พอแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น อี้เป่ยซีกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็เลือกที่จะเรียกรถไปมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง โดยไม่ได้มองอี้เป่ยเฉินเลย

ในช่วงสุดสัปดาห์ ผู้คนในมหาวิทยาลัยมีไม่มากนัก อี้เป่ยซีดึงๆ กระเป๋าหนังสือของตัวเอง เดิมทีต้องการจะไปหอพัก ครุ่นคิดแล้วก็กลับไปที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง เข้าไปนั่งลงบนโซฟาไปได้เพียงครู่เดียว เสียงร้องไห้โหยหวนก็ดังมาจากข้างนอก

“พระเจ้า ข้างในมีคนหรือเปล่า มีใครเห็นพี่สาวที่น่าสงสารของผมบ้างหรือเปล่า?” พูดพลางเคาะประตู เพราะว่าอาการป่วยยังไม่หายดี เสียงยังคงแหบแห้งอยู่บ้าง ยิ่งเพิ่มความน่าสมเพศอย่างเห็นได้ชัด

“คนข้างใน คุณเอาพี่สาวของผมคืนมาให้ผมเถอะ คืนมาให้ผมเถอะ”

“เจ้าผักกาดน้อยอยู่ใต้ผืนดิน…”

อี้เป่ยซีทนไม่ไหวเปิดประตูออกทันที เห็นรอยยิ้มจางๆ ของฉู่ซ่ง “ฉู่เซี่ย”

เธอดึงเขาเข้ามา “ไม่เพราะเอาซะเลย นายไม่อายบ้างรึไง”

“ฉันนึกว่าเธอโกรธฉัน”

“อืม ฉันต้องโกรธอยู่แล้ว นายอธิบายมาซะดีๆ” อี้เป่ยซีนั่งลงบนโซฟา มองเขาอย่างดูถูก ฉู่ซ่งเกาหัว นั่งลงอีกด้านหนึ่งของโซฟา เขาไม่เอ่ยปาก อี้เป่ยซีก็จ้องเขาตลอดเวลา นั่งตัวแข็งทื่อไม่ทันไร ฉู่ซ่งได้แต่ร้องขอความเมตตาและสารภาพตามความจริง

“ฉู่เซี่ย ฉันจะบอกเธอว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นเพราะลั่วจื่อหาน ใช่ เป็นเพราะเขา”

“อืม พูดต่อ”

“เขาบอกฉันว่าห้ามบอกเธอ ถ้าหากเธอรู้ล่ะก็ฉันจะได้เห็นดีแน่…แม้ แม้ว่าคำพูดจะไม่ใช่แบบนี้แต่ก็มีความหมายแบบนี้” หลังจากที่เห็นแววตาของเธอแล้ว ฉู่ซ่งรีบเปลี่ยนคำพูด “เธอก็รู้ ฉันมันเด็กตัวน้อยๆ อยู่ที่นี่ไม่ครอบครัวเลยสักคน พี่สาวคนเดียววันๆ ยังคิดเอาแต่จะตัดขาดกับฉัน ฉันจะปฏิเสธคำขอร้องของคนที่ทั้งร่ำรวยและมีอำนาจได้ยังไง ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นการฆ่าตัวตายหรือเปล่า”

เริ่มเล่นกับไพ่อารมณ์อีกแล้ว อี้เป่ยซีนวดๆ ขมับ “ฉันไม่ได้คิดจะตัดขาดจากนาย วันๆ นายมัวแต่คิดไร้สาระอะไรกัน”

“อืมๆ ฉู่เซี่ยดีที่สุดเลย” พูดพลางต้องการจะเข้าไปกอด อี้เป่ยซีดีดหัวกลับทันที

“รับสารภาพจะลดโทษให้กึ่งหนึ่ง พูดต่อ”

ฉู่ซ่งถูๆ บาดแผลของตัวเองด้วยอาการน้อยใจเป็นอย่างมาก “ฉันก็พูดไปหมดแล้ว มีอะไรน่าพูดอีกล่ะ เธอตีฉันให้ตายก็มีแค่นี้ ฮือๆ เจ็บจะตายอยู่แล้ว”

“เอาเถอะๆ นายน่ะทำตัวน่าสงสารทุกวัน” อี้เป่ยซีเท้าศีรษะครุ่นคิด ลั่วจื่อหาน เขาเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้เพราะกลัวว่าเธอจะเสียใจงั้นเหรอ? แต่ว่าในโลกนี้มีความลับที่ไหนกัน เขาจะทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าแบบนี้ไปเพื่ออะไร

คิดพลางพิงตัวอยู่บนโซฟา ลั่วจื่อหานดีกับเธอมากจริงๆ นะ เพราะอะไรล่ะ? เธอยกข้อมือขึ้น มองดูสร้อยข้อมือคริสตัลเส้นนั้น เพราะเรื่องในสมัยเด็กเหรอ?

ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ตอนเด็กก็คือตอนเด็ก ตอนนี้ก็คือตอนนี้ เธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแม้แต่เธอเองก็บอกไม่ได้ จะเก็บความรู้สึกตอนเด็กๆ มาจนป่านนี้ได้อย่างไรกัน

ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง เหตุผลข้อนี้เขาต้องรู้ดีอยู่แล้ว

“ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีตวัดมือเรียกเขา ฉู่ซ่งป้องหัวของตัวเองเขยิบเข้าไปใกล้ “นายรู้จักกับลั่วจื่อหานมานานแค่ไหนแล้ว เล่าเรื่องของเขาให้ฉันฟังหน่อยสิ”

ฉู่ซ่งเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ก็ยังรู้สึกศรัทธาอยู่บ้างและกำลังจะเอ่ยปากเล่าเรื่องของลั่วจื่อหาน

“ทำไมไม่ถามฉันล่ะ?” เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำเอาสองคนที่อยู่บนโซฟาตัวแข็งทื่อ อี้เป่ยซีเคาะหัวคนที่อยู่ตรงหน้า

“นายไม่ได้ปิดประตู”

เขาถูๆ ด้วยความน้อยใจ “ฉันปิดแล้ว แต่ห้ามคนที่มีกุญแจไม่ได้นี่นา”

ลั่วจื่อหานวางอาหารลงด้วยความคุ้นเคย หยิบผลไม้บางส่วนวางบนโต๊ะกาแฟ มองดูการปฏิสัมพันธ์การสองพี่น้อง

กุญแจ ลั่วจื่อหานไปแอบปั๊มกุญแจบ้านของเธอเหรอ?

ไม่ใช่หรอกๆ เขาไม่ทำเรื่องต่ำๆ แบบนี้แน่ ฉู่ซ่งน่าจะเป็นคนประเภทนั้นมากกว่า

งั้นเป็นไปได้แค่…

เธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สำรวจดูการตกแต่งภายในห้อง การตกแต่งเรียบง่ายแต่กลับไม่มีรสนิยม บรรยากาศที่เย็นชาช่างคล้ายคลึงกับอะพาร์ตเมนต์ของเขาอย่างยิ่งยวด

เดิมทีห้องนี้เป็นของลั่วจื่อหานเหรอ?

ไม่น่าล่ะดึกๆ ดื่นๆ เขาถึงปรากฏตัวในห้องของเธอ ไม่น่าล่ะเวลาที่หาของถึงได้คุ้นเคยกับสถานที่ถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็เป็นอาณาเขตของเขาตั้งแต่แรก

อี้เป่ยซีกระแอมไอ ต่อไปเวลาจะพูดถึงใครลับหลังจะต้องเลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม ให้คนจับได้แบบนี้มันน่าอายเกินไปแล้ว

“กินข้าวเร็วหน่อยเถอะ เริ่มหิวแล้ว” ฉู่ซ่งมองอี้เป่ยซีอย่างเหลือเชื่อ พวกเขาสองคนพัฒนากันไปถึงขั้นไหนแล้วนะ ถึงได้พูดจาเป็นกันเองขนาดนี้

ลั่วจื่อหานหัวเราะ “ได้”

……………………………….