คำพูดของเฉินเกอนั้นสะเทือนถึงมือกรรไกรอย่างรุนแรง เขาเติบโตขึ้นมาในบ้านเด็กกำพร้า เขาเป็นคนโดดเดี่ยวที่ชอบอยู่กับตัวเอง และเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาเคยมีก็คือพี่ชายของเขา ตอนที่เขาถูกรังแก ตอนที่เขาได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ตอนที่เขาไม่สามารถค้นหาความหมายของการมีชีวิต ติดอยู่ในวังวนอันเจ็บปวดและสิ้นหวัง ก็เป็นพี่ชายของเขาที่ก้าวเข้ามาส่งมือให้กับเขา ปกป้องเขาจากความโหดร้ายของชีวิต
สำหรับมือกรรไกรแล้ว พี่ชายของเขานั้นเป็นคนพิเศษที่สุดในชีวิตของเขา และมันก็เพราะข้อมูลที่พวกเขาแบ่งปันกัน ที่หลังจากพี่ชายของเขาหายตัวไป มือกรรไกรถึงไม่หยุดตามหา
มองเฉินเกอที่เดินไปไกลแล้ว มือกรรไกรก็นึกถึงที่เฉินเกอปรากฏตัวขึ้นมาตอนที่เขาถูกบีบให้จนมุมโดยสิ่งเหล่านั้นที่ในโรงพยาบาล ตอนที่เขากำลังจะยอมแพ้แล้ว น้ำเสียงอบอุ่นและเมตตานั่นดึงเขากลับจากนรกสู่สรวงสวรรค์ อารมณ์เหวี่ยงขึ้นลงราวกับเล่นรถไฟเหาะ ถึงแม้ว่ามือกรรไกรจะไม่ได้พูดมันออกมา ข้างในนั้น หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
เพราะรูปลักษณ์ท่าทีภายนอกที่เขาต้องรักษาเอาไว้ เขาจึงไม่สามารถขอบคุณเฉินเกอได้อย่างเปิดเผย แต่เขาสัญญากับตัวเองว่าหากเขารอดไปจากเรื่องนี้ได้ เขาจะทำอะไรก็ได้เพื่อทดแทนน้ำใจนี้
คนที่ภายนอกดูเมินเฉยมักจะมีหัวใจเร่าร้อน แต่ความอบอุ่นของพวกเขานั้นปกติแล้วจะเก็บเอาไว้ใต้ชั้นน้ำแข็งหนา มีเพียงเมื่อน้ำแข็งพวกนั้นแตกออก พวกเขาถึงได้เผยอารมณ์ที่แท้จริงออกมา
เลียแผลบนใบหน้าตัวเองเบา ๆ มือกรรไกรหันไปถุยเลือดสุนัขดำที่อยู่บนริมฝีปากของตัวเองทิ้ง เขาหลังเฉินเกอไป และครู่หนึ่งเขาเหมือนเห็นเงาของพี่ชายของเขาทับซ้อนกับผู้ช่วยชีวิตเขาคนนี้
ฉันต้องใจเย็นเข้าไว้ เขาอาจจะเป็นฆาตกรตัวจริง มันจะดีกว่าถ้าฉันไม่อยู่ใกล้เขาให้เกินไปนัก แต่ฉันต้องอยู่ใกล้พอที่จะยื่นมือเข้าช่วยเวลาเขาลำบาก
ความประทับใจในตัวเฉินเกอของมือกรรไกรนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาเดินตามหลังเฉินเกอไปเงียบ ๆ
เมื่อพบว่ามือกรรไกรกลายเป็นจริงใจกว่าเดิม ริมฝีปากของเฉินเกอก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากมุมมองของเขา มือกรรไกรนั้นมีความสามารถอันยากจะพานพบ ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเขาจะค่อนข้างตาขาวแต่นั่นก็ไม่เป็นไร– สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขามีความกล้าและมุ่งมั่นในการทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรเป็น
เฉินเกอหันหน้าไปถามมือกรรไกร “แล้วก็ ผมเห็นรอยเท้าหลายแบบที่ชั้นล่าง นอกจากคุณแล้ว มีผู้โดยสารคนอื่นถูกกักเอาไว้ในโรงพยาบาลนี้ด้วย คุณเห็นพวกเขาบ้างไหม?”
“ฉันมาที่นี่คนเดียว” มือกรรไกรงึมงำในใจ รอยเท้านั่นมันอะไรกัน?
ตอนที่เขาเข้ามาในโรงพยาบาล เขาไม่ได้สังเกตอะไรทั้งนั้น แต่ในเมื่อเฉินเกอพูดถึง เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง เขาก็ทำได้แค่ไหลตามบทสนทนาไป “ฉันก็เห็นรอยเท้าที่แกพูดถึงอยู่เหมือนกัน… ใช่ ถ้าฉันจำไม่ผิด ตอนที่ฉันสู้กับพวกผีติดพันอยู่ที่ชั้นสาม ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าก้องมาจากทางเดินหนีไฟชั้นสอง ดังนั้น พวกเขาก็น่าจะวิ่งไปทางนั้นก่อนหน้านี้”
เฉินเกอพยักหน้าขณะมองไปยังมือกรรไกร มองสำรวจเขาเร็ว ๆ
“แกมองอะไร?” มือกรรไกรตัวสั่นเมื่อถูกเฉินเกอจ้องอย่างจริงจัง
“รองเท้าส้นสูงคู่นั้นที่บนรถเมล์หายไปแล้ว ผมจำได้ชัดเจนว่าเวลาคุณเดินจะมีเสียงก้องของฝีเท้าสองคู่ ดังนั้นเจ้าสิ่งนั้นน่าจะตามคุณอยู่” อีกเหตุผลที่เฉินเกอประเมินมือกรรไกรไว้สูงก็เพราะรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น กระทั่งชายหน้ายิ้มยังระแวดระวังรองเท้าคู่นั้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามันอย่างน้อยที่สุดก็เป็นวิญญาณสีเลือด
“ตอนที่ฉันเข้าไปในทางเดินด้านซ้าย เสียงนั่นก็หายไป เธอน่าจะสัมผัสได้ถึงอันตรายและหนีไป” มือกรรไกรยกกรรไกรในมือขึ้นมา มองไปยังด้านคมของมัน “เห็นได้ชัดว่าเธอกลัว เธอขี้ขลาด หวาดกลัวตัวตนอย่างฉัน”
เฉินเกออยากจะพุ่งเข้าไปเอามือปิดปากมือกรรไกร การสวมบทบาทของคนผู้นี้น่าจะมีขีดจำกัดบ้างนะ ถ้าคำพูดของเขานั้นได้ยินไปถึงหูรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น เขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าตัวเองตายยังไง
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่าผมไม่ได้ถามคำถามนั้นแล้วกัน ไปหาผู้โดยสารคนอื่น ๆ กันก่อน” เฉินเกอนำมือกรรไกรออกจากห้องน้ำ ชายขี้เมาและหมอกำลังรอพวกเขาอยู่ที่ในทางเดิน ตอนที่พวกเขาสองคนเห็นมือกรรไกรที่เต็มไปด้วยเลือด พวกเขาก็กลัวมากจนไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้คนที่ถูกสงสัยว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องคนนี้แม้แต่ก้าวเดียว ในสายตาพวกเขา ทั้งตัวของมือกรรไกรนั้นเข้ากันได้พอดีกับสิ่งที่ฆาตกรน่าจะเป็นในความคิดของพวกเขาเป๊ะ เขาเต็มไปด้วยเลือด และยังมีรอยยิ้มบ้าคลั่งอยู่บนใบหน้า เขายังชื่นชมในความเจ็บปวดเหมือนว่ามีเพียงแค่ความเจ็บปวดและการฆ่าเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสุขในชีวิต
“บางครั้งมันก็รู้สึกเหมือนว่าผมตกลงมาในฝูงหมาป่า” ชายขี้เมายืนอยู่ที่รอบนอกของกลุ่มคนเดียว ใบหน้าของเขาซีดขาวและจ้องมองไปยังรอยเลือดใต้เท้าตัวเอง เขารู้สึกอยากจะอาเจียน ท่ามกลางทุกคนที่เขาพบเจอ ตัวเขาเองเป็นเพียงคนเดียวที่ดูเป็นคนธรรมดา
“คุณสู้กับปิศาจพวกนั้นคนเดียวมานาน– คุณน่าจะเปลืองแรงไปมาก ปล่อยงานเก็บกวาดให้ผมทำแล้วกัน” เฉินเกอนั้นช่วยหาข้ออ้างให้กับมือกรรไกรอย่างใจดีก่อนที่เขาจะเริ่มสำรวจห้องทีละห้อง
โรงพยาบาลนี้มีแค่สามชั้น มันไม่ใหญ่ แต่ในเมื่อเฉินเกอสำรวจอย่างละเอียด พวกเขาจึงใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงกว่าจะดูทั่ว พวกเขาพบรอยเท้าของครอบครัวสามคนกับรองเท้าของเด็กชายคู่หนึ่งที่ทางเดินหนีไฟชั้นสอง รอยเท้านั้นมุ่งลงไปตามทางเดินหนีไฟ มุ่งหน้าไปยังอีกด้านของโรงพยาบาล
ครอบครัวสามคนก็มาเจอเข้ากับกลุ่มของเฉินเกอ ตอนที่เฉินเกอพังประตูเข้าไป พวกเขาก็ลงจากบันไดที่อีกด้านของโรงพยาบาลแล้วหนีออกไป
“คนพวกนี้นี่มันอะไรกัน พวกเรามาช่วยพวกเขา แต่พวกเขากลับวิ่งหนีไปโดยไม่ทิ้งข้อความให้พวกเราด้วยซ้ำ พวกเขาสนใจแต่ตัวเอง ทำไมถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้เนี่ย?” ชายขี้เมาเอาตัวเองไปแทนที่เฉินเกอ เขารู้สึกว่าถ้าเขาเป็นเฉินเกอ เขาคงไม่วุ่นวายกับคนแบบนี้
“มันก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เลือกหนีเมื่อเผชิญหน้ากับความกลัว”
“คุณใจกว้างกับเรื่องพวกนี้เนาะ” ชายขี้เมาคิดว่าเฉินเกอนั้นเป็นพวกมองโลกในแง่ดี จากที่พวกเขาได้พูดคุยกันมาเขาพบว่าเฉินเกอนั้นเป็นชายหนุ่มที่ดีงามไม่มีความโหดร้ายในจิตใจ “ในเมื่อคนที่พวกเราจะมาช่วยก็กลับออกไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะออกไปจากที่นี่บ้างแล้วเหมือนกันไหม?”
“ไม่ต้องรีบ พวกเราเดินรอบโรงพยาบาลไปรอบหนึ่งแล้ว และมีสามที่ที่พวกเราต้องให้ความสนใจ” เฉินเกอยืนอยู่กับที่แล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในห้องแรกทางซ้ายหลังจากเลี้ยวขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง มีบันทึกเล่มหนึ่ง มันบันทึกไว้ว่าคนไข้คนหนึ่งถูกผีที่ในโรงพยาบาลนี้บีบคั้นจนแทบจะวิกลจริตไปก่อนที่จะกลายเป็นผีไปเอง นั่นน่าจะไม่ใช่แค่กรณีเดียว”
แน่นอนว่าเฉินเกอย่อมรู้ว่านั่นไม่ใช่แค่เคสเดียว วิญญาณน่าสงสารดวงนั้นที่ขาถูกเข้าเฝือกไว้ และดวงตายังถูกแทงบอดตอนนี้นั้นอยู่ในหนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนแล้ว ด้วยการนำทางของมือกรรไกร เขาพุ่งไปยังตู้เสื้อผ้าทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย และมันก็ไม่ได้ใช้เวลานานที่เฉินเกอจะพบดวงวิญญาณนั้นสิงอยู่ในสมุดบันทึก
“แต่นั่นมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ?” ชายขี้เมานั้นมีความรู้สึกไม่ดีกับโรงพยาบาลนี้ มันเหมือนกับว่ามีอันตรายมากกว่าที่ ‘บ้านสุนัข’ ที่เขาเคยเข้าไปก่อนหน้านี้
“ถ้าผู้ป่วยตัดสินใจเล่นเกมซ่อนหา พวกเขาก็จะถูกกักเอาไว้ในโรงพยาบาล กลายเป็นส่วนหนึ่งของเกมไปหลังจากที่ตายลง แต่ว่า คุณเคยคิดถึงคำถามนี้ไหม– ใครเป็นคนแรกที่เริ่มต้นเกมซ่อนหานี่?” เฉินเกอหันกลับไปมองผู้โดยสารคนอื่น ๆ “มีคนคนหนึ่งคิดเกมนี้ขึ้นมา จากนั้นก็ลากเอาผีผู้ป่วยตามไปเป็นพรวน”
ผู้โดยสารคนอื่น ๆ มองหน้ากัน คำถามนี้ย่อมไม่เคยผ่านเข้ามาในใจพวกเขามาก่อน เฉินเกอนั้นเลิกถามความเห็นพวกเขาไปแล้ว ทัศนคติของพวกเขานั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง วิธีการมองโลกของพวกเขานั้นต่างกันอย่างไม่สามารถปรับเข้าหากันได้
“อย่างที่ผมพูดก่อนหน้านี้ มีสามที่ในโรงพยาบาลนี้ที่น่าสนใจ ที่แรกก็คือห้องที่เจอสมุดบันทึก และห้องที่สองก็คือห้องเก็บเอกสาร เมื่อครู่ ผมได้เข้าไปดูข้อมูลเกี่ยวกับห้องผู้ป่วยที่มีปัญหาคร่าว ๆ และผมก็พบว่ามีบางอย่างแปลก ๆ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยคนใดก็ตามที่พักในห้องนั้นมักจะพบจุดจบที่ไม่ค่อยสงบนัก และเพราะอย่างนั้น ห้องพักผู้ป่วยห้องนั้น– ห้อง 201– ก็กลายเป็นห้องที่หมอและพยาบาลหลีกเลี่ยง”
เฉินเกอวิเคราะห์ต่อโดยไม่สนใจการตอบสนองของคนอื่น “ในเอกสารบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าเคสแรกในห้อง 201 นั้นเกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน และบังเอิญอีกว่า มันอยู่ภายในปีเดียวกับที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้รับผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่น”
เขาดึงเอกสารออกมาจากในกระเป๋าและมันก็มีรอยเปื้อน เนื้อหาส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถอ่านได้ และชื่อของโรงพยาบาลเดิมของผู้ป่วยก็มีรอยเปื้อนทับไป มีเพียงแค่คำว่า ‘ไห่’ ที่สามารถอ่านได้
“พวกคุณรู้จักโรงพยาบาลไหนที่มีตัวอักษรนี้ในชื่อไหม?” เฉินเกอหันไปมองหมอประจำหน่วยไฟไหม้
หมอคนดีส่ายหน้า “มันยากที่จะบอกด้วยตัวอักษรตัวเดียว น่าจะมีเยอะเลย”
“ครั้งก่อนที่พวกเราขึ้นรถเมล์ มีผู้ป่วยผู้หญิงในชุดผู้ป่วยหลายคน คุณจำได้ไหม?” เฉินเกอมองหมอ
“จำได้” เมื่อเฉินเกอพูดถึง ก็ทำให้ฟันเฟืองในสมองของหมอหมุนขึ้นมา “ดูเหมือนจะมีตัว ไห่ อยู่บนเสื้อผ้าของผู้ป่วยพวกนั้นด้วยเหมือนกัน”
“ใช่แล้ว” ตอนที่เฉินเกอเห็นผู้ป่วยหญิงพวกนั้นตอนแรก เขาก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่าพวกเธอน่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจของฉากระดับสี่ดาวในจิ่วเจียงตะวันออก– โรงพยาบาลต้องสาป ตอนนี้ ที่เรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนี้ มันก็น่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่สงสัยว่าถูกส่งมาจากโรงพยาบาลต้องสาป หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เกมซ่อนหานั้นเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากคำสาปบางอย่างของฉากระดับสี่ดาว
การค้นพบครั้งนี้อาจจะไม่มีความหมายกับคนอื่น แต่มันเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับเฉินเกอ ฉากระดับสามดาวและฉากระดับสี่ดาวนั้นต่างกันมาก และเงื่อนงำใด ๆ ก็ล้วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
“แต่ต่อให้พวกเรารู้ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลนั้น มันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเราออกจากเมืองหลี่ว่านได้” ชายขี้เมานั้นเป็นพวกอยู่กับความจริงที่สุดแล้ว เขาแค่ต้องการออกไปจากที่นี่ทั้งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
“ผมคิดว่าคุณจะเปลี่ยนใจหลังจากได้อ่านนี่” เฉินเกอพลิกกระดาษไปที่หน้าสุดท้าย มันเต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการส่งตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มาจากโรงพยาบาลอื่นนั้นเป็นเด็กคนหนึ่งอายุหกขวบครึ่ง หมอวินิจฉัยว่าเขาติดเชื้อโรคเรบีส์* เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาอาการกำเริบ เขาต้องถูกมัดเอาไว้กับเตียง เขามักจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่งและบิดตัวไปในมุมที่ไม่น่าเป็นไปได้
แต่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาไม่ได้ถูกความเจ็บป่วยเคี่ยวกรำ อาการของเด็กชายก็ไม่ได้ปกตินัก เขามักจะพูดเรื่องประหลาดมาก ๆ และบอกคนรอบ ๆ ตัวเขาว่าเขากำลังถูกบางอย่างที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อตามล่า เขามักจะบอกว่าเขาต้องไม่ถูกสิ่งนั้นเจอตัว และเพื่อการนั้น เขาก็มักทำให้แน่ใจว่าได้แอบซ่อนตัวเองอย่างมิดชิด
แน่นอนว่า ถ้านั่นเป็นจุดจบของเรื่อง หมอก็คงไม่แยกประวัติของเขาออกมาจากคนอื่น ๆ หลังจากเด็กชายเสียชีวิต เรื่องประหลาดก็เริ่มต้นขึ้น
อย่างแรกเลย ศพของเด็กชายหายตัวไปจากห้องเก็บศพ จนถึงตอนนี้ ก็ยังหาไม่พบ จากนั้นก็เป็นพยาบาลกะกลางคืนอ้างว่าพวกเธอมักจะเห็นเด็กชายวิ่งผ่านทางเดินไปในตอนกลางคืน จากนั้นก็มีคำแปลก ๆ เริ่มปรากฏขึ้นในเอกสารที่พิมพ์ออกมา คำอย่าง– หาผมให้เจอสิ
เดิมที เรื่องเหล่านี้นั้นทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้ให้ความสนใจนัก จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเสียชีวิตอยู่ในห้องเก็บศพ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงเข้าไปในห้องเก็บศพตอนเที่ยงคืน แต่ว่า ตำรวจพบประวัติการรักษาแผ่นหนึ่งติดเอาไว้ที่ด้านหลังศพ และที่เขียนเอาไว้ที่ด้านหลังกระดาษแผ่นนั้นก็คือคำอย่าง ‘หาผมให้เจอสิ’ พวกมันเขียนไว้ด้วยลายมือเหมือนลายมือเด็ก
หลังจากการตายของเจ้าหน้าที่ ก็เริ่มมีเรื่องเล่าแพร่ไปในโรงพยาบาล ใครก็ตามที่ถูกแปะกระดาษไว้บนหลังจะต้องเล่นเกมซ่อนหามรณะกับเด็กคนนั้น เอกสารนี้ถูกผนึกเก็บตอนช่วงเวลานั้น จึงไม่ได้พูดถึงการตัดสินใจของโรงพยาบาล และนั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้น
ปิดเอกสารลงแล้วสายตาของเฉินเกอก็กวาดมองไปยังคนที่เหลือ “พวกคุณบางคนเคยถูกติดกระดาษเอาไว้บนหลังมาก่อน ถ้าพวกเราไม่แก้คำสาปนี้ คุณก็จะตกอยู่ในอันตรายต่อให้ออกไปจากเมืองหลี่ว่านก็ตาม”
“งั้นแกคิดว่าพวกเราควรจะทำยังไงตอนนี้?” มือกรรไกรเริ่มตระหนก เขาจำได้ชัดเจนว่าเห็นของอย่างนั้นติดอยู่บนหลังของตัวเอง
“ผมกำลังจะบอกว่าพวกเราจะไปดูสถานที่น่าสนใจแห่งที่สาม– ห้องเก็บศพ นั่นเป็นที่ที่เจ้าหน้าที่ถูกพบเป็นศพและเป็นที่ที่ศพของเด็กชายหายไป พวกเราน่าจะพบข้อมูลที่มีประโยชน์ที่นั่น” เฉินเกอตบเบา ๆ บนหัวเจ้าแมวขาวและนำทางไปพร้อมกับถือค้อนเอาไว้ เขาเพิ่งเก็บวิญญาณสัมภเวสีในโรงพยาบาลได้แค่สองตนเท่านั้น ซึ่งทำให้เขาค่อนข้างผิดหวัง
“แต่ถ้าพวกเรายังไม่เจอวิธีแก้คำสาปที่ห้องเก็บศพ…” สีหน้าของมือกรรไกรเปลี่ยนไป– เขารักษาการแสดงของตัวเองเอาไว้ได้อย่างยากลำบากแล้ว
“ในเมื่อมันอาจจะอันตราย ผมแนะนำให้พวกเราติดต่อกันเข้าไว้และดูว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป” เฉินเกอบอกมือกรรไกร “ตอนนี้ผมอาศัยอยู่ที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ จิ่วเจียงตะวันตก ถ้าคุณมีปัญหาอะไร คุณก็ไปหาผมได้ พวกเราจะช่วยดูแลกันและกัน”
มือกรรไกรพยักหน้านิด ๆ เขาทวนที่อยู่ของเฉินเกอในใจ ฝังมันเอาไว้ในความทรงจำ
“เอาละ ไปดูกันตอนนี้แหละ” ทั้งกลุ่มกลับไปที่ชั้นแรกและเข้าไปในทางเดินหนีไฟซึ่งอยู่ทางปีกขวาของโรงพยาบาล ห้องเก็บศพนั้นอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ตอนที่เฉินเกอนำทั้งกลุ่มไปที่ทางเข้า จู่ ๆ เขาก็หยุด ล็อกที่น่าจะอยู่บนประตูนั้นหล่นอยู่บนพื้นแล้ว ประตูเหล็กก็ถูกเปิดแง้มเอาไว้ เหมือนมีบางอย่างเพิ่งเข้าไปในนั้นก่อนหน้านี้
“ประตูห้องเก็บศพมักจะปิดเอาไว้” หมอกระซิบกับเฉินเกอ “น่าจะมีบางอย่างอยู่ข้างใน ระวังด้วย”
“ได้ อยู่ใกล้ ๆ ผมเอาไว้” ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกสีเลือด เฉินเกอไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับผู้โดยสารของเขา ดังนั้นจึงให้พวกเขาตามมาใกล้ ๆ
ผลักเปิดประตูแล้วความเย็นก็ทะลักเข้าใส่พวกเขาจากทุกทิศทาง เฉินเกอมองและจดจำแผนผังของห้องเก็บศพเอาไว้ในใจ เขาพบว่าเขาอาจจะต้องปรับปรุงห้องเก็บศพของเขาในบ้านผีสิงในอนาคต
“พี่ชาย พวกเราต้องทำอะไรแบบนี้จริง ๆ น่ะเหรอ?” นี่เป็นครั้งแรกที่ชายขี้เมาได้เข้ามาในห้องเก็บศพของโรงพยาบาล เขาจับแขนของหมอเอาไว้แน่น
“พวกเราต้องไม่กลัวถ้าต้องการทำลายคำสาป” เฉินเกอครั้งหนึ่งเคยใช้เวลาทั้งคืนอยู่ในห้องเก็บศพใต้ดิน ดังนั้นนี่จึงไม่นับเป็นอะไรเลยสำหรับเขา เดินลึกเข้าไปในห้องเก็บศพคนเดียว เฉินเกอก็สังเกตเห็นร่อยรอยการต่อสู้เมื่อไม่นานมานี้ ชั้นเหล็กหลายชั้นที่น่าจะเป็นที่บรรจุศพนั้นถูกพลิกเปิดและผ้าขาวหลายผืนก็หล่นอยู่เกลื่อนพื้น
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน?” เฉินเกอพบว่าผ้าสีขาวหลายผืนนั้นมีรอยเลือดเปื้อนอยู่บนนั้น เขาวางผ้าหลายผืนนั้นตามแนวที่มันน่าจะเป็นและในที่สุดพวกเขาก็พบว่ารอยเลือดสีแดงนั้นเปื้อนเป็นแนวร่างของคนผู้หนึ่ง
“ดูเหมือนรูปร่างของเด็กอายุสักหกหรือเจ็ดขวบ” เฉินเกอมองรูปร่างนั่น “มันดูเหมือนว่าจะมีคนอุ้มเด็กขึ้นแล้วก็ทุ่มเขาใส่ผ้าขาวพวกนี้ และนั่นก็ทำให้เกิดรอยเลือดพวกนี้ทิ้งไว้ แต่ใครจะทำเรื่องแบบนั้นกัน? เด็กชายที่ฉันสงสัยว่าจะหนีมาจากโรงพยาบาลต้องสาปน่าจะเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดในโรงพยาบาลเอกชนนี่แล้ว ต้นกำเนิดของเกมซ่อนหา แล้ว ใครจะมีพลังมากพอที่จะทำร้ายเขาแบบนี้?”
หลังจากมองหารายละเอียดมากขึ้น เฉินเกอก็พบรอยเท้าปริศนาเปื้อนเลือดบนผ้าสีขาวผืนอื่น มันเหมือนจะถูกทิ้งเอาไว้จากรองเท้าส้นสูงของผู้หญิงสักคู่หนึ่ง
“รองเท้าส้นสูงสีแดงเลิกตามมือกรรไกรเพราะว่าเธอเลี้ยวมาทางห้องเก็บศพแทน? เธอจัดการกับเด็กชายที่สิงอยู่ในโรงพยาบาลนี้ด้วยตัวเอง?” เฉินเกอสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบานหนึ่งที่ด้านหลังห้องเก็บศพนั้นแตกอยู่ และมีหลอดเลือดเหนียว ๆ พันอยู่รอบ ๆ กระจกที่แตก “พวกเขาออกไปทางนี้เหรอ?”
มองไปยังหน้าต่างที่แตกแล้ว เฉินเกอก็พบว่าเขาประมาทระดับพลังของรองเท้าส้นสูงสีแดงเกินไป การที่เธอสามารถจัดการกับเด็กชายได้อย่างง่ายดายหมายความว่าเธอน่าจะเป็นวิญญาณสีเลือดที่ทรงพลังท่ามกลางวิญญาณสีเลือดด้วยกัน
“โชคร้ายที่ฉันมาช้าเกินไป ฉันถึงได้พบแค่วิญญาณสัมภเวสีสองตนเท่านั้น หวังว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงจะไว้ชีวิตเด็กชาย ฉันยังหวังว่าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับฉากระดับสี่ดาวจากปากของเขา”
TL note: โรคเรบีส์* เดิมก็คือโรคพิษสุนัขบ้า แต่เพราะว่าเป็นโรคที่ติดต่อระหว่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ไม่ใช่เพียงแค่สุนัข จึงมีการเปลี่ยนชื่อเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดนี้