“คุณยังยิ้มออกอีกเหรอ!” ไป๋หลางพูดอย่างโมโห

 

 

“นายโมโหอะไร? ฉันบอกแล้วว่าฉันสมยอมเอง”

 

 

“ผมก็สงสารคุณไง! ตอนนั้นคุณเองก็ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง ถ้าเย่เซียวต้องการแก้แค้นก็น่าจะมาหาผู้บัญชาการกระทรวงความมั่นคงของเราสิ! ตอนนั้นคุณถูกทรมานจนปางตาย ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย…”

 

 

“นายเก็บอารมณ์ของนายหน่อย เขาเสียลูกน้องไปตั้งมากเพราะฉัน…” ไป๋ซู่เย่พูดถึงนี่ตรงนี้ก็ทิ้งสายตาไปนอกหน้าต่าง มองภาพทิวทัศน์ที่รายเรียงอยู่นอกหน้าต่างห่างๆ ขอบตาแดงก่ำ สุดท้ายพูดออกมาเพียงว่า “ไม่พูดแล้ว เป็นเรื่องอดีตทั้งหมดแล้ว…จากนี้ไป จะไม่เกิดขึ้นอีก…”

 

 

ไป๋หลางได้ยินเสียงเศร้าโศกของเธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองสีหน้าในตอนนี้เธอสักนิดไม่ได้

 

 

“อ้อ จะบอกคุณเรื่องหนึ่ง” เขานึกบางอย่างได้เลยดึงหัวข้อพูดคุยมาที่เรื่องงาน “หลายวันก่อนในที่สุดก็ดักฟังความเคลื่อนไหวของไฟเรนเซ่ได้ เมื่อคืนคนของเราล้อมจับไฟเรนเซ่ที่ประเทศ T”

 

 

“ล้อมจับไฟเรนเซ่? นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

 

 

“ใช่ ฉะนั้นสถานการณ์ตอนนั้นเลยแย่มาก สุดท้ายมีคนมารับหน้าให้สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไฟเรนเซ่นั่นหนีไปได้! อีกอย่างตอนนี้ถือได้ว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นจริงๆ คิดจะล้อมจับเขา คงไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว”

 

 

ไป๋ซู่เย่ทิ้งสายตาไปนอกหน้าต่างอย่างหนักใจ เธอไม่อยากให้ตนได้รับหน้าที่นี้ ยิ่งไม่อยากให้เย่เซียวถูกลากมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย แต่มีหลายเรื่องที่ไม่เป็นตามที่หวัง พวกเขาควบคุมไม่ได้

 

 

…………

 

 

ไป๋ซู่เย่กลับไปโทรหาศูนย์บัญชาการร้องขอวันหยุด ปลัดกระทรวงใจดีอนุญาตให้เธอหยุดไปสิบวันเต็ม

 

 

หลังขอวันหยุดเสร็จเธอนอนบนเตียงหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราทันที หลับสนิทจนเธอแอบหวังว่าตนจะหลับไปเช่นนี้ ไม่ต้องตื่นมาอีกตลอดไป

 

 

หลับครั้งนี้จนลืมวันลืมคืน รอตื่นมาอีกทีพบว่าเป็นเช้าแปดโมงของวันรุ่งขึ้น

 

 

แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างทะลุม่านหมอกบางๆ เธอดึงผ้าม่านขึ้นให้แสงอาทิตย์สาดส่องมาบนเตียง ดูแล้วช่างอบอุ่น เธอยิ้มให้แสงอาทิตย์ ฟ้ายังไม่ถล่ม พระอาทิตย์ยังคงขึ้นเหมือนเดิม วันเวลาผ่านไปตามปกติ

 

 

เธอตื่นนอนมาแปรงฟันล้างหน้า

 

 

เดินออกจากห้องเพื่อชงนมให้ตนสักแก้วในห้องครัว ข้างหูเหมือนยังได้ยินเสียงเอาแต่ใจดังกึกก้องอยู่…

 

 

–หยุดอยู่ตรงนั้น! ห้ามไปไหน! ผมมาอยู่นี่ไม่ได้มาเป็นพ่อครัวให้คุณ!

 

 

–ต้มน้ำให้ผม ผมหิวน้ำ!

 

 

–ได้กินกับข้าวฝีมือผม แปลว่าชาติที่แล้วคุณทำบุญมาเยอะ

 

 

ทุกถ้อยคำวนเวียนไปมาอย่างชัดเจน ดึงทึ้งโสตประสาทเธออย่างบ้าคลั่ง เธอรีบเดินออกจากห้องครัวไปยืนรับอากาศตรงริมหน้าต่าง อารมณ์ถึงค่อยๆ สงบลง

 

 

เสียงเหล่านั้นก็เริ่มห่างหายจากตนขึ้นเรื่อยๆ…

 

 

จะดีขึ้น

 

 

สิบปีก่อนหัวใจที่แตกสลายไม่เหลือชิ้นดียังหายได้…—อย่างน้อยภายนอกเป็นเช่นนั้น ครั้งนี้เองก็ต้องทำได้

 

 

แค่ปัญหาขึ้นอยู่กับเวลา

 

 

ไป๋ซู่เย่เก็บสัมภาระบินออกนอกประเทศชั่วคราว เธอพักผ่อนที่ทะเลต่างประเทศสิบวันเต็ม สิบวันนี้ทุกวันแค่สวมแว่นกันแดดนอนอาบแดดริมชายหาด เธอทิ้งเบอร์โทรของโรงแรมไว้ให้ครอบครัวก่อนจะปิดโทรศัพท์มือถือตลอดการเดินทางนี้

 

 

สิบวันหลังจากนั้นพอกลับมาในประเทศเพิ่งลงจากเครื่อง เธอเปิดเครื่องกลับมีแจ้งเตือนสายที่โทรเข้ามาแล้วไม่ได้รับนับไม่ถ้วน

 

 

กดเปิดขึ้นดู เป็นของถังซ่ง

 

 

สิบวันนี้เขาโทรหาตนอยู่นับสิบกว่าสาย และต่างโทรมาเมื่อสามวันแรก เจ็ดวันหลังไม่มีสายโทรมาอีก

 

 

ไป๋ซู่เย่ไม่ได้โทรกลับไป

 

 

ไป๋หลางมารับเธอ ระหว่างที่ช่วยยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถก็พูดกับเธอไป “คุณไม่เปิดเครื่องสิบวัน อดทนเก่งจริงๆ! ผมกลัวว่าจะถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณข้างนอกเข้า”

 

 

“ฉันดูเหมือนคนที่ดูแลตัวเองไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

 

ไป๋ซู่เย่นั่งประจำตำแหน่งข้างคนขับแล้วรัดเข็มขัดนิรภัย

 

 

ไป๋หลางกระโดดขึ้นรถตัวปลิว มองเธอแวบหนึ่ง “คล้ำขึ้นนะครับ”

 

 

“งั้นเหรอ?”

 

 

“คล้ำขึ้นก็ดี ดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อนเยอะเลย” ไป๋หลางขับรถไปพลางใช้สายตาเหลือบมองเธอไป เห็นเธอมีชีวิตชีวาขึ้นมากเขาเองก็ลอบถอนหายใจโล่งอกตาม

 

 

………………

 

 

ไป๋ซู่เย่ปรับอารมณ์ให้ดีก่อนจะจดจ่อสมาธิทั้งหมดไว้ที่เรื่องงาน

 

 

ชีวิตของเธอกลับสู่สภาพปกติ วิ่งตอนเช้า ตอนเย็นหลังเลิกงานไปซ้อมมวยที่สนามฝึก ให้ตัวเองหมดซึ่งเรี่ยวแรงทั้งหมดถึงยอมกลับไป

 

 

วันที่สามหลังกลับประเทศ

 

 

เช้าตรู่ถูกปลัดกระทรวงเรียกไปที่ชั้นดาดฟ้า

 

 

“ท่านปลัด” เธอยกมือขึ้นเคาะประตู

 

 

“เข้ามานั่งสิ” ปลัดกระทรวงหันกลับมายิ้มมองเธอ “วันหยุดสิบวันนี้เป็นยังไงบ้าง?”

 

 

ไป๋ซู่เย่ยิ้มจางๆ “ดีมากค่ะ”

 

 

“อืม นานทีจะได้ผ่อนคลายแบบนี้ ควรสนุกให้เต็มที่ แต่ในเมื่อคุณกลับมาแล้ว งั้นผมมีภารกิจสำคัญที่จะมอบหมายให้คุณ”

 

 

“เชิญบอกมาได้เลยค่ะ”

 

 

ปลัดกระทรวงจดจ่อสายตากับเธอ “เราต้องการคนสืบสถานการณ์จริงๆ ของเย่เซียวในตอนนี้”

 

 

ไป๋ซู่เย่เผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อเอ่ยถึงชื่อนั้น เจ้าตัวเกร็งตัวอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับพยายามคงความเรียบนิ่งไว้

 

 

“ปลัด ตอนนี้ฉันกับเย่เซียว…”

 

 

“ผมรู้ว่าคุณอยากพูดอะไร” ปลัดไม่ได้ให้เธอพูดต่อ กล่าวเพียง “ความเคลื่อนไหวของไฟเรนเซ่ในครั้งนี้เราดักฟังมาจากตัวเย่เซียว หลายวันก่อนไฟเรนเซ่ได้ส่งคนมาลงโทษเย่เซียว ไฟเรนเซ่เป็นคนโหดเ**้ยมอยู่แล้วไม่ปราณีนีใคร ฉะนั้นตอนนี้เย่เซียวอยู่หรือตายไม่มีใครรู้ ได้ยินว่าถูกยิงหลายนัด”

 

 

ถูกยิงหลายนัด…

 

 

ไป๋ซู่เย่ในหัวอื้ออึง ถ้อยคำของปลัดเหมือนหินขนาดใหญ่ที่กระแทกมาซ้ำๆ จนใบหน้าเธอเริ่มขาวซีด

 

 

สิบวันนี้…

 

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขา…ก็คนที่มีเรือนร่างเป็นเนื้อหนังทั่วไปแล้วจะทนรับลูกกระสุนหลายนัดได้อย่างไรไหว?

 

 

“ผมคิดว่าจากความสัมพันธ์ของคุณกับเย่เซียว ต้องมีหนทางที่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ของเขาได้แน่ๆ ถ้าเขาตายไปจริงๆ ก็รีบกลับมารายงานเรา ไฟเรนเซ่ขาดลูกมือสำคัญขนาดนี้ไป น่าจะจับตัวเขาง่ายขึ้นในการจับตัวเขา” ปลัดยังคงพูดต่อ

 

 

‘ตาย’ คำเดียวทำเอาเธอรู้สึกโลกหมุน มือยันโซฟาไว้ฝืนใจให้ประคองร่างยืนนิ่ง “เขาไม่มีทางตายได้หรอก…”

 

 

เสียงของเธอสั่นเครืออย่างรุนแรง

 

 

ประโยคนี้ทั้งที่เป็นคนพูดออกมาเอง แต่กลับไม่มีความมั่นใจสักนิด

 

 

เธอคล้ายจะให้คำพูดตัวเองฟังดูมีน้ำหนักแถมยังหอบหายใจ หัวเราะเสียงเบา “เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ สิบปีก่อนยิงทะลุไส้ยมบาลยังไม่กล้ารับชีวิตเขาไว้ ตอนนี้…ยมบาลก็ไม่กล้ารับเขาเหมือนกัน”

 

 

ปลัดมองท่าทางอารมณ์ใกล้จะพังทลายลงเต็มทีของเธอด้วยแววตาล้ำลึก “ผมว่าสีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีนะ คุณออกไปก่อนเถอะ ภารกิจนี้หวังว่าคุณจะเก็บไปคิด ภายในสองวันมาให้คำตอบที่น่าพึงพอใจแก่ผม”

 

 

ไป๋ซู่เย่ไม่ได้อยู่ในห้องทำงานของปลัดไปนานกว่านี้ เธอถอยออกไปและวางมือไว้บนด้ามจับประตูอันเย็นเฉียบ พักใหญ่สีหน้ายังขาวซีดดังเดิม ไม่อาจระงับอารมณ์หลากหลายที่กำลังพลุ่งพล่านในอกได้

 

 

สิบวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

 

เย่เซียวระมัดระวังตัวตลอด ทำไมถึงถูกดักฟังได้

 

 

……………………………