ตอนที่ 682 เหวลึกของความรัก (1)

อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!

ความภักดีที่เย่เซียวมีต่อไฟเรนเซ่ เธอรู้ดีกว่าใครอื่น เขาไม่มีทางเปิดเผยความเคลื่อนไหวของไฟเรนเซ่ได้ หากเป็นการดักฟังของกระทรวงความมั่นคง แล้วพวกเขาใช้วิธีใดในการดักฟัง? การดักฟังเย่เซียวไม่ใช่เรื่องง่าย

 

 

แล้วก็…ตอนนี้เขา…ยังมีชีวิตอยู่ไหม?

 

 

คิดถึงคำถามสุดท้ายนี้ไป๋ซู่เย่รู้สึกเหมือนตัวเย็นไปทั้งตัว ไม่กล้าคิดในแง่ลบ

 

 

“รัฐมนตรีไป๋ คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ยไหมคะ?” เลขาประจำตัวของปลัดกระทรวงเห็นสีหน้าเธอแปลกไปเลยจึงเข้ามาถามไถ่

 

 

ไป๋ซู่เย่ไม่ตอบกลับรีบล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นมา เร่งฝีเท้าเข้าไปในตัวลิฟต์ไปพลางโทรหาถังซ่งไป สามวันแรกที่เธอไปต่างประเทศถังซ่งโทรมาหาเธอหลายสายขนาดนี้ เรื่องต้องเกิดขึ้นเมื่อนั้นแน่ๆ

 

 

เธอโทรหาเบอร์ของเขา ทุกครั้งที่กดตัวเลขนิ้วมือก็สั่นระริกอย่างรุนแรง

 

 

แต่โทรไปกลับเหมือนก้อนหินที่ถ่วงลงใต้ทะเล ไม่มีคนรับสาย

 

 

เธอไม่ยอมแพ้ตายใจและโทรต่อสายแล้วสายเล่า แต่ผลสุดท้ายก็เหมือนเดิม

 

 

หัวใจดิ่งแล้วดิ่งอีก

 

 

ตำแหน่งตรงหน้าอกทั้งหนักอึ้งทั้งหน่วง…

 

 

“ให้ไป๋หลางมาห้องทำงานของฉัน! เดี๋ยวนี้!” เมื่อไป๋ซู่เย่ผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานก็สั่งเลขาดังกล่าว

 

 

เลขาเห็นสีหน้าเธอผิดปกติจึงเลยไม่กล้าชักช้า ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีไป๋หลางเข้ามาแล้ว ไป๋ซู่เย่กำลังรอเขาอยู่ “ปิดประตู”

 

 

“ทำไมเหรอรัฐมนตรี?” ไป๋หลางเองก็สังเกตเห็นสีหน้าที่แย่ถึงที่สุดของเธอได้ในวูบแรก

 

 

“ฉันถามนาย เรื่องของเย่เซียว นายรู้ตั้งนานแล้วใช่มั้ยไหม?” เธอก้าวมาตรงหน้าไป๋หลางสองก้าว

 

 

ไป๋หลางถูกสายตาเย็นชาของเธอบีบบังคับ กลืนน้ำลายแล้วพยักหน้า “ความจริง…วันที่คุณกลับประเทศผมก็อยากบอกแล้ว แต่ว่าคุณก็รู้คุณกับเย่เซียวไม่ควรมาเจอกัน ผม…”

 

 

“พอแล้ว เช็คได้มั้ยไหมว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” ไป๋ซู่เย่ไม่มีใจจะฟังต่อไป ตอนนี้เธออยากรู้แค่ว่าเขายังอยู่ดีหรือไม่ ขอแค่เขายังมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ก็พอ…

 

 

ไป๋หลางส่ายศีรษะ “เช็คไม่ได้”

 

 

“กระทรวงความมั่นคงเราเช็คความเคลื่อนไหวของเย่เซียวไม่ได้?”

 

 

“เขาไม่ได้แค่หลบหนีกระทรวงความมั่นคงเรา แต่ยังหลบหนีทุกคนที่คิดจะสบโอกาสเข้าหาเลยยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง อีกอย่างเขาเก่งเรื่องย้อนกลับมาจับตาดูคู่ตรงข้ามอยู่แล้ว เราเลยยังจับร่องรอยความเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่ได้ชั่วคราว”

 

 

ไป๋ซู่เย่ใจว้าวุ่นไม่สงบสุข “งั้นก็รีบเช็คต่อ! ห้ามละเลยจุดที่เป็นไปได้แม้แต่จุดเดียว!”

 

 

“ผมรู้”

 

 

“นายออกไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียวสักพัก”

 

 

ไป๋หลางไม่ได้พูดอะไร แค่หยักหน้ารับ มองเธอด้วยความเป็นห่วงแวบหนึ่งก็ถอยออกจากห้องทำงานไป

 

 

ไป๋ซู่เย่หยิบโทรศัพท์มาโทรหาถังซ่งอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าตนโทรไปกี่สายแล้วกันแน่ แต่กลับยังไม่มีคนรับสาย

 

 

ตลอดทั้งวันหัวใจของเธอไม่เคยสงบลงเลยสักวินาทีเดียว

 

 

เธอไม่อยากให้เขาตาย…

 

 

ไม่อยากให้เขาเป็นอะไรไป…

 

 

เธอยอมฝืนทนความเจ็บปวดแสนสาหัสไว้ ยอมแยกจากเขา ก็เพื่อให้เขามีชีวิตต่อไป อยู่ต่อไปได้!

 

 

ขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิด จู่ๆ โทรศัพท์ของเธอก็แผดเสียงดังลั่น

 

 

ไป๋ซู่เย่แทบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาในวินาทีแรก พอเห็นคำว่า ‘ถังซ่ง’ บนหน้าจอ ตาแดงก่ำ น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างไม่บอกกล่าวล่วงหน้า

 

 

“คุณโทรกลับหาฉันสักที…”

 

 

มือของเธอที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่สั่นระริก พยายามอดทนไว้ แต่ความแหบแห้งในน้ำเสียงกลับปกปิดไม่ได้

 

 

เธอไม่เคยรู้สึกกังวล หวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน…

 

 

“หลายวันก่อนโทรหาคุณไม่ติด ผมคิดว่าคุณบล็อกเราทุกคนไปแล้ว”

 

 

“เปล่า ฉันแค่ไปต่างประเทศ” ไป๋ซู่เย่รีบอธิบาย สูดหายใจเข้าลึก “ถังซ่ง เย่เซียว…เขายังสบายดีมั้ยไหม?”

 

 

“…” ถังซ่งไม่พูดอะไร

 

 

“ถังซ่ง ฉันขอร้องคุณล่ะ บอกความจริงให้ฉัน! ฉันอยากให้เขามีชีวิตต่อ เขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้!”

 

 

“รัฐมนตรีไป๋ คุณอยากรู้ความเคลื่อนไหวของเขาเพราะเหตุผลส่วนตัวของคุณ หรือเพราะกระทรวงความมั่นคงของพวกคุณ?”

 

 

“ไม่เกี่ยวกับกระทรวงความมั่นคง!” เธอตอบกลับทันควัน

 

 

“หลายวันก่อนตอนผมโทรหาคุณเพราะตอนที่ช่วยเขา เขาเรียกชื่อคุณตลอด ผมคิดว่าถ้าตอนนั้นคุณอยู่ข้างเขา น่าจะช่วยเขาได้ราบรื่นขึ้นเยอะ…”

 

 

ไป๋ซู่เย่ตัวเอียงไปมา มือจับขอบโต๊ะไว้ถึงประคองร่างอยู่

 

 

“แล้ว…เขาในตอนนี้ล่ะ?” พักใหญ่ไป๋ซู่เย่ถึงหาเสียงตัวเองเจอ “คุณบอกว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะเสมอ…คุณช่วยเขาจากประตูนรกได้ ฉะนั้น…ฉันเชื่อคุณ คุณไม่มีทางปล่อยให้เขาเป็นอะไรไป”

 

 

ถ้อยคำของเธอเป็นประโยคที่แน่วแน่แต่กลับไม่มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น

 

 

ถังซ่งไม่ส่งเสียงใดๆ อย่างเดิม

 

 

“ถังซ่ง ฉันขอร้องคุณให้ฉันเจอเขาหน่อย! ฉันไม่ต้องการอะไร แค่ได้เห็นเขาแวบเดียวอยู่ห่างๆ ในตอนที่เขากำลังหลับอยู่ก็พอ”

 

 

ถังซ่งเงียบไปอึดใจ สุดท้ายกล่าว “ได้ ผมตัดสินใจเองให้คุณไปเจอเขาได้ แต่ผมต้องบอกคุณไว้ก่อนว่าเหตุผลที่ผมตกลงยอมพาคุณไปเจอเย่เซียวไม่ใช่เพื่อคุณ แต่ผมไม่อยากเห็นเพื่อนของผมเป็นอะไรอีก ผมหวังว่าพวกคุณสองคนจะตัดขาดกันได้จริงๆ สักที! อีกอย่างผมต้องบอกคุณล่วงหน้า…”

 

 

ถังซ่งกล่าวถึงนี่ตรงนี้ก็หยุดชะงัก “ครั้งนี้คุณปรากฏต่อหน้าเขา อาจจะไม่มีชีวิตเหลือรอดกลับไปอีก ดังนั้นก่อนจะมา คุณต้องเตรียมใจไว้ให้ดี”

 

 

ไป๋ซู่เย่ไม่เข้าใจประโยคนี้ของถังซ่ง

 

 

หากตนไม่มีชีวิตเหลือรอดกลับไป แล้วใครอยากจะฆ่าเธอ? แล้วทำไมถึงฆ่าเธอ?

 

 

แต่คำถามเหล่านี้ล้วนไม่ใช่คำถามสำคัญก่อนที่จะได้เจอเย่เซียว เพราะมีครอบครัวเธอไม่อยากตาย แต่เธอเองก็ไม่เคยกลัวตาย

 

 

“ฉันไป” ไป๋ซู่เย่ไม่ลังเลสักนิด นี่ไม่จำเป็นต้องพิจารณาด้วยซ้ำ

 

 

“ได้ คืนนี้สองทุ่มจะรอที่ท่าเรือหู่ซัน จะมีรถไปรับคุณ ผมขอเตือนคุณไว้ด้วยความหวังดีเลยนะ —อย่าให้คนของกระทรวงความมั่นคงพวกคุณสะกดรอยตาม ไม่อย่างนั้นจะไม่มีชีวิตกลับไปแม้แต่คนเดียว”

 

 

“ฉันเข้าใจแล้ว”

 

 

………………………………

 

 

กลางคืนสองทุ่ม

 

 

ไป๋ซู่เย่ให้ไป๋หลางพาตนมาส่งที่ท่าเรือหู่ซันอย่างตรงต่อเวลา สามารถเห็นไฟหน้ารถของรถเก๋งคันดำคนหนึ่งที่ขับฝ่าความมืดมาแต่ไกล

 

 

“ฉันไปก่อน นายรอฉันอยู่ตรงนี้” ไป๋ซู่เย่ผลักประตูรถเตรียมลงจากรถ

 

 

โทรศัพท์ดังขึ้นในฉับพลัน

 

 

สายของถังซ่ง

 

 

เขาโทรมาและพูดประโยคสั้นๆ “วางอาวุธบนตัวคุณไว้บนรถตัวเอง”

 

 

ถังซ่งระแวงเธออย่างมาก

 

 

เธอกดวางสายและถอดปืนและมีดสั้นลงอย่างไม่ลังเล ไป๋หลางมุ่นคิ้ว “รัฐมนตรี พวกเขาหมายความว่ายังไง?”

 

 

“ตอนนี้เย่เซียวอยู่ในสถานการณ์พิเศษ ไม่แปลกที่พวกเขาจะระแวงฉัน”

 

 

“ในเมื่ออย่างนี้ผมก็จะวางอาวุธลงแล้วไปด้วยกันกับคุณ!”

 

 

“นายอยู่เฉยๆ ห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม!” ไป๋ซู่เย่กดมือที่เตรียมปลดอาวุธของไป๋หลางไว้ “ฉันจะรีบกลับมา”

 

 

“ตอนนี้คุณเหมือนเข้าถ้ำเสือ ถ้าเกิดว่า…”

 

 

“พอแล้ว รอฉันอยู่ตรงนี้” ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ฟังคำของไป๋หลางต่อ เปิดประตูรถลงมา รถยนต์ที่เปิดไฟสูงเทียบจอดนิ่งๆ ก่อนที่ประตูรถจะถูกเปิดออก

 

 

ไป๋ซู่เย่มุดตัวเข้าไป วินาทีต่อมารถยนต์ก็พุ่งทะยานเข้าไปในความมืดด้วยความเร็วสูงสุดราวกับลูกกระสุน

 

 

…………………………