ตอนที่ 37-2 ศพที่พิสูจน์ไม่ได้
ไม่นานก็มีคนยกศพหลูอี้เข้ามาวางข้างใน
เซี่ยฟางหวาก้าวขึ้นมา พบว่าหลูอี้ผอมอย่างยิ่ง เหมือนบัณฑิตบอบบางคนหนึ่ง ไม่คล้ายกับเป็นผู้สมัครทหารที่มีร่างกายกำยำเลย ไม่รู้ว่าตอนนั้นตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางนึกอย่างไรถึงส่งเขามาที่ค่ายทหาร
นางเดินวนดูศพหลูอี้รอบหนึ่ง ก่อนสั่งงานคนด้านข้าง “นำถุงมือ ที่คีบ กรรไกร เข็มกับด้ายมาให้ข้า”
“พระชายาน้อย ห้ามทำลายศพหลานชายคนนี้” ได้ยินคำว่ากรรไกร ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็ก้าวขึ้นมาทันที
“ข้าไม่ทำลายศพเขาหรอก” เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองเขา เน้นย้ำเพื่อสร้างความมั่นใจ
“เช่นนั้นท่านนำกรรไกรมาทำไม” ผู้อาวุโสคนเดิมไม่แน่ใจ
“กรรไกรมีวิธีใช้งานของมัน” เซี่ยฟางหวาตอบ
ผู้อาวุโสคนเดิมมองไปยังฉินอวี้ “รัชทายะ…”
“หลูกงอย่าเพิ่งวู่วาม” ฉินอวี้บอก
ผู้อาวุโสคนเดิมได้แต่ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
เซี่ยฟางหวามองประเมินรอบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังท้องฟ้า พบว่าท้องฟ้ายังเหลือแสงสว่างเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น นางจึงเอ่ยขึ้น “ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งก้านธูป”
“หมายถึงอะไร” ฉินอวี้ถาม
“อีกหนึ่งก้านธูป ศพนี้ถึงแม้จะไม่ถูกผ่าพิสูจน์ แต่ศพก็จะไม่เหลือแม้แต่กระดูก” เซี่ยฟางหวาตอบ
“อะไรนะ!” ผู้อาวุโสทุกคนผงะตกใจทันที
“พระชายาน้อย อย่าพูดจาเหลวไหล” หลูหย่งรีบเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่เคยพูดเหลวไหล ศพนี้น่าจะตายเพราะถูกหนอนพิษจง ต่อมายามเฉิน*[1]วันนี้ก็ถูกคนวางพิษสลายศพอีก พิษนี้จะยังรักษาสภาพศพได้ในหกชั่วยาม แต่หลังหกชั่วยามเป็นต้นไปก็จะค่อยๆ กร่อนศพ ไม่เหลือแม้แต่กระดูก ขนาดผมหรือขนสักเส้นก็ไม่เหลือทิ้งไว้” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเสียงเย็น
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็พากันตกใจ
“พระชายาน้อย ท่านอย่าพูดจาเขย่าขวัญเช่นนี้” หนึ่งในผู้อาวุโสหน้าถอดสี
“ข้าพูดเรื่องจริง หาได้พูดจาเขย่าขวัญไม่” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่ง
“พระชายาน้อย หนอนพิษจงที่ท่านว่าคืออะไร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถาม
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายยังจำเหตุเพลิงไหม้และคดีลอบสังหารที่วัดฝ่าฝอซื่อได้หรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขา เมื่อเห็นเขาพยักหน้ารับก็พูดต่อ “ตอนนั้นไต้ซืออู๋ว่างลอบสังหารฉินเจิง ต่อมาเมื่อตายไปพบว่าถูกวิชาหนอนพิษจงซึ่งเหมือนกับหลูอี้ไม่ผิด ฟังว่านี่เป็นวิชาที่ใช้โจมตีควบคุมผู้อื่นรูปแบบหนึ่งในวิชาคำสาปเผ่าภูตผี”
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นศพอู๋ว่างหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาเหตุเพลิงไหม้และคดีลอบสังหารที่วัดฝ่าฝอซื่อจึงถูกพักไปก่อนชั่วคราว ตอนนี้หลูอี้ถูกวิชาหนอนพิษจงเช่นเดียวกับอู๋ว่างได้อย่างไร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“เรื่องนี้ต้องถามผู้ร่ายคำสาป” เซี่ยฟางหวาตอบ
“พระชายาน้อยรู้จักวิชาหนอนพิษจงได้อย่างไร ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นสิ่งนี้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามขึ้น
“ผู้เรียนวิชาแพทย์ หากตำราวิชาแพทย์โบราณยังศึกษาไม่ปรุโปร่ง ก็ไม่ต้องเรียกตัวเองว่าหมอแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงเรียบ
ผู้อาวุโสคนนั้นเงียบทันที
“นอกจากนี้ท่านบอกว่ายามเฉินวันนี้มีคนวางพิษสลายศพอีก เขาตายไปตั้งแต่ก่อนยามเฉินเสียอีก” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวขึ้นอีก
“เรื่องนี้ต้องถามผู้ที่สัมผัสศพแล้ววางพิษสลายศพกับเขา” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบ
“พิษสลายศพคืออะไร นึกไม่ถึงว่าจะร้ายแรงขนาดทำให้ไม่เหลือแม้แต่กระดูก ไม่เหมือนกับผงกร่อนศพหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถามขึ้นอีก
“ผงกร่อนศพคือยาผงชนิดหนึ่งที่ทำให้ศพหายสาบสูญไปในตอนนั้น ร้ายกาจมากก็จริง แต่ไม่อาจกร่อนเส้นผมหรือขนไปด้วย ทว่าพิษสลายศพต่างออกไป ฤทธิ์ของมันต้องใช้เวลาหกชั่วยามถึงจะทำให้ศพค่อยๆ แยกโครงร่างและแขนขาออกมา ครั้นแล้วก็กร่อนสลายอีกครั้ง แม้แต่ผมหรือขนสักเส้นก็ไม่เหลือ” เซี่ยฟางหวาตอบ
“พระชายาน้อย ก่อนหน้านี้ขุนนางชันสูตรศพพิสูจน์ไม่ได้ ตอนนี้มีเพียงท่านที่พิสูจน์ศพได้ ท่านจะให้พวกเราเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่ท่านพูดมาเป็นความจริง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายไล่ถามต่อ
“ของที่ข้าต้องการได้หรือยัง” เซี่ยฟางหวาไม่ตอบกลับเอ่ยถามข้างหลัง
“เรียนพระชายาน้อย ของที่ท่านต้องก่อนได้แล้วขอรับ” มีคนก้าวขึ้นมา ยื่นของที่เซี่ยฟางหวาต้องการให้
เซี่ยฟางหวาพับแขนเสื้อขึ้น สวมถุงมือเตรียมพร้อม สอดด้ายเข้าเข็มและทิ้งปลายด้ายเอาไว้ยาวพอตัว นางกวาดตามองแล้วเอ่ยกับทุกคน “ข้าจะทำให้พวกท่านเชื่อตอนนี้ แต่ตอนที่ข้าลงมือ ห้ามผู้ใดส่งเสียงโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะทำลายการสมาธิข้าตอนตรวจพิสูจน์ความจริง อาจกลายเป็นฆาตกรต้องโทษได้ทันที”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ใต้เท้าหานดูแลกรมอาญา คดีฆาตกรรมหมอหลวงซุนกับคดีนี้เกี่ยวเนื่องกัน ถือว่าเป็นคดีเหมือนกัน ที่ผ่านมาใต้เท้าหานได้รับฉายาว่ายุติธรรมเที่ยงตรง ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ข้าคิดว่าขอให้ใต้เท้าหานมาช่วยงานน่าจะไม่มีใครเห็นต่างแล้วกระมัง” เซี่ยฟางหวามองไปยังหานซู่ “นี่เป็นการทำให้ทุกคนเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นไปอย่างยุติธรรมเช่นกัน ถึงอย่างไรหมอหลวงซุนก็ถูกสังหารไปแล้ว ข้าคนเดียวคงยากจะเรียกความน่าเชื่อถือ จะได้ไม่มีใครหาว่าข้าวางอุบาย”
“ได้!” ใต้เท้าหานผงกศีรษะก่อนก้าวออกมาก้าวหนึ่ง “ข้าจะช่วยพระชายาน้อยพิสูจน์เอง”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วบอกอู๋เฉวียน “อู๋กงกง ช่วยมาแหวกเสื้อบริเวณหน้าอกของคนผู้นี้ให้ด้วย”
อู๋เฉวียนรีบก้าวขึ้นมา “พระชายาน้อยโปรดชี้แนะด้วย กระหม่อมมือเท้าเงอะงะ แต่ย่อมให้ความช่วยเหลือ” พูดจบ เขาก็แหวกเสื้อบริเวณหน้าอกของหลูอี้ออก
ผิวหน้าอกของหลูอี้ยังสมบูรณ์แบบเป็นสีปกติทั่วไป มองไม่เห็นความผิดปกติใดแม้แต่น้อย
เซี่ยฟางหวาหยิบเข็มขึ้นมา นางทิ่มเข็มลงบนข้อมือของตัวเองก่อนแผ่วเบา เลือดหยดหนึ่งหยดลงบนหน้าอกหลูอี้ นางทิ่มเข็มเล่มนั้นลงบนหน้าอกของเขา จากนั้นก็ยืดตัวขึ้น ส่งปลายด้ายอีกด้านที่สอดผ่านเข็มให้หานซู่ซึ่งอยู่ด้านข้าง “ใต้เท้าหาน จงถือไว้ให้มั่น ประเดี๋ยวไม่ว่ามองเห็นสิ่งใด ท่านห้ามขยับมือโดยเด็ดขาด”
หานซู่พยักหน้ารับ
“ไปนำจานกับถ้วยมาอย่างละใบ” เซี่ยฟางหวาสั่งงานเพิ่ม
มีคนรีบวิ่งออกไป
ทุกคนต่างมองมาที่นาง หลายคนต่างจับตามองหน้าอกของหลูอี้ไม่ให้คลาดสายตา
ผ่านไปพักหนึ่ง บนหน้าอกหลูอี้พลันปรากฏปุ่มนูนขึ้นจากข้างในร่างกาย ตามมาด้วยหนอนตัวเล็กสีเลือดที่ค่อยๆ เลื้อยขยุกขยิกขึ้นมาตามจุดที่แทงเข็มลงไป
บางคนเบิกตากว้าง บางคนแทบหลุดอุทานด้วยความตกใจ บางคนแทบทรงตัวไม่อยู่
หนอนตัวเล็กสีเลือดดูดซับเลือดของเซี่ยฟางหวาที่หยดลงบนหน้าอกหลูอี้เมื่อครู่ด้วยความแปลกประหลาดยิ่ง จากนั้นมันก็ขยับขึ้นมาตามเข็มที่เปื้อนเลือดราวกับยังไม่อิ่ม ดูดซับคราบเลือดทั้งหมดจนแห้งในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นก็ขยับไต่ขึ้นมาตามความยาวด้าย
หานซู่ตัวแข็งค้างไปแล้ว ฝ่ามือแทบจะถือปลายด้ายอีกด้านต่อไปไม่ไหว แต่โชคดีที่วันนี้เขาเผชิญกับการวางกลไกศิลายักษ์ลอบสังหารและฝูงหมาป่ารุมล้อม ดังนั้นจึงพอตั้งสติได้อยู่บ้าง เมื่อเห็นหนอนตัวเล็กสีแดงไต่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนใกล้ถึงปลายนิ้วเขาในเวลาอันรวดเร็ว เขาจึงมองเซี่ยฟางหวาด้วยใบหน้าซีดขาว
เซี่ยฟางหวาถือกรรไกรเตรียมไว้ก่อนแล้ว นางตัดด้ายในมือหานซู่แผ่วเบาทว่าเด็ดขาด ขณะเดียวกันก็ใช้ที่คีบคีบเข็มออกมาอย่างว่องไว เข็มกับด้ายและหนอนสีแดงตัวเล็กมากตกลงไปในจานโดยพร้อมเพรียงกัน นางนำถ้วยมาครอบปิดจานต่ออย่างรวดเร็ว
หานซู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ร่างกายโงนเงนจนคนข้างหลังเข้ามาพยุงไว้
“นี่คือหนอนพิษจงในร่างกายของเขา ข้านำมันออกมาแล้ว ทันเวลาพอดี” เซี่ยฟางหวายกจานขึ้นมาแล้วกวาดตามองทุกคน
ทุกคนมองหนอนสีแดงตัวเล็กที่ถูกจานและถ้วยครอบเอาไว้ในมือของนางด้วยความตระหนกตกใจ ยังไม่ทันรวบรวมสติ ทันใดนั้นแขนขาของหลูอี้ที่นอนอยู่บนพื้นก็หลุดแยกออกอย่างรวดเร็ว เสียงเสียดสีดังขึ้นต่อเนื่อง เพียงชั่วพริบตาเดียวศพทั้งร่างก็สูญสลายไป ไม่เหลือแม้แต่ผมหรือขนสักเส้น
มีสองคนอุทานขึ้นด้วยความตกใจแล้วเป็นลมหมดสติไปทันที
เซี่ยฟางหวายิ้มเยาะ “ครั้งนี้พิสูจน์ได้แล้วใช่หรือไม่ว่าข้าพูดจริง มีคนสังหารหมอหลวงซุน วางแผนขัดขวางข้าระหว่างเดินทาง ทั้งหมดก็เพื่อซื้อเวลาให้ศพหลูอี้สลายหายไปจนตรวจสอบไม่ได้”
*ยามเฉิน หรือ เวลาเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า