ตอนที่ 38-1 ความจริงกระจ่าง
ความแปลกใจที่ทุกคนได้เห็นหนอนสีแดงถูกดึงออกมาจากร่างกายหลูอี้ยังไม่ทันจางหาย เมื่อเห็นศพเขาค่อยๆ กร่อนสลายจนหายสาบสูญไป ทิ้งเอาไว้เพียงทางน้ำรอยหนึ่ง ทุกคนต่างตื่นตกใจจนนิ่งอยู่กับที่
แน่นอนว่าในบรรดาผู้ที่ตื่นตกใจไม่รวมถึงฉินเจิง ฉินอวี้ และหลี่มู่ชิง
ทั้งสามต่างเป็นคนที่ต่อให้ภูเขาไท่ซานถล่มลงมาสีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็อุทานขึ้น “หลูอี้!”
“พระชายาน้อย ท่านใช้กลลวงใดกันแน่” ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งได้สติกลับคืนมา ชี้หน้าเซี่ยฟางหวาด้วยมือสั่นเทาอย่างหวาดกลัว
“กลลวง” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเสียงเย็น “ตอนนี้ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเหลือแค่ผู้อาวุโสสมองเลอะเทอะหรือ อนุชนรุ่นหลังที่มีตามีสมองตายกันไปหมดแล้วหรืออย่างไร ข้าแค่พิสูจน์ศพเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วกลับสาดโคลนใส่ข้ารึ”
นางเอ่ยด้วยถ้อยคำรุนแรง แววตาเยือกเย็น แผ่รัศมีคุกคาม
ผู้อาวุโสคนเดิมมองนางถูกรัศมีของนางข่มขู่จนตระหนก หนวดเครากระตุกขึ้นราวกับจะเป็นลมไป
“เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านก็คิดว่าข้าใช้กลลวงด้วยรึ” เซี่ยฟางหวาหันมามองหลูหย่ง
เวลานี้หลูหย่งก็ได้สติกลับคืนมาแล้วเช่นกัน เขามองบนพื้น เดิมทีตรงนั้นเคยมีศพนอนแน่นิ่งอยู่ ยามนี้กลับแปรสภาพกลายเป็นกองน้ำกองหนึ่ง เขาเงยหน้ามองเซี่ยฟางหวา แววตานางเยือกเย็นคล้ายเยาะเย้ยคล้ายเหน็บแหนม เขาตื่นตัวขึ้นมาฉับพลัน มองไปยังฉินอวี้
ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใด ใบหน้าเรียบเฉย
เขาหันไปมองฉินเจิง
ใบหน้าฉินเจิงเย็นชาเงียบสงบ ไม่แสดงสีหน้าใดเช่นกัน
เขาทำจิตใจให้สงบ ไตร่ตรองก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้วิชาแพทย์ กับวิชาคำสาปเผ่าภูตผีก็รู้เพียงแค่ชื่อเท่านั้น พระชายาน้อยเป็นสตรีในหอนอนกลับรู้จักหนอนพิษจงน่าประหลาดเช่นนี้ ทั้งยังรู้จักพิษสลายศพอีก ต้องมองท่านใหม่แล้ว”
สุดท้ายแล้วเมื่ออ้าปากกล่าวก็ไม่ได้เอ่ยถึงวิธีการที่นางกระทำ เพียงเอ่ยว่านางซึ่งเป็นสตรีในหอนอนไม่ควรรู้จักเรื่องพวกนี้
ชั่วพริบตาก็ชวนให้ทุกคนต่างพากันคาดเดาด้วยความสงสัย
สตรีทั่วไปหากเติบโตมาในหอนอนย่อมรู้จักเพียงเรื่องที่เด็กผู้หญิงพึงกระทำ อย่างเช่นศิลปะทั้งสี่อย่าง งานเย็บปักถักร้อย การประพันธ์บทกลอน ทว่าเรื่องลับลมคมในแบบนี้ไม่ใช่แค่เขย่าขวัญผู้อื่น แต่ยังทำให้ผู้ได้เห็นกับตาไม่อาจลืมเลือนตลอดชีวิต แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่สตรีในหอนอนพึงรู้จัก
สายตาของทุกคนที่มองไปยังเซี่ยฟางหวาเต็มไปด้วยความสงสัยระคนคาดเดา
เซี่ยฟางหวาหาได้สนใจไม่ กลับเอ่ยเสียงเรียบ “ตำราในจวนจงหย่งโหวไม่ได้มีแค่หลักร้อยหลักหมื่น แต่มีถึงหลักแสนเล่ม แทบจะครอบคลุมตำราทุกชนิดในหล้า แม้ข้าเป็นสตรีในหอนอน แต่ตลอดหลายปีที่ล้มป่วยจนไม่อาจออกไปไหนมาไหนได้ การอ่านตำราเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ฆ่าเวลา การศึกษาตำราแพทย์ ตำราพิษ ตำรายาก็เพื่อนำมารักษาตัวเอง มีสิ่งใดน่าแปลกอย่างนั้นหรือ วิชาหนอนพิษจงของเผ่าภูตผีข้าย่อมได้ศึกษามาบ้าง” หยุดชั่วครู่แล้วจ้องเสนาบดีฝ่ายซ้าย “เสนาบดีฝ่ายซ้ายกำลังสงสัยฐานะคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวของข้ารึ”
หลูหย่งไม่คิดว่านางจะอธิบายเหตุผลได้อย่างไม่ติดชัดอันใด เวลานี้ได้แค่พึมพำขึ้น “เรื่องในวันนี้สร้างความตื่นตกใจให้ทุกคน หลานชายในตระกูลข้าไม่เหลือศพแบบนี้แล้ว ความจริงนั้น…”
“ข้าบอกพวกท่านแล้ว แต่พวกท่านไม่เชื่อ” เซี่ยฟางหวาขัด
หลูหย่งเถียงไม่ออก หันไปมองรัชทายาท “องค์รัชทายาท…”
“องค์รัชทายาท โปรดตัดสินพระทัยแทนเราด้วย!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นทันทีเมื่อกล่าวจบ
ผู้อาวุโสคนอื่นก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นเช่นกัน สะอื้นเอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาท หลานชายในตระกูลของข้ากลับไม่เหลือแม้แต่ศพให้ฝัง เมื่อไม่มีศพแล้ว พวกเราจะกลับไปอธิบายกับบิดามารดาเขาอย่างไร องค์รัชทายาทโปรดทรงตัดสินด้วยเถิด”
ฉินอวี้เม้มปาก มองไปยังเซี่ยฟางหวาก่อนเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าจะให้ข้าตัดสินอย่างไร”
ผู้อาวุโสทุกคนเอ่ยขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน “พระชายาน้อยนาง…”
“ไม่เจียมตัว!” ฉินเจิงพลันโมโหขึ้นมา เขาดึงกระบี่จากข้างลำตัวของตนเองออกมา ทันทีที่กระบี่ส่งเสียงครวญออกจากฝัก ชั่วพริบตามันก็ลอยไปปักบนพื้นตรงหน้าผู้อาวุโสทุกคน เขามองผู้อาวุโสแต่ละคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยแววตาเยือกเย็น “สาเหตุการตายกระจ่างแล้ว ไม่คิดจะสืบคดีต่อกลับสาดโคลนใส่ผู้พิสูจน์ศพแทนอย่างนั้นรึ ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของพวกเจ้าคงมาถึงจุดจบแล้วสินะ”
ผู้อาวุโสเหล่านั้นมองกระบี่ที่กำลังสั่นระรัวราวกับมันปักลงบนตัวพวกเขา ทุกคนตกใจกลัวจนตัวสั่นเทา
“เจ้าจะทำอะไร” ฉินอวี้หันมามองฉินเจิงด้วยความไม่พอใจ
“ข้าทำอะไร เจ้าควรมองว่าพวกเขาทำอะไรดีกว่า” ฉินเจิงยิ้มเย็น “ข้าว่าไม่ใช่แค่แก่จนสมองเลอะเทอะอย่างเดียว แต่ยังคิดแผนการชั่วร้าย ไม่แน่ว่าหลูอี้คนนี้อาจจะถูกตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางนั่นแหละที่สังหารเอง แต่สร้างเรื่องใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น”
เมื่อถ้อยคำนี้เปล่งออกมา ทุกคนต่างผงะตกใจ
ผู้อาวุโสเหล่านั้นขึงตามองฉินเจิงทันที ชี้หน้าเขาด้วยใบหน้าซีดขาว “ท่านอ๋องน้อย นึกไม่ถึงว่าท่าน…ท่านจะใส่ร้ายผู้อื่นอย่างร้ายกาจเช่นนี้!”
“มีแต่พวกเจ้าหรือที่ใส่ร้ายผู้อื่นได้ ข้าใส่ร้ายบ้างไม่ได้รึ” ฉินเจิงมองพวกเขา “ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางทุ่มเทความคิดส่งบุรุษอ่อนแอคนหนึ่งมาในค่ายทหาร แท้จริงมีเจตนาใดกันแน่ ตอนนี้คนผู้นี้ตายไปแล้ว พวกเจ้าไม่นึกหาตัวฆาตกร กลับซักถามพระชายาน้อยของข้าคำแล้วคำเล่า พวกเจ้ามีเจตนาใดกันแน่ จงพูดออกมาให้หมด”
ผู้อาวุโสทุกคนอึ้ง ได้แต่โกรธจนตัวสั่นราวกับจะหมดสติ
สายตาของทุกคนถูกชักนำมาอยู่บนตัวของผู้อาวุโสเหล่านี้ได้สำเร็จ ภายใต้สายตาพินิจคาดเดา ในที่สุดผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็ทนรับไม่ไหวจนหมดสติล้มพับไปก่อน
ตามมาด้วยผู้อาวุโสอีกท่านที่หมดสติล้มพับไปด้วยเช่นกัน
แม้ทั้งสองหมดสติไปแล้ว แต่ยังเหลือผู้อาวุโสอีกสามท่าน ทั้งสามเรียกผู้อาวุโสสองคนที่หมดสติไปด้วยความตกใจ
ภายในห้องโถงตำหนักวุ่นวายขึ้นมาชั่วเวลาหนึ่ง
“ผู้อาวุโสทุกท่านทราบข่าวแล้วก็รีบเดินทางมาจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางในคืนเดียวกัน ทั้งวันยังไม่ได้พักผ่อน ทั้งอ่อนเพลีย ผนวกกับตระหนกตกใจ ดูท่าคงเหนื่อยล้ามาก จัดแจงที่พักให้พวกเขาได้พักผ่อนก่อนเถอะ” ฉินอวี้ยกมือสั่งอู๋เฉวียน
“พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนรีบนำคนไปพาตัวผู้อาวุโสทั้งสองที่หมดสติออกไป
ผู้อาวุโสอีกสามคนไม่ได้ออกไปด้วย หากแต่ร้องขอฉินอวี้ “องค์รัชทายาท โปรดตัดสินพระทัยด้วย”
“ท่านพี่พูดถูกแล้ว พระชายาน้อยถูกเชิญมาเพื่อพิสูจน์สาเหตุการตายที่แท้จริง ตอนนี้ความจริงกระจ่างแล้วก็ไม่ควรสาดโคลนใส่นาง ยิ่งไปกว่านั้นมีอู๋กงกงกับใต้เท้าหานเป็นผู้ช่วย ใต้เท้าหานมีชื่อเสียงเรื่องความเที่ยงธรรมสัตย์ซื่อ ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด ทำคดีด้วยความยุติธรรมเสมอมา อู๋กงกงเป็นขันทีประจำพระวรกายเสด็จพ่อ ถึงแม้เชื่อพระชายาน้อยไม่ได้ แต่ก็ควรเชื่อพวกเขา” ฉินอวี้พูดจบก็ยกมือสั่ง “ทั้งสามท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ในเมื่อใต้เท้าหานอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว คดีนี้ย่อมมอบให้กรมอาญาดูแล”
ทั้งสามยังอยากกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าฉินอวี้แล้วก็พยักหน้า ตามอู๋กงกงออกไป
เมื่อทั้งสามออกไปแล้ว ฉินเจิงก็ดึงกระบี่บนพื้นกลับมา จากนั้นก็จูงมือเซี่ยฟางหวาเดินออกไป
“เจ้าจะไปไหน” ฉินอวี้มึนงง
“กลับจวน!” ฉินเจิงตอบ
“กลับจวนอิงชินอ๋อง?” ฉินอวี้มองเขา
“อืม” ฉินเจิงไม่แม้แต่จะหันกลับมา
“ตอนนี้คดียังไม่กระจ่างเจ้าก็จะกลับแล้วรึ” ฉินอวี้ก้าวออกมาขวางหน้าประตู ขมวดคิ้วมองฉินเจิง
“ข้ามาค่ายใหญ่เขาตะวันตกเดิมเพื่อฝึกหาประสบการณ์ ตอนนั้นเสด็จอาตรัสไว้แล้วว่า ข้ามาเพื่อฝึกหาประสบการณ์ มาเมื่อไรก็ได้ กลับเมื่อไรก็ได้เช่นกัน อีกอย่างข้าไม่ได้มีตำแหน่งในกองทัพ ไม่มีอำนาจแทรกแซงหน้าที่ในค่ายด้วยเช่นกัน คดีนี้ยังไม่กระจ่างแล้วเกี่ยวกับข้าตรงไหน สิ่งที่ข้าควรทำก็ทำแล้ว ช่วยสืบคดีไม่ว่า ยังลำบากพระชายาน้อยของข้าต้องเดินทางมาที่นี่อีก แถมระหว่างทางก็ถูกลอบทำร้าย ตอนนี้หากข้าไม่กลับหรือจะปล่อยให้คนกลุ่มใดไม่รู้จักแยกแยะ ไม่ซาบซึ้งในบุญคุณไม่พอ ยังสาดโคลนใส่พระชายาน้อยของข้าอีกรึ” ฉินเจิงมองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ฉินอวี้อึ้ง
“หลบไป” ฉินเจิงสะบัดมือผลักเขาออก
“เจ้ายังกลับไม่ได้!” ฉินวี้ยกมือขวางเขาอีกหน
“ทำไมข้าจะกลับไม่ได้ ข้าจะมาหรือไปต้องผ่านความเห็นชอบจากเจ้าก่อนรึ” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
ฉินอวี้มองเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “แม้เจ้าไม่มีตำแหน่งในกองทัพ ไม่มีอำนาจจัดการ แต่เจ้าอยู่ในค่ายทหารมานานแล้ว ยามนี้เกิดเรื่องขึ้นในค่ายทหาร เจ้าย่อมไม่ควรกลับไป” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวเพิ่มเติม “อย่างน้อยจนกว่าคดีนี้จะกระจ่างก็กลับไปไม่ได้”
“น่าขำ!” ฉินเจิงแค่นหัวเราะเยาะ “คดีเกิดขึ้นเมื่อคืน ข้าไม่ได้อยู่ที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกด้วยซ้ำ วันนี้ถูกตามตัวมาตั้งแต่เช้าตรู่ถือว่าทำเต็มที่แล้ว ตอนนี้มีสิทธิ์ใดไม่ให้ข้ากลับจนกว่าคดีจะกระจ่าง ฉินอวี้ แม้เจ้าเป็นรัชทายาท แต่ตอนนี้ยังไม่มีสิทธิ์มาบงการข้าได้ ข้าไม่ใช่คนของกรมอาญา เหตุใดต้องอยู่เพื่อร่วมสืบคดีด้วย”
“ฉินเจิง” ฉินอวี้เริ่มโมโหขึ้นมา
“ถ้าไม่อย่างนั้น หากองค์รัชทายาทไม่อยากให้ข้ากลับ เจ้าก็ออกคำสั่งมอบหมายอำนาจในการสืบคดีนี้ทั้งหมดให้ข้าสิ ห้ามผู้ใดแทรกแซงการสืบคดี หากเจ้าไม่ตกลง เห็นข้าอยู่ที่นี่เป็นแค่ไม้ประดับ เช่นนั้นก็ถอยไป” ฉินเจิงหรี่ตามองฉินอวี้ พลันยกยิ้มขึ้นมา
“คดีนี้ต้องมอบให้กรมอาญากับศาลต้าหลี่ตรวจสอบร่วมกัน” ฉินอวี้เม้มปาก
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไสหัวไป” ฉินเจิงตวัดมือใส่อย่างไม่เกรงใจ
ครั้งนี้ฉินอวี้ไม่ได้ขัดขวางอีก ฉินเจิงจูงมือเซี่ยฟางหวาออกจากตำหนัก
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเดิมทีเฝ้าอยู่นอกตำหนัก เมื่อเห็นทั้งคู่ออกมาก็รีบส่งร่มให้
ฉินเจิงรับร่มมา โอบเซี่ยฟางหวาเข้าหาอ้อมอก ก่อนกางร่มโอบนางเดินออกไป