จอนจูฮโยหงายหลังเพราะโดนฮอนถีบอย่างแรง เขาส่งเสียงโอดครวญออกมาแล้วจึงคลานต้วมเตี้ยมมาหมอบอยู่ที่เดิม ตอนนี้เขาไร้ซึ่งเกียรติโดยสิ้นเชิง ชีวิตของเขายืนอยู่ตรงทางแยกระหว่างความเป็นและความตาย 

 

 

“โกงกินภาษีแล้วเอาไปผลาญกับบ่อนพนันจนหมดใช่ไหม ไอ้ชั่ว! คิดว่าพระราชาองค์ก่อนทรงแต่งตั้งตำแหน่งนี้ให้แก่เจ้าเพื่อให้เจ้าเอาเงินภาษีไปเล่นการพนันหรือไง!” 

 

 

“ฝ่า…ฝ่าบาท! กระหม่อมถูกใส่ความ! มีใครบางคนพยายามจะใส่ร้ายกระหม่อม…!” 

 

 

“ยังกล้าพูดว่าถูกใส่ความอีก คนที่ให้เจ้ายืมเงินที่บ่อนพนันและได้ตราประทับนี้มาคือคนของข้าเอง!” 

 

 

ถ้าให้พูดอย่างละเอียดคือโฮจินเป็นคนไปปล่อยกู้ตามคำสั่งของรยูฮา แต่ตอนนี้เขาเป็นคนของฮอนแล้ว เพราะฉะนั้นที่พูดไปก็ถูกเหมือนกัน ในบรรดาตั๋วเงินที่รยูฮาครอบครองนั้น กว่าครึ่งคือตั๋วเงินของท่านพ่อนายหญิงตระกูลมุนซึ่งตายไปแล้ว รองลงมาคือจอนจูฮโย เจ้ากรมการคลังที่อยู่ตรงหน้านี่เอง พวกเขาคงจะไม่นึกว่าผู้หญิงที่ได้เป็นพระชายาจะปล่อยกู้และรับตั๋วเงินที่บ่อนพนัน 

 

 

“ไม่ได้มีแค่กระหม่อมที่ทำเพียงคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ! จุงซอรยอง! ท่านจุงซอรยองก็…!” 

 

 

“อะ ไอ้นี่!” 

 

 

พวกมนุษย์จิตใจคับแคบยิ่งเสียกว่าพวกสัตว์ชั้นต่ำ ฮอนมองดูจุงซอรยองที่จู่ๆ ก็ถูกใส่ร้ายกับจอนจูฮโยที่พยายามดิ้นรนเพื่อลดโทษของตัวเองแม้เพียงน้อยนิด แล้วขมวดคิ้ว 

 

 

“พอ พอ! ถ้าอย่างนั้น เจ้ากรมการคลัง ความผิดของเจ้ามีแค่นั้นใช่ไหม?” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมทำความผิดที่สมควรแก่ความตายพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“เจ้าเพลินจนพลาดท่าเลยสินะ” 

 

 

น้ำเสียงเย้ยหยันซึ่งออกมาจากปากของพระราชาทำให้เหล่าเสนาบดีตระหนกตกใจนึกว่าหูฝาด แต่ฮอนก็ไม่สนใจและยังคงกระแนะกระแหนจอนจูฮโยต่อ 

 

 

“ข้าเคยไปเยี่ยมเยียนพระพันปีที่วังจางชุนด้วยกันกับพระชายาในสมัยที่ยังเป็นรัชทายาท แต่ทว่าของประดับตกแต่งอันมีค่าซึ่งเคยอยู่ที่นั่นกลับหายไปหมดจนที่แห่งนั้นว่างเปล่า” 

 

 

ในตอนนั้นจอนจูฮโยก็เริ่มหน้าซีดและตัวสั่นหงึกๆ ติดกับพื้น 

 

 

“พอทูลถามว่าทรงทำอะไรกับของพวกนั้น ก็ทรงตอบว่านำไปให้เจ้ากรมการคลังเพื่อซื้อข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง แต่เมื่อข้าได้ตรวจสอบสมุดบัญชีดู ปรากฏว่านอกจากจะไม่พบร่องรอยทรัพย์สินเหล่านั้นแล้ว แม้แต่ข้าวสารอาหารแห้งก็ลดลงจากปีที่แล้วด้วย” 

 

 

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวพุ่งตรงไปยังแผ่นหลังซึ่งก้มอยู่บนพื้น 

 

 

“ไอ้คนชั่ว จอนจูฮโย! เจ้านำเงินภาษีไปผลาญกับการพนัน ทั้งยังใช้ทรัพย์สมบัติที่พระพันปีทรงมอบให้ไปเติมเต็มผลประโยชน์ส่วนตัวอีกด้วย! หลังจากที่ทำเช่นนั้น แล้วยังจะหน้าด้านมาอยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้ได้อีกอย่างนั้นหรือ! ทหาร เข้ามา!” 

 

 

เมื่อประตูท้องพระโรงถูกเปิดออก เหล่าทหารที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วจึงกรูกันเข้ามายืนเรียงแถวอย่างน่ากลัว 

 

 

“ลากตัวไอ้นั่นไปซะ และทำให้มันทรมานทั้งเป็น!” 

 

 

“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

เขาไม่มีทางตั้งสติในระหว่างนั้นได้แน่ จอนจูฮโยพยายามดิ้นเพื่อสลัดมือที่เข้าจับกุกตัวเขาออกและตะโกนออกมาอย่างไร้ประโยชน์ 

 

 

“โอ๊ย ดะ ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ฮวังควีบี ไม่สิ มันคือคำสั่งของนายหญิงตระกูลมุนพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเพียงแค่ทำตามคำสั่ง…!” 

 

 

“ไม่ทำตามพระราชบัญชา แต่กลับไปฟังนายหญิงตระกูลมุนอย่างนั้นหรือ เพิ่มโทษไอ้ชั่วนี่ให้หนักขึ้น มัดมันไว้และห้ามให้น้ำแม้แต่หยดเดียวจนกว่าข้าจะสั่ง!” 

 

 

นึกว่าคว้าเชือกทองคำที่หล่นลงมาจากฟ้าได้แล้วเสียอีก แต่ความจริงแล้วมันคือเชือกที่เปื่อยแล้วต่างหาก จอนจูฮโยก่นด่าสาปแช่งมุนยออ๊กที่ตายไปแล้ว ในขณะที่ถูกลากออกไปราวกับสุนัข หลังจากเสียงกรีดร้องของเขาห่างออกไป ท้องพระโรงจึงเต็มไปด้วยความเงียบซึ่งคล้ายกับแผ่นน้ำแข็งบางๆ ที่จะแตกได้ทุกเมื่อ 

 

 

“นับตั้งแต่นี้ ข้าจะรับการสารภาพโดยสมัครใจ” 

 

 

 แม้จะมีรอยยิ้มที่สวยงาม แต่กษัตริย์หนุ่มซึ่งถือตั๋วเงินไว้ในมือข้างหนึ่งและถือหนังสือเก่าๆ ไว้ในมืออีกข้างก็คือยมทูต อย่างน้อยก็ในสายตาของเหล่าเสนาบดีที่เอาแต่ปฏิเสธมาจนถึงตอนนี้ 

 

 

“ข้าจะมองว่าการสารภาพโดยสมัครใจเป็นการแสดงให้เห็นถึงการสำนึกผิด และตั้งใจที่จะลดโทษให้เบาลงด้วย” 

 

 

จากที่เห็นจุงซอรยองที่ถูกหมายหัวเมื่อสักครู่ เหล่าเสนาบดีจึงประเมินสถานการณ์อย่างว่องไวและคุกเข่าลงบนพื้นเย็นเฉียบทีละคนสองคน ฮอนทอดสายตามองพวกเขาและเริ่มกางหนังสือออกมาเทียบทีละคน ต่อมาจึงปิดหนังสือและชี้ตัวผู้ที่คดโกงจากบรรดาเสนาบดีที่ไม่ได้คุกเข่าลง และสั่งให้จับตัวไปแขวนไว้ข้างๆ จอนจูฮโย 

 

 

“เหลือไม่มากนะเนี่ย ให้ทหารเข้ามา ลดเบี้ยหวัดของพวกที่ยอมรับสารภาพโดยสมัครใจลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลาสามปีและให้ไปทำงานของพวกที่ถูกลากออกไป จนกว่าจะมีคนใหม่เข้ามาแทน หากในระหว่างนั้นมีคนกระทำการทุจริตหรือส่อแววที่จะทำเช่นนั้น ข้าจะไม่ถามถึงเหตุผลและจะริบสินทรัพย์และวงศ์ตระกูลไปขายเพื่อเอาไปสร้างป้อมปราการที่เขตชายแดนให้หมด” 

 

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 

 

 

แม้เหล่าเสนาบดีเกือบหนึ่งในสามจะถูกลากออกไป แต่เสียงที่ดังกังวานก็ยังคงดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง ฮอนสะบัดปลายเสื้อคลุมมังกรทองอย่างสง่างามพร้อมกับลุกขึ้น จากนั้นจึงตรงไปยังวังจานยองเพื่อใช้เวลาที่เหลือกับรยูฮาอย่างเต็มที่และเข้านอนข้างๆ กัน 

 

 

ช่วงรุ่งสางซึ่งแม้แต่แสงจันทร์ก็ตกอยู่ในห้วงนิทรา แต่เป็นรุ่งสางที่ใกล้เคียงกับกลางดึกมากกว่าเสียอีก รยูฮาลุกขึ้นมาอย่างเงียบๆ นางอยากมองหน้าของฮอนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่ภายในห้องมืดเกินไปจนแทบแยกไม่ออกเลยว่าบนเตียงมีคนนอนอยู่ ฮอนนั้นหล่อเหล่าที่สุดตอนนอน แม้จะนึกเสียดายกับความจริงนั้น แต่โอกาสที่จะได้เห็นใบหน้าของเขาตอนนอนก็มีอีกมากเหมือนกับหมู่ดาว นางสวมเสื้อคลุมทับชุดนอนเพียงตัวเดียว ก่อนจะเปิดหน้าต่างแทนประตูและออกไปจากวังจานยองอย่างเงียบๆ 

 

 

“ใครน่ะ!” 

 

 

“เจ้าเฝ้ายามเป็นอย่างดีโดยไม่ง่วงเลยนะ” 

 

 

ทหารยามที่เฝ้าคุกเล็งดาบตรงไปยังเงาสีขาวที่ปรากฏออกมากะทันหัน แต่หลังจากเห็นใบหน้าของรยูฮาที่ใกล้เข้ามาจึงเก็บดาบเข้าไปที่เดิมทันที 

 

 

“ถะ ถวายบังคับพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี” 

 

 

“เปิดสิ” 

 

 

“กระหม่อมต้องขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ มีรับสั่งมาจากฝ่าบาทไม่ให้ผู้ใดเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ข้าดูเหมือนใครอื่นอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“มิใช่เช่นนั้น…” 

 

 

“เปิดสิ ข้าจะรับผิดชอบเอง” 

 

 

ทหารยามสองนายมองตากันสักพักเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี แต่ดูเหมือนพวกเขาจะได้ข้อสรุปว่าจะต้องทำตามพระราชบัญชา เห็นได้จากการที่ก้มลงไปหมอบพร้อมกับตะโกนว่าไม่ได้พร้อมกัน รยูฮาลังเลว่าควรจะต้องพึงพอใจหรือจะต้องหงุดหงิดดี นางทอดสายตามองพวกเขาและถอนหายใจออกมาสั้นๆ 

 

 

“ลุกขึ้นแล้วยืนหันหลัง” 

 

 

พักผ่อนสักหน่อยแล้วกัน รยูฮาพึมพำในใจหลังจากที่รับตัวของทั้งคู่ที่ล้มลงและให้นอนลงกับพื้น พอเข้าไปด้านในจึงเห็นถ่านในเตาไฟที่ลุกไหม้กำลังพ่นเขม่าควันสีดำออกมาตรงด้านในสุดของคุก คนที่นางตามหาลืมตาขึ้นอย่างหนักอึ้ง 

 

 

คุกทั้งมืดสลัวทั้งสกปรกเป็นอย่างยิ่งจึงไม่เหมาะกับรยูฮาที่ผิวขาวและสะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยแม้แต่น้อย และด้วยเหตุนั้นนางจึงดูเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิมเสียอีก หนูตัวเล็กที่รอดชีวิตมาจากฤดูหนาวตัวหนึ่งวิ่งหายไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 

 

 

“เสด็จมาเพื่อหัวเราะเยาะกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“หม่อมฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นเสียหน่อยเพคะ” 

 

 

ชานและรยูฮานั่งเผชิญหน้ากันโดยมีลูกกรงที่หนาเท่าแขนของผู้ชายบึกบึนคั่นกลาง ความหนาวเย็นจากพื้นอันสกปรกราวกับจะแช่แข็งได้ทั้งตัวไต่ขึ้นมาตามขารยูฮา รยูฮารับรู้ได้ว่าดวงตาของชานไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป ตอนนี้เขามีเป้าหมายอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นอะไรที่นางไม่ค่อยชอบนัก 

 

 

“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่ได้เกลียดองค์ชายนะเพคะ หม่อมฉันเองก็เชื่อใจองค์ชายเท่ากับพระราชานั่นแหละเพคะ อ่อ แต่ตอนนี้เกลียดเพคะ” 

 

 

ชานยิ้มอย่างว่างเปล่า นั่นสินะ เพราะตอนที่ฮอนถูกโจมตีโดยผู้ลอบสังหาร คนที่รยูฮาตามหาก่อนเป็นคนแรกสุดเลยก็คือเขาเอง ผลตอบแทนของการทรยศความเชื่อใจนั้นคงจะเป็นสิ่งนี้สินะ 

 

 

“หากคิดว่ากระหม่อมจะบอกว่าเสียดาย ทรงเดาผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะถึงอย่างไรกระหม่อมก็ได้ยืนข้างๆ พระมเหสีในฐานะสามีภรรยาถึงแม้จะเพียงสั้นๆ ก็ตาม เพราะฉะนั้นแม้จะย้อนกลับไปได้กระหม่อมก็จะเลือกเหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ ดูสิ พระองค์ยังเสด็จมาหากระหม่อมเองเลยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เลิกตรัสอะไรไร้สาระเถอะเพคะ และโปรดมีชีวิตอยู่ต่อด้วย รักษาชีวิตนั้นไว้และมอบให้แก่น้องสาวของหม่อมฉันเถิดเพคะ”