ชานไม่ตอบ ซึ่งรยูฮาก็ไม่ได้คิดจะฟังคำตอบอยู่แล้ว ทันทีที่พูดคำสุดท้ายออกไป นางก็ลุกขึ้นและออกจากคุกอย่างเงียบๆ เหมือนกับตอนเข้ามา แล้วกลับไปยังวังจานยอง
“ไปที่ไหนมา”
ดูเหมือนว่าจะตื่นมาสักพักแล้ว ฮอนที่จุดไฟในตะเกียงและนั่งรอหันมามองรยูฮา ดินและฟางข้าวเปื้อนชายกระโปรงสีขาวของนางที่เข้ามาทางหน้าต่างไม่ใช่ประตู ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นอับจางๆ จึงพอเดาได้ว่าคงจะไปที่ไหนสักแห่งมาแน่นอน แต่ที่เขาถามเช่นนี้ก็เพราะอยากได้ยินคำตอบที่ว่าไม่ใช่ ถึงแม้จะว่าใจแคบก็ตาม
“ไปหาองค์ชายสองมาเพคะ”
ที่เคยบอกว่าต่อให้เอามีดมาจ่อคอก็จะไม่พูดโกหกคือความจริง แม้ในเวลาที่ฮอนหวังให้นางพูดโกหกก็ตาม
“ไปที่นั่นทำไม เป็นห่วงเขางั้นหรือ”
“หม่อมฉันมีสิ่งที่จะบอกกับเขาเพคะ พรุ่งนี้ทรงต้องตื่นแต่เช้า รีบบรรทมเถอะเพคะ”
ความไม่สบายใจที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในซอกหนึ่งของหัวใจของฮอนโผล่ขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่ตื่นแล้ว ความห่วง ความกังวลและความหึงหวง สิ่งเหล่านี้รบกวนจิตใจของฮอนมาตลอด นับตั้งแต่วันนั้นที่รยูฮาส่งยิ้มอันงดงามให้กับชานซึ่งปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยง
“มีเรื่องอะไรจะต้องบอกถึงได้ข้ามหน้าต่างไปหาถึงที่นั่นกลางดึกกลางดื่นเหมือนโจรงั้นหรือ พระมเหสี”
“หม่อมฉันไปขอให้เขาอย่าฆ่าตัวตายมาเพคะ”
รยูฮายังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ แม้ฮอนจะมีสีหน้าตึงเครียดก็ตาม จากนั้นจึงหยิบชุดนอนออกมาจากตู้
“ช่วยหันหน้าไปหน่อยเพคะ”
“ข้า”
แววตาที่ลุกโชนขยับเข้ามาใกล้รยูฮาเหมือนกับจะเจาะทะลุ
“ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
รยูฮาย่นหน้าผากเล็กน้อยและจ้องมองฮอนด้วยสายตาที่มองคนแปลกหน้า ดวงตาที่ในบางครั้งก็เต็มไปด้วยความขี้เล่น บางครั้งก็อบอุ่นและบางครั้งก็จริงจังคล้ายคลึงกับชาน มันคือแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาซึ่งไม่อาจควบคุมได้ เหมือนกับในวันที่เขามาหานางเพื่อขอให้เป็นพระชายา แต่ความรู้สึกของรยูฮาที่มองดวงตาคู่นั้นแตกต่างกับตอนนั้นโดยสิ้นเชิง
“…ได้เพคะ”
ชุดนอนสีขาวที่อยู่ในมือถูกพาดไว้บนเก้าอี้ ฮอนกัดริมฝีปากและยื่นมือออกไปดึงปมที่ถูกผูกไว้แน่น เนื่องจากเป็นชุดที่มีไม่กี่ชั้นอยู่แล้วตั้งแต่แรก ชุดผ้าฝ้ายที่เปรอะเปื้อนจึงร่วงลงไปคลุมข้อเท้าของรยูฮาอย่างง่ายดาย
“ไม่สบายใจหรือเพคะ”
ผิวเรียบลื่นส่องสว่างเมื่อไฟในตะเกียงอันเลือนรางพัดไหวๆ ฮอนหลับตาสักพักและหายใจออกมายาวเหยียดเพื่อปรับลมหายใจที่หอบกระชั้น ไหล่มนถูกดึงเข้ามาในอ้อมกอดของเขาอย่างง่ายดาย
“ข้าบอกอยู่เสมอและตลอดเวลาไม่ใช่หรือ ว่าอย่ายิ้มให้ชายอื่น”
“หม่อมฉันไม่ได้ยิ้มให้นะเพคะ ในระหว่างที่ฝ่าบาทไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ หม่อมฉันไม่เคยยิ้มเลยสักครั้งเดียว”
นิ้วมือราบลื่นเคลื่อนไหวอย่างงดงามไปถอดชุดนอนของฮอนออก รู้สึกได้ถึงร่างกายที่แม้จะดูผอมแห้งแต่ก็มีกล้ามเนื้อเป็นมัด รยูฮาใช้ปลายนิ้วลูบไล้ต้นแขนของเขาและสูดกลิ่นกายอุ่นเข้าไปเต็มปอด
“หม่อมฉันเชื่อใจฝ่าบาทจึงได้ส่งยอนฮวาไปยังที่ที่ไม่มีหม่อมฉันอยู่แทนเพคะ แม้ว่าในระหว่างนั้นใจของฝ่าบาทจะทนไม่ไหวจนเอนเอียงไปหายอนฮวา หม่อมฉันก็ไม่ตำหนิหรอกเพคะ”
“ข้ารู้ และข้ารู้เป็นอย่างดีว่าข้าคือสามีที่ไม่ได้เรื่องและไม่คู่ควรกับเจ้า”
ฮอนขบเม้มต้นคอรยูฮาอย่างร้อนแรง รสหวานจากผิวที่ขบเม้มลงไปเบาๆ กระตุ้นปลายลิ้น
“ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทไม่ได้เรื่องหรอกนะเพคะ แต่เป็นเพราะว่าหัวใจของฝ่าบาทยิ่งใหญ่กว่าหัวใจของหม่อมฉันเพคะ”
ริมฝีปากของทั้งคู่แย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะประกบกันอย่างอ่อนโยน และในไม่ช้าก็เกี่ยวกระหวัดเข้ามาอย่างรีบร้อน ของเหลวซึ่งไม่รู้ว่าเป็นน้ำลายของใครไหลผ่านลงไปในคออย่างไม่หยุดหย่อน แผ่นหลังของรยูฮาสัมผัสลงบนเตียงที่คล้ายกับก้อนเมฆ ฮ้า เมื่อฮอนถอนริมฝีปากออกพร้อมกับหอบหายใจ รยูฮาจึงใช้สองมือกุมใบหน้าของเขาไว้และค่อยๆ พินิจพิจารณาอย่างช้าๆ
“หล่อขนาดนี้จะเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่องได้อย่างไรกันเพคะ”
ประโยคนั้นทำให้ฮอนยิ้มออกมา ริมฝีปากสีแดงระเรื่อวาดเส้นงดงามยั่วยวนรยูฮา รยูฮาจึงดึงฮอนเข้ามาและเริ่มสำรวจทุกซอกทุกมุมภายในปากของเขา
“ฮ้า…อุ๊บ”
ลมหายใจติดขัด สติเริ่มเลือนราง ความต้องการที่เหมือนจะระเบิดออกมาเร็วๆ นี้ทำให้ฮอนพยายามผละใบหน้าออก แต่สิ่งที่สัมผัสกับเตียงโดยไม่รู้ตัวคือแผ่นหลังของเขา มือที่กำลังจะดันรยูฮาออกเหมือนกับตะโกนว่าเดี๋ยวก่อนก็ถูกกดลงอยู่ข้างๆ ใบหน้า
“เฮ้อ จริงๆ เลย…”
ฮอนถอนหายใจออกมาระหว่างที่ผละจากกันพักหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปอีกครั้ง มือของรยูฮาที่ลูบไล้ไปทั่วทั้งตัวเคลื่อนไหวอย่างเร่งรีบราวกับสัตว์ที่มองหาเหยื่อและปลุกเขาให้ตื่นขึ้น ฮอนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงคว้าเอวของรยูฮาแล้วดึงมาไว้บนตัว แต่มือที่กำลังปลุกเขาให้ตื่นขึ้นกลับรวดเร็วยิ่งกว่า
“ไม่เชื่อใจหม่อมฉันหรือเพคะ”
“เชื่อสิ ข้าเคยบอกแล้วไงว่าเชื่อใจเจ้า”
ริมฝีปากของฮอนรีบตอบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะประกบกับริมฝีปากของรยูฮาซึ่งร้องหาคำตอบอีกครั้ง ทั้งสองคนค่อยๆ กลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างช้าๆ เส้นเลือดบนมือใหญ่ที่จับเอวของนางไว้แน่นปูดโปนขึ้นมาทุกครั้งที่เอวของรยูฮาขยับโยกราวกับระลอกคลื่น
“เร็วขึ้นอีกนิดนะ ได้ไหม”
รยูฮาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับรั้งคอของเขาเข้ามากอด แม้ว่าเขาจะเหมือนชานมากขนาดไหน แต่ทั้งคู่ก็แตกต่างกันมาก และผู้ที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างนางได้ก็มีแค่ฮอนซึ่งกำลังอ้อนวอนด้วยสายตาอันร้อนแรงอยู่ตรงหน้าในตอนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
“ผู้ที่ได้ใจของหม่อมฉันไปมีเพียงแค่ฝ่าบาทเท่านั้นเพคะ และผู้ที่ได้ครอบครองร่างกายของหม่อนฉันก็มีเพียงแค่ฝ่าบาทเช่นกัน เพราะฉะนั้นทรงเลิกกังวลไปล่วงหน้าและจดจ่อกับค่ำคืนนี้เถิดเพคะ”
* * *
“ดูเหมือนว่าจะทรงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
มหาเสนาบดีที่นั่งพลิกเอกสารที่กองกันเป็นภูเขาไปมาตรงข้ามกับฮอนในห้องทำงานเอ่ยถามขึ้น ฮอนที่กำลังยิ้มกว้างพร้อมกับหวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืนกับรยูฮาจึงสะดุ้งตกใจจนทำกระดาษม้วนที่ถืออยู่ในมือตก แต่เพราะมือของมหาเสนาบดีที่ยื่นมารับไว้อย่างรวดเร็ว มันจึงได้กลับมาอยู่ที่เดิมก่อนที่จะตกถึงพื้น
“ฮ่าๆ ก็แค่…นอนหลับสบายน่ะขอรับ ท่านมหาเสนาบดี”
แน่นอนว่านางคือภริยาและพระมเหสีของเขาซึ่งอภิเษกสมรสกันอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมพออยู่ต่อหน้าท่านมหาเสนาบดีจึงรู้สึกเหมือนทำอะไรผิดมาสักอย่าง ฮอนจึงก้มหน้าไปบนโต๊ะอีกครั้งเพื่อซ่อนลูกตาดำซึ่งสั่นไหวอย่างแรง
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ท่านพูดถึงเรื่องอะไรหรือ”
“ตอนนี้กระหม่อมก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ดูท่านอายุยืนกว่าข้าเสียอีก ฮอนคิดเช่นนั้นและพยายามอย่างดีที่สุดกับรอยยิ้มเคอะเขิน
“การได้อุ้มหลานสาวที่เหมือนกับพระชายาที่เหมือนกับพระมเหสีของพวกเราคือความปรารถนาสุดท้ายของชายชราคนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“หลานสาวที่เหมือนกับพระมเหสี…งั้นหรือ”
ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาจนถึงกกหู ท่านมหาเสนาบดีพูดเรื่องหน้าอายเกี่ยวกับบุตรีของตนออกมาแบบนั้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้สักนิดเดียวได้อย่างไรกัน ถึงฮอนจะไม่อาจจะเข้าใจได้ แต่นั่นก็คงจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตระกูลซอที่ไม่พูดโกหกและพูดสิ่งที่อยู่ในใจด้วยความจริงใจไม่แต่งเติม
“เพราะฉะนั้นกระหม่อมจึงหวังว่าฝ่าบาทจะทรงทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนั้นแล้วกระหม่อมจึงได้หาสมุนไพรที่ดีมากๆ มาหนึ่งตัวพ่ะย่ะค่ะ”
“สมุนไพร…?”
แม้จะขัดเขิน แต่คำพูดของท่านมหาเสนาบดีที่น่าสนใจก็ทำให้ฮอนยื่นตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“โฮะๆ สิ่งนี้ดีต่อผู้เป็นสามีมากพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมคงจะต้องอธิบายให้อย่างละเอียดหน่อย”
“ต่อสามี…?”