บทที่ 678 น้ำตาไหล

บัลลังก์พญาหงส์

หลังจากถาวจวินหลันไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว นางก็ตรงไปที่วังของไทเฮา นี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่นางจะฝากบอกหลี่เย่โดยที่ไม่ต้องพบหน้าหลี่เย่แล้ว หรือบางทีอาจจะไม่ใช่วิธีเดียว แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะเตือนหลี่เย่ทางอ้อมได้ 

 

 

 

 

 

ด้วยเพราะกังวลว่าข้างกายจะมีหนอนบ่อนไส้ ดังนั้นนางจึงกลัวว่าหากเอ่ยเตือนหลี่เย่ไปตรงๆ จะทำให้คนอื่นรู้เข้า ย่อมทำได้แค่อ้อมค้อมไว้จะดีกว่า 

 

 

 

 

 

พอมาถึงวังของไทเฮา ถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่าไทเฮามีพระวรกายแย่ลงเรื่อยๆ สองวันมานี้แม้แต่ข้าวต้มก็ไม่ยอมทาน เอาแต่ดื่มยาอย่างเดียว อีกทั้งเวลาส่วนใหญ่ก็นอนสลบไสล เวลาที่ตื่นก็น้อยเต็มทน 

 

 

 

 

 

หลังจากถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้ก็ตะลึงไปพักใหญ่ แล้วถึงค่อยๆ สงบลง เห็นแบบนี้แล้ว ถึงไทเฮาสิ้นพระชนม์ตอนนี้ก็ไม่น่าแปลกใจนัก 

 

 

 

 

 

เตรียมใจไว้แล้วถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ต้องรอวันนั้นที่ใกล้มาถึงขึ้นทุกวัน นางก็สลดใจ อีกทั้งยังทำใจไม่ได้ 

 

 

 

 

 

ตอนแรกนางคิดว่า ไทเฮาจะมีพระพลานามัยแข็งแรง อยู่ทันเห็นซวนเอ๋อร์แต่งงานไป 

 

 

 

 

 

จางหมัวหมัวดูเศร้าใจอย่างเห็นได้ชัด พูดกับถาวจวินหลันเสียงเบา “หลายวันมานี้คนที่ไทเฮาพูดถึงมากที่สุดก็คือฮ่องเต้ แม้ไทเฮาตรัสว่าไม่สนใจ แต่ฮ่องเต้ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของไทเฮา ไฉนเลยจะไม่ใส่ใจจริงๆ? นอกจากฮ่องเต้ ก็ยังนึกถึงองค์รัชทายาทและซวนเอ๋อร์ อีกครู่ท่านไปเข้าเฝ้าไทเฮา ก็ปลอบประโลมไทเฮาให้มากหน่อยเถิดเพคะ” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันย่อมไม่ปฏิเสธ  

 

 

 

 

 

แต่พอถึงตอนที่นางได้พบไทเฮาจริงๆ กลับพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย นางกลัวว่าตนเองเอ่ยปากพูดแล้วน้ำตาจะไหลลงมา อะไรเรียกว่าเทียนกลางลม? เปรียบได้กับตอนนี้ สภาพไทเฮาเป็นเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง เหมือนเป็นเทียนที่ใกล้ถูกเผาจนหมดเล่ม แสงไฟอ่อนแรงจนแทบมองไม่เห็น แค่ลมพัดเพียงเบาๆ ก็พร้อมดับวูบ 

 

 

 

 

 

ภาพตรงหน้าเป็นการตอกย้ำสิ่งที่นางคาดเดา และเป็นการพิสูจน์ความจริง 

 

 

 

 

 

ไทเฮายังถือว่ามีสติครบถ้วน ลืมตาเปิดเปลือกตาที่หย่อนคล้อยขึ้นมา ริมฝีปากขยับเล็กน้อย “พระชายาองค์รัชทายาทมาแล้วหรือ?” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันพูดไม่ออก เพียงแค่พยักหน้า จากนั้นก็ฝืนยิ้มเต็มที่ 

 

 

 

 

 

ไทเฮายังไม่ลืมข้อเสนอเรื่องเซินเอ๋อร์ จึงถามออกมาว่า “เจ้าคิดดีแล้วหรือ?” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันมองท่าทีกระตือรือร้นของไทเฮา และสายตาที่เปี่ยมความหวัง คำพูดที่มาถึงริมฝีปากแล้วอย่างไรก็พูดไปไม่ออก สุดท้ายนางก็ฝืนหัวเราะ พยักหน้า “ตามที่ไทเฮาตรัส หม่อมฉันไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว คิดว่าไม่มีอะไรเสียหายเพคะ” 

 

 

 

 

 

ไทเฮามีสีหน้ายินดี เอื้อมมืออกมาจับมือของถาวจวินหลันเอาไว้ ออกแรงบีบ “จริงหรือ?!” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันกลั้นน้ำตาพลางพยักหน้า 

 

 

 

 

 

ตอนนี้นางจะพูดปฏิเสธได้อย่างไร? จะทำให้ไทเฮาผิดหวังได้อย่างไร? 

 

 

 

 

 

ไทเฮายิ้มกว้าง พูดติดๆ กัน “ดีๆๆ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี” 

 

 

 

 

 

พอได้ยินคำชื่นชมและยกย่องของไทเฮา ถาวจวินหลันก็ทำตัวไม่ถูก รีบก้มหน้าแสร้งทำเป็นมองมือของตนเอง พูดพลางหัวเราะเบาๆ “ไทเฮาตรัสเช่นนี้หม่อมฉันก็ละอายใจ แต่หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีหรือไม่ ถึงเวลานั้นไทเฮาต้องสอนหม่อมฉันให้มากนะเพคะ” 

 

 

 

 

 

น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความขบขัน แต่ในความเป็นจริงแล้วน้ำตากำลังไหลลงมา หยดลงบนกระโปรงสีส้มสด ระบายจนดอกไม้เปียกชื้น 

 

 

 

 

 

ไทเฮาถอนหายใจ “ไม่เป็นไร ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ดี เจ้าอย่ากดดันมากเกินไป อย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเจ้า จะห่างเหินไปบ้างก็ไม่เป็นไร อีกทั้งเจ้ามีลูกเยอะ คงดูแลได้ไม่เท่ากันทุกคน โดยภาพรวมไม่เกิดอะไรผิดพลาดก็พอแล้ว” 

 

 

 

 

 

“เพคะ” น้ำตาของถาวจวินหลันยิ่งไหลเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะหลุดออกไป อย่างไรตอนนี้แม้แต่เสียงสะอื้นนางก็แทบจะห้ามเอาไว้ไม่ได้แล้ว แล้วจะหัวเราะต่อกระซิกต่อไปได้อย่างไร? 

 

 

 

 

 

“มีเกิดก็ต้องมีตาย แก่แล้วไม่ตายนั่นถือเป็นปีศาจ เจ้าเองก็มองให้กว้างเสียหน่อย ข้าแก่แล้ว ควรต้องวางมือเสียที” ไทเฮาพูดยิ้มๆ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งเงยหน้าขึ้นมา ลืมไปแล้วว่าตอนนี้ตนเองมีคราบน้ำตาอยู่เต็มใบหน้า 

 

 

 

 

 

นางเงยหน้าขึ้นมาเช่นนี้ไทเฮาย่อมเห็นอย่างชัดเจน จึงยกมือขึ้นมาช่วยปาดน้ำตาให้ถาวจวินหลัน “เด็กโง่ จะร้องไห้ทำไม? ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป เจ้าอย่าเคืองข้าเลย” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันพูดอะไรไม่ออกแล้ว เอาแต่ส่ายหัวไม่หยุด แม้ว่านางเคยกล่าวโทษไทเฮามาก่อน แต่หลังจากไทเฮาช่วยนางมากมาย สั่งสอนนางมากมายเช่นนี้ นางยังต้องแค้นอะไรอีก? ซาบซึ้งยังไม่พอด้วยซ้ำไป นางเพิ่งจะได้ผูกสัมพันธ์กับไทเฮา คิดไม่ถึงว่า… 

 

 

 

 

 

“หลังจากนี้ก็ปกป้ององค์รัชทายาทกับซวนเอ๋อร์แทนข้า” ไทเฮายิ้มพลางตบหลังมือถาวจวินหลันเบาๆ “อย่าทำให้ข้าผิดหวัง จำเรื่องที่เจ้ารับปากข้าเอาไว้” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันนอกจากร้องไห้พยักหน้าแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก 

 

 

 

 

 

“เอาเถิด เจ้าอย่าทะเลาะกับรัชทายาทอีกเลย เเขาเสนอเรื่องนี้มาก็ถูกแล้ว ถ้าคิดว่าไม่เหมาะสมข้าคงไม่มาพูดกับเจ้า แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะไม่เข้าใจความคิดของเขา แต่หากคิดให้ลึกหน่อยก็จะเข้าใจ” ไทเฮาพูดด้วยท่าทางโศกเศร้าและเสียดาย “ชีวิตคนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทำไมต้องมาเสียเวลาไปกับการทะเลาะกันด้วย? เขาดีกับเจ้ามากขนาดนั้นแล้ว และเขาไม่ได้เป็นแค่เพียงสามีของเจ้าเท่านั้น! รู้จักเพียงพอถึงจะมีสุข!” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเพียงแค่พยักหน้า ยังไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ตอนนี้นางไม่คิดอะไรอย่างอื่นแล้ว เอาแต่ร้องไห้เสียงดัง นางรู้สึกเสียใจจริงๆ ทั้งเรื่องหลี่เย่และตนเอง มากไปกว่านั้นคือความอึดอัดในหลายวันมานี้ของตัวนางเอง 

 

 

 

 

 

“เอาเถิด เจ้ากลับไปเถิด ข้าไม่ค่อยมีแรง อยากนอนแล้ว วันนี้รัชทายาทกลับไป เจ้าอย่าขวางเขา ไม่ให้เขาเข้าวังแล้วกัน” น้ำเสียงของไทเฮาแฝงไว้ด้วยความหยอกเย้า จากนั้นก็หลับตาทั้งสองข้างลง คล้ายเหนื่อยแล้วจริงๆ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องไห้ ก่อนถอยออกมาช้าๆ 

 

 

 

 

 

จางหมัวหมัวเดินตามถาวจวินหลันออกมา น้ำตาไหลพรากจากดวงตาเช่นเดียวกัน นางติดตามไทเฮามานานหลายปี ตอนนี้เห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้ นางย่อมเป็นคนที่เสียใจมากที่สุด อย่างไรความผูกพันธ์หลายปีมานี้ก็ไม่ใช่สิ่งจอมปลอม 

 

 

 

 

 

“ชายารัชทายาทต้องคิดถึงลูกในท้องให้ดี ร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ” จางหมัวหมัวพูดเตือนถาวจวินหลันเสียงสะอื้น ร้องไห้จนพูดไม่ได้ใจความ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเสียใจ แต่ก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ทำได้แค่พยายามควบคุมตนเองให้หยุดร้องไห้ สุดท้ายก็พูดกับจางหมัวหมัวเสียงเบา “ช่วงนี้หมัวหมัวดูแลไทเฮาให้ดีเถิด ต้องใส่ใจให้มาก ถ้ามีอะไรก็อย่าได้ล่าช้า รีบมารายงานพวกข้านะ” หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็พูดอีกว่า “ให้รัชทายาทอยู่ดูแลไทเฮาที่นี่ต่อเถิด” 

 

 

 

 

 

จางหมัวหมัวหัวเราะขมขื่น “หากไทเฮาอยากให้องค์รัชทายาทดูแลจริง ย่อมไม่ไล่องค์รัชทายาทกลับไปหรอกเพคะ ชายารัชทายาทก็อย่ามาอีกเลย ช่วงนี้ไทเฮา…ไม่ค่อยอยากพบผู้คนเท่าไรเพคะ” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันอึ้งไป “ทำไม?” 

 

 

 

 

 

จางหมัวหมัวลังเลอยู่สักพัก เหมือนว่าลำบากใจที่จะพูดออกมา สุดท้ายก็ขยับเข้ามาใกล้ถาวจวินหลันกระซิบว่า “ไทเฮาเริ่มควบคุมตนเองไม่ค่อยได้แล้ว นางรักศักดิ์ศรีตนเอง ไม่อยากให้ใครเห็นนางมีสภาพเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่เสวยอย่างอื่นนอกจากน้ำแกง” 

 

 

 

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ ถาวจวินหลันถึงเข้าใจความหมาย ทันใดนั้นก็ต้องปิดปากด้วยความตื่นตะลึง “นี่ นี่ นี่เป็นไปได้อย่างไร?“ 

 

 

 

 

 

“ไทเฮาหัวรั้นนัก ใครก็ทำอะไรนางไม่ได้ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่เหตุผลนี้เท่านั้น แต่เดิมไทเฮาก็อยากอาหารน้อยลงเรื่อยๆ แล้วเพคะ…” จางหมัวหมัวไม่ปิดบังความกังวลของตนเองแม้แต่น้อย ทั้งยังพูดเรื่องไม่สมควร “เกรงว่าไทเฮาคงใกล้ถึงขีดจำกัดแล้วเพคะ” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันมองจางหมัวหมัว ว่าไม่ว่าอย่างไรก็พูดต่อไม่ได้ แม้ปากจะไม่พูดยอมรับ ใจก็ไม่คิดเชื่อ แต่นางรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง อาการของไทเฮาเป็นเช่นนั้นจริงๆ 

 

 

 

 

 

นอกจากหมอเทวดาลงมาเกิดอีกครั้ง หรือว่ามียาอายุวัฒนะที่ทำให้กลับมาเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง เกรงว่าไทเฮาคงเป็นเหมือนตะเกียงที่น้ำมันหมดไฟมอดแล้ว 

 

 

 

 

 

ระหว่างทางกลับมายังวังตวนเปิ่น ถาวจวินหลันก็ยังเหม่อลอยไม่ได้สติ อีกทั้งร้องไห้หลายรอบ นางจึงปวดหัวคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ 

 

 

 

 

 

บรรดานางกำนัลเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องปลอบประโลมเช่นไร ก็ได้แต่ปล่อยถาวจวินหลันไป อีกทั้งในใจก็ยังรู้สึกเสียใจ 

 

 

 

 

 

ไทเฮากับถาวจวินหลันเริ่มต้นกันไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากนั้นกลับดีมากจริงๆ อีกทั้งไทเฮาก็เป็นคนมีเมตตา เป็นมิตรกับนางกำนัลทั้งหลาย ภายในวังหลวงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ชอบไทเฮา 

 

 

 

 

 

แต่ไทเฮาเป็นถึงขั้นนี้แล้ว ไม่แปลกที่คนจะเเศร้าโศก 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าคนอื่นเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร นางรู้แค่ว่าตนเองทั้งเสียใจ ทั้งเศร้าโศก ทั้งหวาดกลัวมาก ที่จริงแล้วตัวนางเองเห็นไทเฮาเป็นเหมือนเมืองที่แข็งแรงและมั่นคง เป็นที่พึ่งให้นาง ช่วยให้นางรู้สึกปลอดภัย สงบใจ และมีความกล้าอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

 

 

 

แต่ตอนนี้อยู่ๆ ก็มีคนมาบอกนางว่าความแข็งแรงนั้นเป็นเพียงแค่จินตนาการของตัวนางเอง ที่จริงแล้วเมืองนั้นล่มสลายไม่เป็นท่ามานานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงที่พึ่ง จะดำรงต่อไปหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา 

 

 

 

 

 

ความรู้สึกเช่นนี้ทำใจลำบากยิ่ง 

 

 

 

 

 

อารมณ์ไม่ดี ความอยากอาหารย่อมไม่ดีตาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปทำอย่างอื่น ดังนั้นตอนที่หลี่เย่กลับมายังวังตวนเปิ่นก็ได้เห็นท่าทีเย็นชาเช่นนี้ 

 

 

 

 

 

พอคิดถึงคำพูดที่ไทเฮาพูดกับเขา หลี่เย่ก็ใจอ่อนลง เริ่มโทษตัวเองและหงุดหงิด รู้สึกว่าถ้าหากเขาลดศักดิ์ศรีลงสักหน่อย แล้วมาพบถาวจวินหลันให้เร็วกว่านี้ คลายปมปัญหาให้เร็ว ถาวจวินหลันก็คงจะไม่เสียใจเช่นนี้ 

 

 

 

 

 

พอคิดถึงลูกในท้องของถาวจวินหลัน หลี่เย่ก็ดูอ่อนโยนขึ้นมาก เดินเข้าไปอย่างเบามือเบาเท้า เอื่อมมือไปกอดถาวจวินหลันอย่างกะทันหัน พูดเสียงเบาว่า “ข้ากลับมาแล้ว” 

 

 

 

 

 

ก่อนหน้านี้ถาวจวินหลันได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ ตอนที่กำลังเงยหน้ากลับถูกโอบไหล่เอาไว้ พอได้กลิ่นคุ้นเคย ก็ผ่อนคลายขึ้น และตอนที่ได้ยินเสียงแหบติดอบอุ่นพูดว่า ‘ข้ากลับมาแล้ว’ นางก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีก