บทที่ 679 เสียงระฆังเมฆ

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันคลายกังวลลงทันที อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของหลี่เย่ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถามอย่างอึดอัด “ทำไมท่านเพิ่งกลับมาเพคะ” 

 

 

หลี่เย่เอ่ยขอโทษเสียงอ่อนโยน ลูบหลังถาวจวินหลันเบาๆ “ข้าไม่ดีเอง ต่อไปนี้ไม่ทำอีกแล้ว” 

 

 

“เพคะ” เมื่อมีคนยอมพูดเปิดก่อน ตอนที่ยอมรับความผิดก็จะง่ายขึ้น แล้วถาวจวินหลันก็พูดอย่างอึดอัดใจว่า “วันนั้นหม่อมฉันก็ทำตัวไม่ดี ไม่ควรไล่ท่านออกไปอย่างนั้น” 

 

 

“แต่เดิมก็เป็นความผิดของข้า” หลี่เย่พูดเสียงเบา น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม พลางลูบไหล่ของถาวจวินหลันเบาๆ หัวเราะพลางหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เสียบเข้าไปบนผมของถาวจวินหลันช้าๆ  

 

 

ถาวจวินหลันยื่นมือขึ้นไปลูบตามความเคยชิน “อะไรหรือเพคะ?” 

 

 

“ปิ่นด้ามหนึ่ง ไทเฮามอบให้ บอกว่าเป็นของหมั้นหมายที่เสด็จปู่เคยมอบให้ตอนยังเป็นชายารัชทายาท” หลี่เย่หัวเราะ คล้ายรำลึกถึงความหลัง “ตอนนั้นไทเฮาชอบของสิ่งนี้มาก มักจะใส่ประดับบนศีรษะอยู่เสมอ หลังจากเสด็จปู่จากไปก็เก็บเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะให้ข้ามาส่งมอบให้เจ้า” 

 

 

ถาวจวินหลันลองคลำดูก็ไม่เห็นว่าจะรู้อะไร คิดอยากจะไปส่องกระจกดูแต่ก็ตัดใจลุกไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่ปล่อยไป พูดเสียงเศร้าหมอง “หม่อมฉันรับปากไทเฮาไปแล้ว หลังจากนี้หม่อมฉันจะเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์เองเพคะ แต่จะต้องตกลงก่อนว่าหากหม่อมฉันทำได้ไม่ดี ท่านก็อย่าโทษหม่อมฉันนะเพคะ อย่างไร…” 

 

 

“เซิ่นเอ๋อร์เรียกเจ้าว่าแม่ก็ถือเป็นโชคของเขา เขาควรจะรู้จักพอ” หลี่เย่ถอนหายใจ พูดเรื่องนี้อย่างสงบนิ่ง ไม่ได้มีทีท่าไม่พอใจอะไร หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “เจ้าก็อย่าทุ่มเทมากเกินไป ให้นางกำนัลเลี้ยงก็พอแล้ว เพียงเลี้ยงไว้กับเจ้าในนามเท่านั้น” 

 

 

ถาวจวินหลันกลอกตามองเขา “พูดง่ายนักเพคะ จะทำเช่นนั้นจริงๆ ได้อย่างไร?” ในเมื่อรับปากเรื่องนี้แล้ว นางก็ไม่เคยคิดจะแสร้งทำอย่างขอไปทีเท่านั้น แม้ว่ายากจะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทุกคน แต่ก็ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ 

 

 

“ทางด้านเจียงซื่อ…” อย่างไรนางก็ยังกลัวถูกเจียงอวี้เหลียนมาอาละวาด ความกังวลนี้ทำให้นางนึกหงุดหงิด 

 

 

“ข้าจะจัดการเอง” หลี่เย่พูดออกมา “ไม่ว่าจะส่งออกไปหรือทำอย่างไร ก็จะไม่ให้นางรบกวนจนส่งผลกระทบถึงเจ้าอีก” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรอีก แต่พอนึกถึงสภาพของไทเฮาในตอนนี้ ลังเลอยู่พักหนึ่งถึงถามหลี่เย่ออกมา “สุขภาพของไทเฮา…” 

 

 

หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปนานถึงได้พูดออกมาเบาๆ “ไทเฮาเริ่มไม่ไหวแล้ว หมอหลวงบอกแล้วว่ามีเวลาอีกสองเดือน…” พูดมาถึงตอนสุดท้าย น้ำเสียงของเขาก็สะท้อนความเศร้าโศกและอาลัยอาวรณ์เอาไว้ 

 

 

สุดท้ายเขาก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง อิงแอบอยู่บนไหล่ของถาวจวินหลัน พูดด้วยน้ำเสียงอึดอัด “ถึงบอกว่าทำใจไว้นานแล้ว แต่ข้าก็ยังเสียใจ…” 

 

 

เสียใจย่อมเป็นเรื่องที่แน่นอน ภายในวังหลวงนอกจากไทเฮาแล้ว คนอื่นล้วนมีอคติและเมินเฉยต่อหลี่เย่ แม้แต่บิดาของเขาก็ไม่ได้สนิทสนมแบบพ่อลูกกับเขามากนัก แค่คิดก็บอกได้เลยว่าไทเฮาสำคัญกับหลี่เย่มากเพียงใด 

 

 

ถาวจวินหลันมองที่ครอบผมหยกเขียวของหลี่เย่ ทั้งซาบซึ้งและตื้นตันใจ อยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปลอบประโลมหลี่เย่ แต่พออ้าปากก็ต้องพบว่าจะพูดอะไรออกไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็พูดแค่ “หากมีเวลาว่าง ก็ไปหาไทเฮาให้บ่อยหน่อยเถิด” 

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้า “ไทเฮาคงไม่ยอมพบข้าแล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันคิดถึงคำพูดของจางหมัวหมัว ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลพรากอีกครั้ง แต่ก็ยังฝืนยิ้มพูดว่า “ก่อนไปก็ให้คนไปรายงานไว้ก่อน ไทเฮาจะได้มีเวลาเตรียมตัวสักหน่อย ไปดูอีกสักรอบก็ยังดีนะเพคะ” 

 

 

ไม่ใช่ว่าไทเฮาไม่อยากพบ แต่เพราะไม่ยอมให้คนอื่นเห็นสภาพอิดโรยของนางเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ เลยที่จริงสรุปได้แค่สองคำเท่านั้น นั่นก็คือศักดิ์ศรี 

 

 

หากเป็นนาง บางทีคงจะไม่ยอมพบหน้าผู้คนเช่นเดียวกัน 

 

 

“เช่นนั้นฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยังเพคะ?” ถาวจวินหลันถามหลี่เย่อีกครั้ง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยการตำหนิเล็กน้อย อย่างไรนางก็ยังคงคิดว่าฮ่องเต้ใจแคบนัก 

 

 

หลี่เย่ไม่ได้พูดอะไร แต่ถาวจวินหลันก็รู้คำตอบของเขาโดยพลัน 

 

 

ฮ่องเต้รู้เรื่องนี้แล้ว แต่ฮ่องเต้กลับ…เมินเฉยไม่สะทกสะท้าน 

 

 

แม้จะบอกว่าไม่ควรคิดเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรถาวจวินหลันก็อดคิดไปทางนั้นไม่ได้ บางทีฮ่องเต้คงหวังให้ไทเฮาสิ้นพระชนม์นานแล้วกระมัง อย่างไรไทเฮาอยู่ต่ออีกสักวัน ก็เหมือนมีภูเขาสูงลูกใหญ่ขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าไม่ว่าฮ่องเต้อยากทำอะไรก็ไม่อิสระ 

 

 

หยิบยกเรื่องต้องการแต่งตั้งกู้ซีขึ้นมาพูด หากไม่ใช่เพราะไทเฮาคัดค้านเรื่องนี้ กู้ซีอาจจะเป็นหวงกุ้ยเฟยที่เป็นตำแหน่งรองคนคนเดียวแล้วก็เป็นไปได้  

 

 

“ช่วงนี้ฮ่องเต้ยังอยู่ที่วังของจวงผินกระมัง?” ถาวจวินหลันใจกระตุก ถามเสียงเบา 

 

 

หลี่เย่พยักหน้า แม้จะไม่ได้พูดจา แต่นางก็สัมผัสได้ถึงความแค้นเคืองและเย็นชาของเขาอย่างชัดเจน 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกหัวใจหนาวเหน็บ และรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย แท้จริงแล้วกู้ซีใช้วิธีอะไรกันแน่ ฮ่องเต้ถึงได้หลงใหลถึงเพียงนี้? 

 

 

เอาเข้าจริงแล้วฮ่องเต้ไม่น่าจะเป็นคนเลอะเลือนได้ถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นจริงกลับทำให้คนพูดไม่ออก 

 

 

“สุดท้ายแล้วไทเฮาก็ยังเป็นห่วงฮ่องเต้ หากพระองค์มีเวลาก็ไปกล่อมฮ่องเต้สักหน่อยเถิดเพคะ อย่างไรไทเฮาก็เป็นมารดาของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรทำเช่นนี้” แม้ถาวจวินหลันจะรู้ว่าทำเช่นนี้ใช่ว่าจะเห็นผล แต่ก็ยังอดพูดไม่ได้ 

 

 

หลี่เย่ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่พยักหน้าอย่างหนักแน่น “อืม” 

 

 

แต่สามีภรรยาทั้งสองรู้ดีว่าเรื่องนี้ทำไปก็ไร้ประโยชน์ 

 

 

ดึกวันนี้ถาวจวินหลันฝันเห็นไทเฮา ในฝันนั้นท่าทีสีหน้าของไทเฮาดูดีกว่ามาก ไม่ได้นอนติดเตียง ทั้งยัดูอ่อนวัยกว่าไม่น้อย สวมใส่เสื้อผ้าเต็มยศ เดินมาถึงข้างกายนาง พูดยิ้มๆ ว่า “ข้าจะไปแล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันไม่ค่อยเข้าใจนัก ดึงไทเฮาแล้วถามว่า “ไทเฮาจะไปไหนหรือเพคะ?” 

 

 

ไทเฮายิ้มพลางตบมือของนางเบาๆ “ไปพักแล้ว” หยุดไปครู่หนึ่งไทเฮาก็ถามว่า “หลังจากนี้ต้องพึ่งเจ้าแล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันมองไทเฮา ใจกระตุกวูบเล็กน้อย รีบพูดว่า “ไทเฮา พระองค์ยังไปพักไม่ได้นะเพคะ หม่อมฉันยังต้องเรียนรู้จากพระองค์อีกมาก” 

 

 

ไทเฮายิ้มพลางถอนหายใจ “ข้าเหนื่อยแล้ว อีกอย่าง เจ้าก็ไม่ต้องให้ข้าคอยเตือนแล้ว“ 

 

 

พอพูดจบไทเฮาก็ไม่รอให้นางพูดอะไรอีก สะบัดแขนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปากก็พูดว่า “ถึงเวลาแล้ว ข้าต้องไปแล้ว!” ยังไม่ทันจบไทเฮาก็เดินออกไปไกล ถาวจวินหลันวิ่งตามไปสองก้าว แต่กลับตามไม่ทันเสียที นางจึงเริ่มร้อนรน สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที 

 

 

ถาวจวินหลันลืมตา รู้สึกเหนียวเหงื่อไปทั้งตัว ทั้งยังโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก นางร้อนรน รีบกุมหน้าอกเอาไว้ รู้สึกใจเต้นแรงเป็นพักๆ 

 

 

หลี่เย่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเช่นเดียวกัน พอลืมตาแล้วก็สังเกตเห็นถาวจวินหลันมีท่าทีตกใจกลัว จึงรีบถามว่า “ฝันร้ายหรือ?” พูดไปพลางก็ลุกขึ้นนั่งไปพลาง เอามือโอบบ่าของถาวจวินหลันไว้เบาๆ 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า เอ่ยปากพูดว่า “หม่อมฉันฝันเห็นไทเฮาเพคะ….” 

 

 

ยังไม่ทันพูดจบ นางก็ได้ยินเสียงระฆังเมฆจากวังหลวง ดังทั้งหมดสี่ครั้งติดต่อกัน จากนั้นก็ตีอีกเก้าครั้ง ก่อนหยุดลง 

 

 

ถาวจวินหลันกับหลี่เย่สบตากัน ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลลงมา ตีติดกันสี่ครั้งหมายถึงเสียงโศก แล้วอีกเก้าครั้งหลังจากนั้นเป็นการแจ้งถึงฐานะ เลขเก้าถือเป็นจำนวนสูงที่สุด นอกจากฮ่องเต้แล้วก็มีเพียงฮองเฮาหรือไทเฮาเท่านั้นที่ใช้จำยฃนวนครั้งเท่านี้ได้ 

 

 

จะต้องรู้ว่าภายในวังหลวงนอกจากเฟยทั้งสี่แล้ว ก็ไม่มีใครที่มีคุณสมบัติใช้เสียงระฆังร่ำอีก 

 

 

และวันนี้เสียงระฆังเมฆได้ดังขึ้นมา แล้วยังดังเก้าครั้ง เช่นนั้นคิดไปคิดมาก็เหลือเพียงไม่กี่คนนั้นเท่านั้น เห็นชัดว่าไม่อาจเป็นฮองเฮา และฮ่องเต้แม้จะบอกว่าสุขภาพไม่ดี แต่ก็มีหมอหลวงคอยดูอยู่ตลอด ไม่ได้ยินว่ามีอาการกำเริบอะไร ดังนั้นย่อมเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น 

 

 

นั่นก็คือไทเฮา 

 

 

ตอนแรกท่าทีของหลี่เย่ยังดูเหม่อลอย แต่ก็เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดบาดลึกในใจ เขารีบสวมเสื้อผ้าลงจากเตียง พูดเสียงเบาว่า “ข้าจะไปถาม” 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเขามีท่าทีแปลกไป จึงรีบเดินตามไป “หม่อมฉันไปด้วยเพคะ” 

 

 

ถ้าเป็นแต่ก่อนหลี่เย่ไม่มีทางเมินนางที่กำลังตั้งครรภ์อยู่แน่นอน แต่ตอนนี้หลี่เย่ไม่เพียงไม่สนใจนาง แล้วยังเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย 

 

 

เห็นชัดว่าหลี่เย่ร้อนรนมากเพียงใด 

 

 

ถาวจวินหลันย่อมไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ รีบแต่งตัวใส่รองเท้าเดินตามออกไปอย่างรวดเร็ว ในความเป็นจริงแล้ว นางรู้สึกยุ่งเหยิงและสับสนมาก ไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย 

 

 

ในหัวของนางตอนนี้มีเพียงความคิดเดียว นั่นคือขออย่าให้เป็นไทเฮา 

 

 

แม้จะบอกว่าดูเนรคุณอยู่ไม่น้อย แต่นางก็ยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หากเป็นฮ่องเต้ก็คงดี ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ หลี่เย่ก็คงไม่เสียใจเช่นนี้แน่นอน และยิ่งไม่อาจนำพาความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักเพราะเรื่องนี้ 

 

 

แต่…ในใจของนางก็เหมือนมีเสียงหนึ่งคอยเตือนอยู่ตลอด ร่างกายของไทเฮาเป็นถึงขนาดนี้แล้ว จากไปเฉียบพลันก็ยังสมเหตุสมผล ไม่น่าแปลกใจเท่าไร 

 

 

พอถาวจวินหลันพบหลี่เย่ หลี่เย่ก็มีท่าทางคล้ายกำลังจะร้องไห้ แม้ความเป็นจริงเขาไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่ไม่ว่าจะเป็นดวงตาที่แดงก่ำหรือว่าริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแน่น แล้วยังมีมือที่กำแน่น ล้วนอธิบายถึงอารมณ์ของเขาได้ทั้งนั้น 

 

 

ท่าทีเช่นนี้ของเขาทำให้คนเห็นรู้สึกเสียใจมากกว่าร้องไห้ออกมาเสียอีก 

 

 

ถาวจวินหลันทั้งเจ็บปวดและขมขื่น ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่ได้ แต่ตอนนี้นางพูดคำพูดปลอบประโลมไม่ออกแม้แต่คำเดียว เพียงแค่เดินเข้าไปลูบไหล่ของเขาเบาๆ เสียงที่แหบแห้งข่มน้ำตาเอาไว้ “พวกเราไปกันเถิดเพคะ” 

 

 

หลี่เย่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังวังหย่งโซ่ว แม้แต่มองนางสักทียังไม่ทันเลยด้วยซ้ำไป 

 

 

ถาวจวินหลันเองก็ไม่สนใจ เดินตามไปอย่างเร่งรีบ ปี้เจียวตกใจจนต้องเข้ามาห้ามถาวจวินหลันเอาไว้ “ทางด้านนั้นได้ให้คนเตรียมเกี้ยวหามไว้แล้ว พระชายารอสักครู่นะเพคะ” 

 

 

ถาวจวินหลันถึงคิดได้ว่าในท้องของตนเองยังมีอีกหนึ่งชีวิต จึงลังเลไปเล็กน้อย คิดถึงสิ่งที่ไทเฮากำชับกับนาง ก็สูดลมหายใจลึกเก็บความเสียใจและความใจร้อนไป พยักหน้าแล้วหยุดฝีเท้าลง 

 

 

จากนั้นนางก็คิดได้ว่าตอนนี้สิทธิ์ดูแลกิจในวังอยู่ในมือของตนเอง จึงเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ให้ในวังเตรียมตัวให้พร้อม แขวนผ้าขาวและโคมไฟก่อนฟ้าสางวันพรุ่งนี้ คนที่เดินไปมาข้างนอกก็จะต้องสวมชุดไว้อาลัย คนที่แหกกฎให้โบยจนตายถือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู!” 

 

 

“สั่งทุกวังไปเตรียมตัวในทันที” ถาวจวินหลันพูดเสียงเย็น “ไปเชิญจวงผินเหนียงเหนียงให้มาคุกเข่าเคารพวิญญาณที่วังหย่งโซ่ว!” 

 

 

ที่พูดถึงกู้ซีขึ้นมาเป็นการพิเศษ นางย่อมต้องมีความหมายแอบแฝง บางทีถ้าไม่ใช่เพราะกู้ซีสร้างเรื่องขึ้นมามากมายเช่นนี้ ไทเฮาก็คงทนผ่านปีนี้ไปได้ แต่ตอนนี้… 

 

 

แม้ว่านางเอาชีวิตของกู้ซีไม่ได้ แต่จะทรมานกู้ซีเสียหน่อย หรือให้กู้ซีขอขมาไทเฮาก็ยังทำได้