บทที่ 76 พุ่งชน โดย Ink Stone_Romance
แม่หลินกระวีกระวาดออกไป ผู้คนต่างกำลังหลงใหลในมนตร์เสน่ห์ของอาหาร จนมิได้สนใจว่ามีคนผู้หนึ่งหายตัวไป
แม่หลินไปสืบความจึงรู้ว่าครัวของพวกอวี๋หวั่นอยู่ที่ใด แต่นางไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นดรุณีน้อยที่ตนเคยพบหน้ามาแล้วถึงสองครั้ง นางเพียงแต่เห็นจากระยะไกล ห้องครัวของพวกเขานั้นอยู่ไกลยิ่งนัก เรียกได้ว่าอยู่ในที่ซึ่งไร้เงาผู้คนเลยก็ว่าได้
“ให้พวกเขามาอยู่ตรงนี้ เห็นได้ชัดว่ามิได้ให้ความสำคัญแม้แต่น้อย ไหนเลยจะเทียบกับแม่นางตู้ มาถึงก็ได้ใช้ครัวเล็กของฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยแล้ว”
ชื่อเสียงของแม่นางตู้ก้องไกลในใต้หล้า แน่นอนว่าพ่อครัวแม่ครัวไร้ชื่อไหนเลยจะสู้ได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ แม่นางตู้จึงรู้สึกว่าพวกนางออกจะระแวงเกินไปหน่อยหรือไม่?
จำเป็นต้องใช้วิธีเช่นนี้มาจัดการกับพ่อครัวแม่ครัวธรรมดาๆ เชียวหรือ?
หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เดินมาถึงทางเดินไปยังลานบ้านด้านนอก ก่อนหน้านี้นางเดินไปทางทิศเดียวกับลม ตลอดทางไม่ได้กลิ่นอันใด แต่เมื่อเดินเลี้ยวมา ทิศทางลมเปลี่ยน กลิ่นเหม็นโฉ่ก็ก็พัดเข้าปะทะกับใบหน้าของนาง
นางรู้สึกมึนงงไปครู่หนึ่ง อยู่ๆ หนังศีรษะก็รู้สึกคล้ายกับเป็นเหน็บชา!
นางรีบปิดจมูก รู้สึกวิงเวียนศีรษะ “นี่ นี่มันกลิ่นอะไรกัน?!”
คฤหาสน์สกุลเว่ยทำเกินไปหน่อยกระมัง ต่อให้ไม่โปรดปรานพวกพ่อครัวแม่ครัวเหล่านี้ แต่ก็ไม่ควรจัดให้พวกเขาไปอยู่ในที่ที่เหม็นถึงเพียงนี้ พวกเขาจะไม่แย่หรอกหรือ…
ผ่านไปครู่หนึ่ง แม่หลินก็ตระหนักได้ว่าตนคิดมากเกินไป
สกุลเว่ยจัดให้พวกพ่อครัวแม่ครัวเหล่านี้ไปอยู่ในสถานที่ซึ่งเหม็นเช่นนี้ที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเหล่าคนครัวนั่นแลที่ทำให้คฤหาสน์สกุลเว่ยเหม็น!
แม่หลินเดินตุปัดตุเป๋ นางกลั้นหายใจนาน จนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง
“เหม็น…เหม็นเหลือเกิน”
แม่หลินมิได้ทันสังเกตว่าพวกเขาทำอะไรด้านใน นางรู้สึกเหม็นจนทนต่อไปไม่ไหว จึงต้องวิ่งหนีออกมา
“เหม็น?” เหยียนหรูอวี้ขมวดคิ้ว “หรือจะเป็นปลากุ้ยหมัก[1]?”
ที่ปลายจมูกของแม่หลินยังมีกลิ่นเหม็นติดอยู่ ทำให้นางรู้สึกเวียนหัว
เหยียนหรูอวี้ยืนกรานในสิ่งที่ตนคาดเดา “คงจะเป็นปลากุ้ยหมักมิผิดแน่ ท่านไปบอกให้แม่นางตู้ทำปลากุ้ยหมักมาหนึ่งสำรับ”
นางเคยกินปลากุ้ยหมัก จึงรู้ว่าปลากุ้ยหมักนั้นมีกลิ่นเหม็นรุนแรง เมื่อกินเข้าไปก็ยังคงเหม็นอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงเลือกทำอาหารชนิดนี้ ทว่านางก็มิกล้าเอ่ยถึงคนอื่น อาหารประเภทนี้เป็นพื้นถิ่นของบ้านเกิดแม่นางตู้ ปลากุ้ยหมักที่แม่นางตู้ทำนั้นเหม็นยิ่งกว่าปลากุ้ยใดๆ แต่รสชาตินั้นเป็นที่น่าจดจำยิ่งนัก
และนับว่าเป็นโชคของนาง ที่ในคฤหาสน์มีอาหารประเภทนี้
ปลากุ้ยเมื่อผ่านการหมักแล้ว สัดส่วนของเกลือในเนื้อมาก เนื้อจะแห้งเล็กน้อย แม่นางตู้จึงต้องใช้วิธีการที่ไม่เหมือนกับการประกอบอาหารประเภทก่อนหน้า นางนำปลาไปนึ่ง แล้วค่อยนำไปย่าง และนั่นยิ่งทำให้เนื้อปลาที่เหม็นอยู่แล้ว เหม็นยิ่งขึ้นไปอีก
อีกด้านหนึ่ง เต้าหู้เหม็นของอวี๋หวั่นก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอวี๋ซงคิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าบัดนี้โดยรอบดูเงียบสงัดลงไปถนัดตา ราวกับว่าผู้คนในระยะหนึ่งร้อยหลี่ได้วิ่งหนีไปหมดแล้ว
“กลิ่นอะไร?” ฮูหยินคนหนึ่งในสีชุนเก๋อเอ่ยถามขึ้น
เหยียนหรูอวี้ยิ้มอย่างมีนัยยะ แล้วกล่าวว่า “เป็นกลิ่นปลากุ้ยหมักของแม่นางตู้”
เพียงประเดี๋ยวเดียวก็เหม็นได้ถึงเพียงนี้ ครานี้รสชาติของปลากุ้ยหมักจักต้องเข้มข้นกว่าครั้งก่อนๆ เป็นแน่…
“ไอหยา เหม็นเหลือเกิน!” ผ่านไปเพียงครู่เดียว คุณหนูคนหนึ่งในสีชุนเก๋อก็ขมวดคิ้ว
เหยียนหรูอวี้รู้สึกหายใจไม่ค่อยทั่วท้อง เหม็นเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้แม่นางตู้ไม่เคยทำปลากุ้ยหมักที่เหม็นเช่นนี้มาก่อน
เหยียนหรูอวี้ยกมือขึ้นทาบอก “ท่านไปดูในครัวสักหน่อย เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
แม่หลินเดินออกไป
ทันทีที่แม่หลินเดินไป เต้าหู้ก็เหม็นก็ถูกยกเข้ามาในสีชุนเก๋ออย่างสง่างาม วินาทีนั้นเอง สตรีทั้งหมดล้วนถูกกลิ่นเหม็นโฉ่ของเต้าหู้ทำเอางุงงงกันยกใหญ่
ทว่าพวกนางก็พบว่า แท้จริงแล้วอาหารจานนี้มิใช่ปลากุ้ยหมัก หากแต่เป็นเต้าหู้ทอดสีดำๆ สามสี่จาน
เต้าหู้เหม็นในครั้งนี้ ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงลงมือทำ อวี๋หวั่นล้วนจัดการด้วยตัวเอง ในส่วนของวัตถุดิบนั้น เต้าหู้เหม็นนี้จะเหม็นกว่าเต้าหู้ที่ป้าสะใภ้ใหญ่เผลอวางทิ้งไว้อีกระดับหนึ่ง
ที่จริงแล้วอวี๋หวั่นใส่น้ำเต้าหู้ยี้ที่หมักเองลงไปด้วย ในด้านกระบวนการทำและไส้เต้าหู้นั้น เรียกได้ว่าเหนือชั้นขึ้นไปอีก
ส่วนสุดท้าย ไม่อาจไม่กล่าวถึงวิธีการเก็บรักษา ก่อนหน้านี้ที่บ้านเดิม หลังจากทอดเต้าหู้เสร็จ เมื่อนำขึ้นจากหม้อ เต้าหู้ก็เย็นทันที นั่นทำให้กลิ่นเหม็นของเต้าหู้ยังมิทันได้กระจายออกไปก็ถูกกักเอาไว้ในเนื้อเต้าหู้เสียแล้ว ทว่าครั้งนี้ อวี๋หวั่นใช้กล่องข้าวที่ซื้อมาด้วยเงินจำนวนมาก (หนึ่งร้อยอีแปะ) เพื่อรักษาอุณหภูมิของอาหาร อุณหภูมิของเต้าหู้เมื่อขึ้นจากกระทะเป็นเท่าไร อุณหภูมิเมื่อเปิดออกก็ยังคงเท่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อปิดฝาไปสักพักหนึ่ง เมื่อเปิดออกมา กลิ่นเหม็นของเต้าหู้นั้นรุนแรงเกินกว่าจะบรรยายได้
“แม่นางเหยียน แม่นางเหยียน แม่นางเหยียน!”
เหยียนหรูอวี้ดมกลิ่นเหม็นจนปวดเศียรเวียนเกล้า…
ซั่งกวนเยี่ยนเขย่าตัวนาง ทว่านางมิได้ขยับ สายตาจับจ้องไปยังเต้าหู้เหม็นจานนั้น ราวกับว่าจะจ้องจนมันทะลุเป็นรูให้จงได้!
เหม็นถึงเพียงนี้ ไม่มีสตรีนางใดในห้องที่กล้าลิ้มลอง กระนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยก็รู้สึกเอ็นดูในความกตัญญูของลูกหลาน นางจึงทำใจดีสู้เสือ…เรียกให้แม่ซ่งชิม
แม่ซ่ง “…”
แม่ซ่งกล้ำกลืนฝืนกินเข้าไป หลังจากที่กัดเข้าไปหนึ่งคำ สีหน้าของนางก็พลันสดใสขึ้นทันที
“ที่จริงหากกินไม่ลงเจ้าก็…” ฮูหยินผู้เฒ่าเหยียนยังพูดมิทันจบประโยค แม่ซ่งก็หยิบเต้าหู้เหม็นที่เหลืออยู่ค่อนชิ้นใส่ปากทันที!
ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยซึ่งกำลังตะลึงงัน “…”
เมื่อมีแม่ซ่งเปิดประเดิม สตรีคนอื่นต่างก็ใจกล้าลองชิมดูบ้าง
เต้าหู้เหม็นยังร้อนอยู่ แต่น้ำเต้าหู้ยี้นั้นเย็น อุณหภูมิของวัตถุดิบทั้งสองประเภทเคล้ากันได้อย่างลงตัว เมื่อกัดเข้าไปเบาๆ จะได้สัมผัสของความเย็นและความร้อน อร่อยจนต้องหลับตาพริ้ม แล้วค่อยจิ้มเต้าหู้ลงในผักรวมหั่นและผักชีสับละเอียด รสหวานอ่อนๆ สดชื่น ตัดเลี่ยนได้ดี ทำให้พวกนางอดไม่ได้ที่จะกินเข้าไปในคำเดียว
ผู้ที่มิได้ยกตะเกียบขึ้นมามีเพียงเหยียนหรูอวี้และซั่งกวนเยี่ยน
เหยียนหรูอวี้รู้สึกวิงเวียน ส่วนซั่งกวนเยี่ยนนั้น…
“หลีกไป! ฮูหยินบ้านข้าไม่กินของพรรค์นี้!”
ฮูหยินบ้านนางออกจะสูงส่งและงดงาม จะมากินของที่ไม่น่าพิสมัยเช่นนี้ได้อย่างไร?
สาวใช้มิยอมเข้าใกล้เต้าหู้เหม็นจานนี้ ทั้งยังปกป้องฮูหยินอย่างสุดความสามารถ!
ไม่นาน ปลากุ้ยหมักของแม่นางตู้ก็ถูกจัดวางลงบนโต๊ะ
กระนั้น กลิ่นของปลากุ้ยหมักกลับถูกกลิ่นของเต้าหู้เหม็นกลบ รสชาติอ่อนไปเล็กน้อย ถึงแม้ว่าปลาจะถูกหมักได้ที่แล้ว แต่ก็มิอาจเทียบกับเนื้อสัมผัสร้อนเย็นเคล้ากันของเต้าหู้เหม็น ทั้งยังไม่สามารถจิ้มกับเครื่องเคียง จนมีรสหวานและเผ็ดสดชื่นติดปลายลิ้นได้
ครานี้ หากจะโป้ปดว่าเป็นฝีมือของแม่นางตู้เห็นจะมิได้แล้ว เพราะอาหารประเภทนี้ แม่นางตู้ทำไม่เป็น
………………………………………………………
[1] ปลากุ้ยหมัก อาหารพื้นถิ่นของเมืองฮุยโจว มณฑลอันฮุย ทำจากปลากุ้ยซึ่งเป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง นำมาหมักกับขิงและพริกแดง จนมีกลิ่นเฉพาะตัว