ตอนที่ 168-1 ฝากฝัง

ลำนำสตรียอดเซียน

สหายนักพรตฟางเจิ้งตกลงไปที่พื้นด้วยเสียงดังปัง ในชั่วพริบตา เขาดูเหมือนจะไม่รู้สึกตัว

 

 

โม่เทียนเกอเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาทันทีแต่เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณนั้นได้หายไปแล้ว นางยังไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน!

 

 

ขณะนั้นเอง สหายนักพรตฟางเจิ้งที่นอนอยู่บนพื้นส่งเสียงคราง ด้วยใบหน้าซีดเผือด เขากระเสือกกระสนเพื่อคลานขึ้น “นี่…”

 

 

“สหายนักพรตฟางเจิ้ง ดูเหมือนว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้ไม่ยอมปล่อยให้เราขโมยหินสุริยันของเขาไปได้” เมื่อยืนยันแน่แล้วว่าไม่มีอันตรายใดอีก โม่เทียนเกอเอาอาวุธเวทลงจากนั้นกวาดสายตามองทั่วห้องหินอย่างช้าๆ

 

 

กลอุบายนั้นเห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าดินแดนปัจจุบันของพวกเขา มันไม่ได้ดูเหมือนตั้งใจจะฆ่าพวกเขา ดูเหมือนว่ามันจะตั้งใจป้องกันไม่ให้คนเอาหินสุริยันออกไป

 

 

นักพรตฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองที่หินสุริยันเหนือหัวพวกเขา สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นความไม่เต็มใจอย่างที่สุด

 

 

ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องกลับไปมือเปล่าจากการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่หรือ

 

 

ขณะนั้นเอง เสียงกึกก้องดังขึ้นอีกครั้ง ฟังดูราวกับว่าแผ่นหินกำลังถูกเคลื่อนไปที่ไหนสักแห่ง

 

 

ทั้งสองคนไปตามทางแหล่งที่มาของเสียงนั้นด้วยความตื่นเต้น

 

 

จากนั้นพวกเขาเห็นกำแพงที่ส่วนลึกสุดของห้องหินจู่ๆ ก็เคลื่อนเปิดออกทันที เผยให้เห็นโต๊ะหินพร้อมด้วยสิ่งของมากมายที่จัดวางอยู่บนนั้น

 

 

แต่หลายเหตุการณ์จากก่อนหน้านี้ทำให้ทั้งสองคนกระทำการด้วยความระมัดระวัง หลังจากความดีใจในตอนแรก พวกเขาจึงไม่ได้รีบหยิบฉวยสิ่งของพวกนั้นไปในทันที

 

 

นักพรตฟางเจิ้งปล่อยสัตว์วิเศษระดับหนึ่งของเขาไปอีกครั้ง นกส่งเสียงร้องแล้วจึงบินโงนเงนไปทางโต๊ะหิน

 

 

ไม่ใช่แค่นักพรตฟางเจิ้ง แต่แม้แต่โม่เทียนเกอเองก็ประหม่าถึงขีดสุด ตั้งแต่นางมาที่นี่ นอกเหนือจากราชินีแห่งหินจันทราและหินจันทราเวทมนตร์อีกหลายอัน นางก็ยังไม่ได้ครอบครองอะไรอื่นเลยสักอย่างเดียว ในทางตรงข้าม นางเสียเครื่องรางเวทไปหลายอันด้วยซ้ำไป เห็นได้ชัดว่ามีสมบัติมากมายที่นี่แต่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้นำมันออกไป

 

 

เมื่อนกบินร่อนลงอย่างนิ่มนวลบนโต๊ะหิน นักพรตฟางเจิ้งดูมีความสุขขึ้นมาหน่อยในที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักเขาก็ยิ่งประหม่ายิ่งกว่าก่อนหน้านี้ขณะที่เขาสั่งให้นกตัวนั้นคาบของชิ้นหนึ่งขึ้นมาด้วยจะงอยปากของมัน

 

 

บนโต๊ะหิน นกตัวนั้นกระพือปีกและกระโดดไปยังสิ่งของที่รูปร่างเหมือนกระดิ่ง ในไม่ช้ามันก็คาบมือจับของกระดิ่งขึ้นมาด้วยจะงอยปากของมัน เตรียมพร้อมที่จะบินกลับมา

 

 

“ปัง!” ควันพุ่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและเส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณปรากฏขึ้นทันที

 

 

โม่เทียนเกอต้องการใช้พลังงานวิญญาณป้องกันร่างกาย แต่ในชั่วอึดใจ นางกลับเสียการควบคุมพลังงานทางจิตวิญญาณภายในร่างกาย นางไม่สามารถเคลื่อนมันได้!

 

 

ขณะนั้นเอง เสียงทุ้มที่ฟังดูยิ่งใหญ่ก้องสะท้อนอยู่ภายในห้องหิน “ศิษย์น้องคนไหนเข้ามาที่ถ้ำเซียนของจื่อเวยหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอตกใจ หรือว่าจะเป็น–

 

 

นักพรตฟางเจิ้งตอบสนองไปก่อนแล้ว เขารีบเข้าไปตอบก่อน “ศิษย์น้องคือฟางเจิ้ง ผู้ฝึกตนเดี่ยวผู้ไม่สำคัญ ขอคารวะศิษย์พี่จื่อเวย!”

 

 

ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามารถตัดแบ่งเศษเสี้ยวของจิตสัมผัสพวกเขาและเก็บรักษามันไว้สักที่หนึ่งหลังจากพวกเขาตาย คนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้คาดว่าจะเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่เรียกตัวเองว่านักเดินทางจื่อเวย

 

 

“ศิษย์น้องคือโม่เทียนเกอ ศิษย์แห่งโรงเรียนเสวียนชิง ขอคารวะศิษย์พี่จื่อเวย” ถึงแม้นางจะเผชิญหน้ากับแค่จิตสัมผัสของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ แต่โม่เทียนเกอก็เลือกที่จะพูดความจริง

 

 

“โรงเรียนเสวียนชิง” คำพูดของนางทำให้นักเดินทางจื่อเวยประหลาดใจ แต่ไม่ช้าเขาก็ถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าเกี่ยวข้องกับประมุขเต๋าตานหลิงอย่างไร”

 

 

ประมุขเต๋าตานหลิง โม่เทียนเกอใช้เวลาคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบ “ประมุขเต๋าตานหลิงเป็นศิษย์พี่ในโรงเรียนของข้า เขาตายจากไปแล้วตั้งแต่เมื่อห้าพันปีก่อน”

 

 

“… ห้าพันปีก่อน” พอได้ยินคำตอบของนาง นักเดินทางจื่อเวยเงียบไปเป็นเวลานาน ในท้ายที่สุดเขาถอนหายใจยาวและพูดว่า “ผ่านมาห้าพันปีแล้วจริงๆ … จื่อหลาน ดูเหมือนว่าเจ้าก็…”

 

 

ในวินาทีถัดมา เสียงของเขากลับไปสงบนิ่งอีกครั้ง “ศิษย์น้องทั้งสอง ในเมื่อเจ้าเข้ามาในถ้ำเซียนของข้า เจ้ามีอะไรจะถามข้าไหม”

 

 

หลังจากนักพรตฟางเจิ้งได้ยินคำถามนั้น เขาตื่นเต้นไปด้วยความยินดี อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะพูด โม่เทียนเกอนำหน้าเขาไปก่อนแล้วก้าวหนึ่ง “ข้าสงสัยว่าศิษย์พี่ตั้งใจจะทำอะไรจากการที่หลอกล่อเรามายังสถานที่แห่งนี้”

 

 

ถือว่ากล้ามากสำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานที่พูดอย่างนี้กับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ด้วยเกรงว่าโม่เทียนเกอจะพูดอะไรผิดไป นักพรตฟางเจิ้งรีบกระซิบบอก “สหายนักพรต อย่าพูดโดยไม่คิดสิ!”

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้เสียกำลังใจ นางกล้าพูดเช่นนั้นเป็นปกติก็เพราะนางมั่นใจว่านักเดินทางจื่อเวยจะไม่โกรธ

 

 

แน่นอนว่านักเดินทางจื่อเวยระเบิดหัวเราะออกมาหลังจากนั้นไม่นาน “ศิษย์น้อง เจ้าเป็นคนฉลาดนี่ ถูกต้องแล้ว ข้าหลอกล่อเจ้ามาที่สถานที่แห่งนี้โดยตั้งใจ”

 

 

“ศิษย์พี่มีจุดประสงค์อะไรหรือ”

 

 

นักเดินทางจื่อเวยไม่ได้ตอบคำถามของนาง เขาถามกลับแทน “ศิษย์น้อง เจ้าทั้งสองคิดอย่างไรกับถ้ำเซียนของข้า”

 

 

ครั้งนี้นักพรตฟางเจิ้งเป็นคนตอบก่อน “ถ้ำเซียนของศิษย์พี่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ มีม่านพลังมากมายและทรัพย์สมบัติหลากหลาย”

 

 

“ม่านพลังและทรัพย์สมบัติ…” นักเดินทางจื่อเวยพูดตาม ทันใดนั้นเขาก็ถามอีกคำถาม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าอยากจะเอามันออกไปไหม”

 

 

นักพรตฟางเจิ้งทั้งหวาดกลัวและดีใจไปพร้อมกัน แต่เขาก็ไม่กล้าจะหยาบคาย เขาชำเลืองมองโม่เทียนเกอแล้วจึงตอบว่า “แน่นอนขอรับ… แต่ด้วยความสามารถของศิษย์พี่ เราไม่มีสิทธิ์จะตัดสินใจ”

 

 

“หึหึ เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์อย่างคาดไม่ถึง” นักเดินทางจื่อเวยหัวเราะกับคำตอบของเขา “เจ้าทั้งสองไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าไม่ใช่คนโหดร้าย ถ้าเจ้าตอบคำถามข้าอย่างซื่อตรง ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินสิ่งที่เขาพูด นางโอดโอยอยู่ภายใน ไม่ใช่คนโหดร้ายเช่นนั้นรึ มีแค่พวกเราสองคนที่เหลืออยู่ในสภาพดีจากคนทั้งหมดเก้าคน ตอนนี้นักพรตฟางเจิ้งก็บาดเจ็บไปทั่วทั้งตัว หลังจากทั้งหมดนี้ เขายังพูดอีกว่าเขาไม่ใช่คนโหดร้าย…

 

 

“เจ้าจะคัดค้านอะไรไหม” เสียงของนักเดินทางจื่อเวยจู่ๆ ก็ฟังดูใกล้เหมือนกับเขากำลังพูดอยู่ข้างหูโม่เทียนเกอทำให้นางกลัวแทบสิ้นชีวิต เป็นไปได้หรือไม่ว่านักเดินทางจื่อเวยคนนี้สามารถใช้วิชาอ่านใจได้

 

 

“วิชาอ่านใจหรือ อืม ก็ไม่มากไม่น้อย” นางไม่ได้พูดสิ่งที่นางคิดออกมาแต่นักเดินทางจื่อเวยก็รู้ได้เรียบร้อยแล้ว “ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ครั้งหนึ่งข้าเคยลองทำการบรรลุผ่านดินแดนไปยังดินแดนแห่งเทพ ถึงแม้ความพยายามของข้าจะล้มเหลว แต่ข้าก็ได้รับความสามารถบางอย่างของเทพผู้ฝึกตนมา วิชาอ่านใจคือหนึ่งในนั้น”

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกอึ้ง สิ่งที่เขาพูดดูเหมือนจะถูกต้อง… ย้อนไปตอนที่นางอยู่กับหยวนเป่าและจงมู่หลิง นางก็พอจะสัมผัสได้คร่าวๆ ว่านางไม่สามารถปิดบังอะไรจากพวกเขาได้ ความรู้สึกนั้นแตกต่างจากความรู้สึกตอนที่นางพูดความจริงภายใต้แรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณของใครสักคน ถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่ได้หมายความว่านักเดินทางจื่อเวยได้เข้าถึงขั้นสูงสุดของระดับจิตวิญญาณใหม่แล้วแต่ไม่สามารถก้าวหน้าไปถึงดินแดนแห่งเทพได้หรอกหรือ

 

 

“โอ้! ศิษย์น้อง เจ้าเคยพบเทพผู้ฝึกตนแล้วจริงๆ หรือ” พลังงานทางจิตวิญญาณล่องหนจู่ๆ ก็กระเพื่อมขึ้นลงทันใดและพันอยู่รอบตัวโม่เทียนเกออย่างแนบแน่นขณะที่ถูกถามคำถาม

 

 

รู้สึกหวาดกลัว โม่เทียนเกอรีบตั้งสติและสงบพลังงานทางจิตวิญญาณของนางลงให้นิ่ง ป้องกันจิตใจของนางไม่ให้ล่องลอยไป วิชาอ่านใจ… ถ้านางคิดมากเกินไป นั่นไม่ได้หมายความว่านางกำลังบอกเขาทุกอย่างหรือ

 

 

ความคิดนี้เพิ่งผ่านเข้ามาในจิตใจนางแต่ก่อนที่นางจะทันพูดอะไร นางก็ได้ยินนักเดินทางจื่อเวยหัวเราะเสียแล้ว “ศิษย์น้อง เจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นตกใจไป วิชาอ่านใจไม่ใช่จะทำงานได้โดยอัตโนมัติ มันต้องเริ่มใช้ตามความประสงค์ของข้า ดังนั้นข้าจะหยุดใช้มันกับเจ้า เจ้าค่อยๆ พูดมาช้าๆ”

 

 

เขาฟังดูเป็นมิตรอย่างไม่น่าเชื่อ…

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ว่านางจะยังคงกังวลอยู่ลึกๆ นางตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ ศิษย์น้องเคยมีโอกาสได้พบกับเทพผู้ฝึกตนมาก่อนจริง”

 

 

“โห พวกเขาชื่ออะไรหรือ แล้วเจ้าพบพวกเขาได้อย่างไร”

 

 

“… คนหนึ่งในนั้นมีแซ่จง ชื่อมู่หลิง อีกคนหนึ่งถูกเรียกว่านักพรตหยวนเป่า แต่ข้าไม่รู้ว่ามันคือชื่อจริงของเขาหรือชื่อชาวลัทธิเต๋าของเขากันแน่”

 

 

“จงมู่หลิง หยวนเป่า…” เสียงนั้นพึมพำ “พวกเขาเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้จริงๆ ด้วยสิ…”

 

 

โม่เทียนเกอพูดด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์พี่รู้จักเทพผู้ฝึกตนสองคนนั้นด้วยหรือเจ้าคะ”

 

 

“จะว่าเช่นนั้นก็ได้…” นักเดินทางจื่อเวยพูดแผ่วเบา “เราเป็นผู้ฝึกตนจากยุคเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนกับข้าที่มาจากขั้วท้องฟ้า พวกเขามาจากอวิ๋นจง”

 

 

โม่เทียนเกอก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน หยวนเป่าเคยคุยกับนางเกี่ยวกับหลายต่อหลายสิ่ง แต่เดิมพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนจากอวิ๋นจง ในภายหลัง พวกเขาร่อนเร่ไปทั่วและมายังขั้วท้องฟ้า หลังจากพวกเขาก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้ พวกเขาไม่มีที่อยู่อาศัยถาวรและแค่อยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนขณะที่พวกเขาท่องเที่ยวไปจนทั่ว

 

 

“เอาละ ศิษย์น้อง เจ้าควรบอกข้ามาก่อน ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“พวกเขา… สุขสบายดีมาก” จากคำถามของเขา ดูเหมือนจะมีแค่มิตรภาพและไม่ได้มีความเคียดแค้นระหว่างเขา จงมู่หลิง และหยวนเป่า ดังนั้นในที่สุดโม่เทียนเกอจึงคลายความกังวล “ศิษย์น้องเจอพวกเขาในการจลาจลสัตว์ปีศาจครั้งก่อน ศิษย์น้องบุกเข้าไปในถ้ำเซียนของศิษย์พี่ระดับเทพทั้งสองคนโดยบังเอิญและถูกพวกเขาช่วยชีวิตเอาไว้ ศิษย์น้องจากมาหลังจากอาการบาดเจ็บหายดี ดูเหมือนว่าพวกเขามาที่นี่เพราะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการเดินทางของพวกเขา”

 

 

“…” เมื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด นักเดินทางจื่อเวยนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากผ่านไปนาน สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจยาวและพูดว่า “การได้ยินข่าวของสหายเก่าทำให้ข้ารู้สึกอารมณ์อ่อนไหว ศิษย์น้อง ในเมื่อเจ้ารู้จักกับสหายเก่าของข้า ข้าจะไม่ทำให้เรื่องมันยากเกินไปสำหรับเจ้า บอกตามตรง ตลอดห้าพันปีที่ผ่านมา บางครั้งข้าก็มักจะทำให้ม่านพลังอ่อนกำลังลงและปล่อยพลังงานทางจิตวิญญาณออกไปเพื่อล่อผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างเจ้าทั้งสองมาที่สถานที่แห่งนี้ โชคร้ายที่ไม่มีใครสามารถเข้ามาถึงที่นี่ได้เลย…”

 

 

แน่สิ! โม่เทียนเกอเดาประเด็นนี้ไว้นานแล้ว นางแค่ไม่รู้ว่าทำไมนักเดินทางจื่อเวยถึงไม่ล่อผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่เข้ามา

 

 

“มีบางสิ่งที่ข้าเสียดายมาตลอดชีวิตและข้าไม่สามารถจัดการได้แม้ข้าตายจากไปแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าจึงผนึกจิตสัมผัสของข้าไว้ในถ้ำแห่งนี้ ถ้าใครที่สามารถผ่านการทดสอบและเข้าถึงถ้ำนี้ได้ จิตสัมผัสของข้าก็จะออกมาปรากฏเพื่อพบพวกเขา ถ้าเจ้าทั้งสองคนสามารถช่วยข้าจัดการเรื่องนั้นได้ ข้าจะให้ทรัพย์สมบัติเป็นการตอบแทน”

 

 

สิ่งที่เขาพูดทำให้โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งต่างเหลือบมองกัน ทั้งคู่รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ ในกลุ่มของพวกเขา หกคนตายไปแล้วและอีกหนึ่งคนบาดเจ็บสาหัส มีเพียงพวกเขาสองคนที่ยังสบายดีพอจะเข้ามาถึงถ้ำนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ผู้ซึ่งตายไปแล้วมีบางสิ่งที่เขาอยากจะฝากฝังพวกเขาเช่นนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังไม่ได้อธิบายด้วยว่าทำไมเขาถึงไม่ล่อผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่เข้ามา! นักเดินทางจื่อเวยผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ในขั้นสูงสุดอันทรงพลังผู้ที่เข้าใกล้การเป็นเทพผู้ฝึกตนอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น คาดว่าทรัพย์สมบัติที่เขามีคงจะถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนอื่นๆ หมายปองเช่นกัน