ตอนที่ 168-2 ฝากฝัง

ลำนำสตรียอดเซียน

“หรือว่าบางทีเจ้าอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงต้องการดึงดูดผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานเข้ามา”

 

 

นักพรตฟางเจิ้งประสานมือ “โปรดอภัยให้พวกเราด้วยขอรับศิษย์พี่ เราไม่เข้าใจจริงๆ ถ้าศิษย์พี่มีเรื่องที่อยากฝากฝังให้เราทำ สู้ฝากฝังกับผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่จะไม่ดีกว่าหรือ พวกเขามีฝีมือมากกว่าดังนั้นเรื่องนั้นจึงน่าจะสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย”

 

 

“หึๆ แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่จะกลัวเส้นใยจิตสัมผัสเช่นนั้นหรือ ไม่ว่าระดับการฝึกตนของข้าจะสูงแค่ไหนในอดีต แต่สิ่งที่ข้าเหลืออยู่ก็มีเพียงแค่เศษเสี้ยวจิตสัมผัสนี้เท่านั้น ข้าไม่สามารถขู่พวกเขาด้วยพลังของข้าได้” นักเดินทางจื่อเวยพูดอย่างเฉยเมย “อีกอย่าง ปัญหาของข้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับระดับการฝึกตน”

 

 

นี่ก็สมเหตุสมผล ถ้าผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่พบถ้ำเซียนแบบนี้เข้า พวกเขาอาจจะบุกเข้ามาเอาสมบัติที่นี่ไป ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้นักเดินทางจื่อเวยจะเคยเป็นอัจฉริยะเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ตัวเขาเหลือเพียงแค่เส้นใยของจิตสัมผัสเท่านั้น

 

 

โม่เทียนเกอพูด “ศิษย์พี่ ท่านไม่กลัวหรือว่าเราจะตอบตกลงที่นี่แต่ไม่ยอมจัดการกับเรื่องนั้นในภายหลัง หรือศิษย์น้องอาจจะกลับไปที่กลุ่มและบอกท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้จึงทำให้ผู้อาวุโสในฝ่ายของข้ามาที่นี่และตามล่าสมบัติของท่าน”

 

 

“ฮ่า! สาวน้อย เจ้ากล้ามาก” นักเดินทางจื่อเวยหัวเราะแต่ในเสี้ยววินาทีถัดมา น้ำเสียงของเขากลายเป็นเย็นชาทันที “ในเมื่อข้ายอมให้ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานเข้ามา ข้าก็ต้องมีวิธีจัดการกับพวกเจ้าเป็นธรรมดาอยู่แล้ว!”

 

 

ทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้ปวดหัวขึ้นมากะทันหัน ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณนั้นทะลุทะลวงเข้ามาในสมองของนางแต่ก็ออกไปหลังจากนั้นทันที

 

 

“อาาา” นางอดไม่ได้ที่ต้องกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

 

 

เมื่อความเจ็บปวดผ่านไป อย่างไรก็ตาม นางบอกไม่ได้ว่าตัวของนางมีอะไรแตกต่างไปหรือไม่ เมื่อนางหันไปทางนักพรตฟางเจิ้ง นางเห็นว่าเขาดูเหมือนกันกับนางและงุนงงพอกัน

 

 

นักเดินทางจื่อเวยพูดอย่างสบายๆ “ข้าทิ้งรอยประทับไว้ในทะเลแห่งความรู้ของเจ้า ถ้าเจ้าไม่กลับมาให้ทันเวลา รอยประทับเหล่านั้นจะลุกไหม้และตอนนั้นเอง…”

 

 

เมื่อเขาพูดเช่นนั้น คำข่มขู่เบื้องหลังคำพูดของเขาชัดเจนมาก

 

 

โม่เทียนเกอทั้งรู้สึกตกใจและโกรธแค้น “ท่าน–!” นางไม่ใช่คนที่ชอบกลับคำ ถ้านักเดินทางจื่อเวยให้สมบัติแก่นางแล้วจากนั้นก็ฝากฝังเรื่องบางอย่างให้นางทำ นางก็คงจะทำตามสัญญาให้สำเร็จอยู่แล้ว แต่การใช้เล่ห์กลเช่นนี้กับนางทำให้นางรู้สึกโมโห!

 

 

“ศิษย์น้อง” มีร่องรอยของรอยยิ้มในเสียงเขา “ไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ อย่าลืมล่ะ… ตอนนี้ชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้าแล้ว”

 

 

เมื่อถูกเตือนครั้งนี้ สุดท้ายโม่เทียนเกอก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ ถึงอย่างนั้นนางก็ห้ามตัวเองจากการเยาะเย้ยไม่ได้ “ศิษย์พี่ ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง เพราะฉะนั้นท่านทิ้งรอยประทับไว้กับข้าแล้วจะทำไมเช่นนั้นรึ เมื่อข้ากลับไปที่โรงเรียน ข้าก็แค่ต้องขอให้ผู้อาวุโสในโรงเรียนของข้าช่วยลบล้างรอยนี้ไป!”

 

 

“ฮ่าๆ ลบล้าง” เสียงของนักเดินทางจื่อเวยเต็มเปี่ยมไปด้วยความโอหัง “ในโรงเรียนของเจ้าคงไม่มีเทพผู้ฝึกตนใช่ไหมล่ะ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายก็ไม่สามารถคิดหาทางแก้วิชาพิเศษที่ข้าใช้ได้” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เขายังคงพูดต่อด้วยความสงสัย “สาวน้อย ปกติแล้วเจ้ามักจะพูดจาขวานผ่าซากอย่างนี้หรือ เจ้าไม่กลัวรึว่าข้าจะฆ่าเจ้า สุดท้ายแล้วพวกเจ้าก็มีกันสองคน เจ้าไม่ใช่ตัวเลือกเดียวของข้า”

 

 

“อย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอพูดอย่างเย็นชา “ศิษย์พี่ต้องรออยู่หลายพันปีก่อนที่เราสองคนจะมาถึง ศิษย์พี่ ท่านไม่กลัวหรือว่าตัวเลือกอื่นของท่านจะทำภารกิจที่ท่านมอบหมายให้ไม่สำเร็จ”

 

 

นักเดินทางจื่อเวยไม่ตอบ หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่งเท่านั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างเหน็บแนม “เจ้าเป็นแค่สาวน้อยในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน เจ้าปากจัดขนาดนี้ได้อย่างไรกัน เอ้~ ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะกลัวข้าหรือไม่ แต่เจ้าควรจะดีใจ… ข้าฝึกจิตและฝึกนิสัยอยู่ที่นี่มาตลอดสองสามพันปีหลังในช่วงชีวิตของข้า เพราะฉะนั้นข้าเลยหมดไฟกับอารมณ์โกรธไปหมดแล้ว มิเช่นนั้นละก็…”

 

 

จากนั้นเขาพึมพำกับตัวเอง “แต่ที่จริงแล้วเจ้าก็เหมือนกับนางมาก…”

 

 

นาง หรือว่าบางทีเขาอาจจะหมายถึง “จื่อหลาน” ผู้นั้น

 

 

นักเดินทางจื่อเวยพูดต่อ “พอเท่านี้ล่ะ ข้าจะไม่พูดจาไร้สาระกับเจ้าทั้งสองคนอีก ข้าไม่ใช่คนเจ้ากี้เจ้าการ ตราบใดที่เจ้าจัดการกับเรื่องที่ข้ามอบหมายได้ภายในร้อยปีและกลับมาที่นี่ ข้าก็จะมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้เจ้า ทั้งหมดจะถูกมอบให้กับคนที่ทำสำเร็จก่อนเป็นคนแรก อย่างไรก็ตาม เจ้าทั้งคู่ไม่ควรสู้กันเองแค่เพื่อจะแย่งสมบัติ รอยประทับที่ข้าทิ้งไว้ในทะเลแห่งความรู้ของเจ้าจะบอกข้าถ้ามีการสู้กันเกิดขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะไม่ให้อะไรกับใครทั้งนั้น!”

 

 

ทรัพย์สินของเขาทั้งหมด เมื่อนักพรตฟางเจิ้งได้ยินเช่นนั้น เขารีบถามทันที “ศิษย์พี่ ข้าขออนุญาตถาม ท่านต้องการให้เราทำอะไร”

 

 

“ข้าต้องการให้เจ้าทั้งสองคนตามหาโครงกระดูกของใครคนหนึ่งและนำมันมาให้ข้า ให้เราได้ถูกฝังอยู่ด้วยกัน”

 

 

“คือ ‘จื่อหลาน’ ที่ศิษย์พี่เอ่ยถึงซ้ำๆ หรือเปล่า” โม่เทียนเกอพูดโพล่งออกมา

 

 

“ถูกต้อง” น้ำเสียงของนักเดินทางจื่อเวยยังคงแผ่ว แต่โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเสียงของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเศร้าไม่รู้จบ “ข้ารู้มานานแล้วว่าข้าจะไม่ได้เจอนางอีก มันเพียงพอสำหรับข้าแล้วตราบใดที่เราได้ถูกฝังอยู่ด้วยกัน…”

 

 

ไม่สามารถยั้งไว้ได้ โม่เทียนเกอถามด้วยเสียงต่ำ “นาง… นางเป็นใครเจ้าคะ”

 

 

คำถามของนางทำให้นักเดินทางจื่อเวยเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากผ่านไปนานเสียจนโม่เทียนเกอคิดว่าเขาจะไม่ตอบ สุดท้ายนางก็ได้ยินเสียงเขาอีกครั้ง “นางเป็นภรรยาข้า”

 

 

โม่เทียนเกอประหลาดใจ “ในเมื่อนางเป็นภรรยาของศิษย์พี่ ทำไม…”

 

 

“เจ้าศิษย์น้องคนนี้นี่! ทำไมเจ้ามีคำถามมากมายนัก” นักเดินทางจื่อเวยส่งเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าต้องแยกกับภรรยาข้าและไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้านำกระดูกของนางกลับมา แต่เจ้าต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้จนถึงเบื้องลึกเลยหรือไง”

 

 

ทั้งที่พูดเช่นนั้นแต่เขาถอนหายใจแผ่วเบาจากนั้นจึงพูดช้าๆ ว่า “แซ่ของภรรยาข้าคือเสี่ยวและชื่อของนางคือจื่อหลาน นางเป็นผู้ฝึกตนจากโรงเรียนเสวียนจี เจ้ารู้จักโรงเรียนเสวียนจีไหม”

 

 

นักพรตฟางเจิ้งกระซิบบอก “โรงเรียนเสวียนจี… เป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งโดยศิษย์ดั้งเดิมของโรงเรียนเทียนเหลียงหลังจากที่โรงเรียนเทียนเหลียงถูกทำลายลงเมื่อหลายพันปีก่อน อย่างไรก็ตาม โรงเรียนเสวียนจีไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว มันถูกแบ่งแยกเป็นโรงเรียนกุ้ยกู่ สำนักฉีเฉี่ยว และกลุ่มการฝึกตนอีกหลายกลุ่ม…”

 

 

นักเดินทางจื่อเวยต้องใช้เวลาระยะหนึ่งก่อนที่เขาจะตอบสนอง “โดยไม่คาดคิดโรงเรียนเสวียนจีก็…”

 

 

“ใช่ขอรับ ตามความรู้ของศิษย์น้อง มันเกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งภายใน แต่มันก็ผ่านมาหลายพันปีแล้ว ศิษย์น้องเป็นเพียงผู้ฝึกตนเดี่ยวดังนั้นศิษย์น้องจึงไม่รู้เรื่องราวภายใน”

 

 

“… โชคชะตา พวกเขาไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาของการเป็นกลุ่มที่ถูกทำลายล้างได้” นักเดินทางจื่อเวยถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “แล้วตอนนี้สำนักกู่เจี้ยนเป็นอย่างไรบ้าง ยังอยู่ดีแน่นอนใช่ไหม”

 

 

“ตอนนี้สำนักกู่เจี้ยนเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสามในขั้วท้องฟ้า พลังของพวกเขาน่าเกรงขามและศิษย์ของพวกเขาก็มีจำนวนมาก”

 

 

“นั่นก็… ดี” เมื่อพวกเขาพูดกันถึงสำนักกู่เจี้ยน นักเดินทางจื่อเวยฟังดูเฉยเมย เหมือนกับว่าเขาไม่ได้สนใจมากนัก

 

 

หลังจากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เขาเริ่มพูดอีกครั้ง “แต่เดิมข้าเป็นนักกระบี่จากโลกมนุษย์ เมื่อข้าอายุได้ยี่สิบปี ท่านอาจารย์ของข้าพบว่าข้ามีรากวิญญาณ ข้าจึงมาที่สำนักกู่เจี้ยน ในภายหลังข้ากลายเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่และมักจะฝึกฝนอย่างเต็มที่เสมอ เมื่ออายุได้ร้อยปี ข้าก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและเมื่ออายุสามร้อยปี ข้าก็เข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ ข้าไม่กล้าพูดว่าข้าเป็นอัจฉริยะ แต่แน่นอนว่าข้าเป็นคนที่หาได้ยากท่ามกลางผู้ฝึกตนสายกระบี่”

 

 

“เพราะเดิมข้ามาจากโลกแห่งการต่อสู้ ข้าจึงมักจะตอบแทนบุญคุณที่ข้าได้รับมาและแก้แค้นคนที่ทำผิดต่อข้า ข้าอารมณ์รุนแรงเสมอและสำนักกู่เจี้ยนของข้าก็เป็นพวกชอบต่อสู้ ตอนที่ข้าเพิ่งเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ศิษย์พี่น้องร่วมสำนักและตัวข้าได้ทำลายโรงเรียนเทียนเหลียงเพราะพวกมันทำให้ศิษย์พี่ของข้าโกรธเคือง”

 

 

“…” โม่เทียนเกอค่อนข้างตกใจ สำนักกู่เจี้ยนตอนนี้เดินตามเส้นทางฝ่ายธรรม พวกเขามักจะคอยดูแลศิษย์ให้อยู่ในขอบเขต กลับกลายเป็นว่าสมัยก่อนนั้นพวกเขาก็…

 

 

“ในตอนนั้นข้าไม่สนใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าหลังจากร้อยปี ข้าจะบังเอิญพบกับเด็กสาวในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน…” พอถึงตรงนี้น้ำเสียงของนักเดินทางจื่อเวยก็เปลี่ยนไปในที่สุด “เด็กคนนั้นคือภรรยาของข้า จื่อหลาน นางเป็นศิษย์แห่งโรงเรียนเสวียนจี ข้ารู้เช่นนั้นแต่ข้าก็ไม่สนใจ ข้าเคยเข้าร่วมในเรื่องเก่าๆ แล้วจะทำไม ด้วยพละกำลังและตัวตนที่ข้ามีในตอนนั้น กลุ่มการฝึกตนเล็กๆ อย่างโรงเรียนเสวียนจีจะกล้าปฏิเสธข้าเชียวหรือหากข้าต้องการจะแต่งงานกับนาง”

 

 

“อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ยินดีที่จะให้จื่อหลานต้องรู้เรื่องนั้นเพราะข้าไม่อยากให้นางคิดว่าข้าใช้อำนาจเพื่อกดดันคนอื่นๆ จื่อหลานรู้แค่ว่าสมัยนั้นศิษย์สำนักกู่เจี้ยนของข้าทำลายล้างโรงเรียนเทียนเหลียง แต่นางไม่รู้เลยว่าข้าเองก็มีส่วนร่วมด้วย ถึงแม้ว่านางจะเกลียดสำนักกู่เจี้ยน แต่นางก็ยังแต่งงานกับข้า พวกเราสามีภรรยาแต่งงานกันอย่างมีความสุขอยู่สองร้อยปีซึ่งในระหว่างนั้นข้าก็สร้างจิตวิญญาณใหม่ได้อย่างราบรื่น และจื่อหลานก็ก่อขุมพลังของนางได้เช่นกัน ต้นทุนของนางยอดเยี่ยมและนางก็ได้รับความช่วยเหลือจากข้า ดังนั้นการสร้างจิตวิญญาณใหม่จึงน่าจะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าคิดว่าเราจะครองรักกันอย่างมีความสุขเช่นนั้นและอยู่ด้วยกันไปตลอดในอีกหลายปีข้างหน้า…”

 

 

สองร้อยปี… ณ ตอนนั้น นักเดินทางจื่อเวยก็น่าจะอายุสี่ร้อยปีแล้วใช่ไหม นั่นคือช่วงที่เขาต่อต้านสำนักของเขาและใช้ชีวิตปลีกวิเวกที่นี่ใช่ไหม

 

 

“ตอนนั้นจื่อหลานได้ยินจากศิษย์พี่ของข้าเกี่ยวกับเรื่องที่ข้าเข้าร่วมในการทำลายโรงเรียนเทียนเหลียง นางกลับมาเพื่อถามข้าแล้วจากนั้นก็ตัดความสัมพันธ์กับข้า ตอนนั้นล่ะที่ในที่สุดข้าก็ได้รู้ว่าจื่อหลานไม่ใช่แค่ศิษย์โรงเรียนเสวียนจี ตระกูลของนางครั้งหนึ่งเคยเป็นตระกูลใหญ่ในโรงเรียนเทียนเหลียง… หรือพูดอีกอย่างก็คือ ผู้อาวุโสและครอบครัวของนางอาจจะตายไปด้วยน้ำมือของข้า”

 

 

นักเดินทางจื่อเวยทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทื่อๆ และน้ำเสียงของเขาไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิง “เราเป็นสามีภรรยากันมาสองร้อยปี ข้าจะไม่รู้นิสัยของนางได้อย่างไร ถึงแม้ว่าโดยปกตินางจะใจดีและอ่อนโยน แต่นางก็หัวรั้นอย่างมาก ถ้านางตัดสินใจว่าจะทำอะไร นางก็จะไม่กลับคำอย่างแน่นอน ในเมื่อนางตัดความสัมพันธ์กับข้า นั่นก็หมายความว่านางจะไม่เจอข้าอีก”

 

 

“… แต่ข้ายังหวังลมๆ แล้งๆ ว่านางจะกลับมา ดังนั้นข้าจึงต่อต้านสำนักของข้าและมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ข้าส่งจดหมายไปหานาง บอกนางว่าถ้าวันหนึ่งนางยกโทษให้ข้า นางสามารถมาตามหาข้าได้ที่นี่ ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเรื่องเก่า ข้าก็จะเต็มตื้นไปด้วยความเสียดายแต่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นข้าจึงยอมทิ้งทุกอย่าง ทิ้งตัวตนของข้าและอะไรก็ตามที่ข้ามีในอดีตเอาไว้เบื้องหลัง” เมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้ ในที่สุดนักเดินทางจื่อเวยก็แสดงอารมณ์ออกมาบ้าง เขาถอนใจและพูดว่า “แน่นอนว่าข้ารอคอยมามากกว่าพันปีแต่นางก็ไม่เคยมา ในภายหลังข้าได้ยินว่านางสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนางได้และกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งโรงเรียนเสวียนจี แต่นางก็ไม่เคยมาพบข้า…”

 

 

แสดงว่านั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น เสี่ยวจื่อหลานผู้นั้นเป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนจี… ไม่น่าแปลกใจที่มีร่องรอยของโรงเรียนเทียนเหลียงอยู่ทั่วหุบเขานี้ ในเมื่อพวกเขาเป็นคู่แต่งงานกันอยู่ตั้งสองร้อยปี สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นสิ่งที่นางถ่ายทอดให้นักเดินทางจื่อเวย จริงไหม

 

 

“ศิษย์น้อง ไปที่สำนักใหญ่ที่เก่าของโรงเรียนเสวียนจี ตามหากระดูกของจื่อหลานและฝังนางไว้กับข้า จากนั้นข้าจะให้เจ้าทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าเก็บสะสมมาตลอดชีวิต”