ในขณะที่ป๋อจิ่วถูกคนข้างหลังกระชากมากอดไว้ในอ้อมแขน

ชายหนุ่มเองก็มอง ‘แฟนคลับ’ ที่เธอเพิ่งกอดคนนั้นให้ชัดตา

เขาตะลึงงันอยู่ตรงนั้นในวินาทีถัดมา หยุดคำพูดถัดจากนั้นได้อย่างไม่ง่ายเลย

ป๋อจิ่วรู้ดีว่าเขาคิดอะไร ครั้งนี้เธอพูดอย่างกล้าหาญ “พี่มั่วมาขัดจังหวะคุยของฉันกับแฟนคลับทำไม”

หากเป็นเวลาปกติ ฉินมั่วคงใช้ร่างกายเตือนให้เธอรู้ว่าเธอเป็นของใครแล้ว

คุยกันก็ต้องกอดด้วยเหรอ?

ทว่าครั้งนี้ฉินมั่วไม่ได้พูดออกไป เพราะเขาจำหน้าเธอคนนั้นได้

ตอนนั้น ทุกครั้งที่เขาไปเล่นบ้านยัยเสือน้อย มาดามป๋อจะก้มตัวลงมาพลางยิ้มให้เขา ‘มั่วมั่ว บางครั้งจิ่วของเราก็ซนมาก หนูดูๆ เขาหน่อยนะ ถ้าเขาก่อเรื่องขึ้นมาจนรบกวนหนู หนูก็มาบอกน้าเลยนะ’

ตอนนั้นเขาแค่ตอบรับเธอไป

ไม่ได้รู้สึกว่ายัยเสือน้อยรบกวนเขา

แค่ชอบทำตัวไม่เรียบร้อยเท่านั้นเอง เอาแต่กระโจนใส่คนอื่นอยู่ได้

ทว่ามาดามป๋อไม่น่าจะสอนเธอให้ทำแบบนี้

ดังนั้นฉินมั่วจึงไม่ได้เล่าให้ฟัง

บ้านตระกูลป๋อมักดื่มชาแดงในตอนกลางคืน

เพราะมาดามป๋อที่เปิดบริษัทส่วนตัวจะกลับบ้านในเวลานี้เท่านั้น

เมื่อได้เห็นใบหน้าของมาดามป๋อที่ยังเหมือนกับภาพในความทรงจำ ฉินมั่วก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา

เพียงแต่เวลาผ่านมาตั้งหลายปี คนเราจะไม่เปลี่ยนเลยสักนิดเลยเหรอ?

ไม่ใช่แค่หน้าตา กระทั่งสภาพผิวพรรณก็ยังคงเดิม…

ด้วยเหตุที่ถูกฉินมั่วจับจ้อง โหลวลั่วจึงช้อนสายตามอง ก่อนจะมาที่นี่ ผู้ช่วยได้ส่งรูปที่เด็กคนนี้ถ่ายร่วมกับคนอื่นให้เธอดูหลายรูป ทั้งยังเอ่ยด้วยเสียงตื่นเต้นว่า ‘ประธานโหลวคะ คนออร่าแรงที่สุดที่ยืนข้างแบล็กพีชเป็นหัวหน้าทีมชาติจีน เทพฉินค่ะ แล้วก็เป็นแฟนของน้องด้วย’

วันนั้นโหลวลั่วจึงเพิ่งรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้หญิง

ผู้ช่วยยังเน้นย้ำอีกว่า ‘ประธานโหลวคะ ถ้าคุณไปเจอแบล็กพีชในเวลาที่มีเทพฉินอยู่ด้วย คุณห้ามแตะต้องตัวน้องเค้าเชียวนะคะ จริงๆ นะ สายตาเทพฉินนี่อย่างกับน้ำแข็งเลย’

โหลวลั่วกลับไม่รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกอะไรทั้งนั้น

บางทีเธอคงถึงวัยนั้นแล้ว การรับรู้จึงไม่ดีเหมือนเก่า

หากเหล่าแฟนคลับที่อยู่ข้างหลังรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ต้องตะโกนบอกว่าไม่ใช่หรอกแน่นอน!

พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า วันหนึ่งเทพฉินจะเห็นแบล็กพีชกอดคนอื่น แต่ไม่ลงโทษเจ้าหล่อน

มันช่าง…ไม่สมกับที่เป็นเทพฉิน!

จ้าวซานพั่งเองยังคิดว่าวันนี้ฉินเจ้าแผนการอ่อนแอไปหน่อย

อะไรกัน? แค่นี้?

ปกติแค่เขาพาดแขนที่บ่าเจ้าแบล็ก ฉินมั่วก็แทบไล่ฆ่าเขาทั่วเกมแล้ว

ทำไมพอแฟนคลับทำบ้าง เจ้านั่นกลับสองมาตรฐาน

เหล่าแฟนคลับยิ่งอยากเป็นพยานให้ได้แบบไม่สองมาตรฐาน!

แค่พวกเขาแตะต้องแบล็กพีช เทพฉินก็แผ่ไอเย็นเยือกออกมาแล้ว

วันนี้จริงๆ เลย…ตอนเริ่มพูดก็ปกติ แต่พอพูดต่อก็ไม่ปกติแล้ว!

สิ่งที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ ฉินมั่วปล่อยคอเสื้อของแบล็กพีช เท่ากับอนุญาตให้เจ้าหล่อนกอดแฟนคลับต่อไปนี่?

จ้าวซานพั่งที่อยู่ด้านข้างอึ้งตะลึงไปแล้ว

เขารู้สึกว่าไม่เพียงแต่แบล็กพีชที่โดนผีสิง กระทั่งฉินเจ้าแผนการยังเหมือนเปลี่ยนวิญญาณ

เล่นอะไรกัน แบบนี้ยังจะแข่งได้อีกไหม?

ฉินมั่วไม่เหมือนกับเวลาปกติจริงๆ เขาอนุญาตให้เจ้าแบล็กกอดคนอื่นต่อตั้งแต่เมื่อไร?

ขนาดช็อกโกแล็ตรูปคีย์บอร์ดที่แฟนคลับส่งมาให้ คนที่ไม่ชอบของหวานอย่างเขายังกินแทนแบล็กพีชเลย

เวลานี้เขากลับเปี่ยมไปด้วยมารยาทยิ่งกว่าตอนอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสในเขตทหาร มองไปทางเธอคนนั้น “คุณมาคนเดียวเหรอครับ?”

จ้าวซานพั่ง “…”

……………………………………………

คนฉลาดอย่างโหลวลั่วเงยหน้ามองดูเด็กวัยรุ่นตรงหน้า ออร่านักธุรกิจยังจับตัวไม่เสื่อมคลาย ถึงขั้นยิ่งเจิดจรัสมากขึ้น “พวกเรารู้จักกันด้วยเหรอคะ?”

ทันทีที่ได้ยิน ฉินมั่วมองคนในอ้อมแขน ป๋อจิ่วก็แสดงสีหน้าว่าเธองง

ฉินมั่วยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เป็นปกติแล้ว “ผมเคยเห็นคุณบนนิตยสารธุรกิจครับ”

“เหรอ?” คนที่ตอบคือป๋ออิ่น

เขาเดินออกมาจากกลุ่มผู้คนแล้วสาวเท้าเข้าไปอยู่ข้างตัวโหลวลั่ว มือที่กางร่มอยู่เอียงไปด้านข้าง

นัยน์ตาดอกท้อที่ดูเรียบเฉยกลับไม่เห็นใครสำคัญในสายตา

ใบหน้าไร้สีเลือดหล่อเหลาจนดูเหมือนไม่มีอยู่จริง

ฉินมั่วมองดูผู้ชายตรงหน้าที่เขาเคยต้องเงยหน้าสูงมากเพื่อจะได้เห็นใบหน้าชัดเจน นิ้วเรียวยาวชะงักไปนิด แล้วหันไปมองป๋อจิ่วอีกครั้ง

ครั้งนี้ป๋อจิ่วหัวเราะ ดูว่าง่ายน่ารักอย่างที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็น “หม่ามี้ คนนี้ใครเหรอ?”

แม่เจ้า เรียกหม่ามี้อีกแล้ว!

จ้าวซานพั่งรู้สึกว่าตัวเองจ้องสงบจิตสงบใจสักหน่อย!

ป๋ออิ่นเลิกตาเล็กน้อยมองมายังลูกสาว

ฝ่ายลูกสาวก็มองเมินความน่าเกรงขามของคนเป็นพ่อ เอาแต่มองคนเป็นแม่อย่างออดอ้อนต่อ

โหลวลั่วมองดวงตาของเด็กคนนี้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงใจอ่อนขึ้นมาง่ายๆ

ลูกใครกันนะ ทำไมน่ารักอย่างนี้

เธอยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ “เป็นแฟนฉันเองน่ะ”

“แฟนเหรอ?” ป๋อจิ่วทวนคำ ยิ้มที่มุมปากชัดยิ่งขึ้น “ที่แท้ก็ยังไม่อยู่หมัดนี่เอง”

โหลวลั่วไม่เข้าใจ “อะไรนะคะ?”

“เปล่า” ป๋อจิ่วทำท่าซึม “แค่กลัวว่าเดี๋ยวพาหม่ามี้ไปกินข้าว แฟนหม่ามี้จะมีปัญหาหรือเปล่า”

ป๋ออิ่นได้ยินแล้ว สองตาหรี่ลงทีละน้อย

โหลวลั่วยั้งใจไว้ไม่ลูบหัวเด็กคนนี้ “ไม่หรอกค่ะ”

“งั้นก็ดี” เมื่อป๋อจิ่วเงยหน้าอีกครั้ง สีหน้าไม่เศร้าซึมอีกต่อไป “ตอนนี้ก็ใกล้จะเซ็นเสร็จแล้ว หม่ามี้รอหนูแป๊บหนึ่งนะ”

โหลวลั่วรับคำ “ได้ค่ะ”

หลังจากคำนี้ ร่มคันสีดำก็เหมือนมีบางอย่างสั่นไหว

ฉินมั่วมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้านช้าง ไม่คิดจะเอ่ยปากพูดอะไร

ทว่าป๋ออิ่นที่กำร่มอยู่หันไปมองชายหนุ่มทันที เสียงพูดไม่เดือดเนื้อร้อนใจพอจะให้คนสองคนได้ยินเท่านั้น “ได้ยินว่าคุณชายบ้านฉินขี้หึง ตอนนี้คงไม่จริง ไว้ใจให้เขาเชิญแฟนคลับไปกินข้าวได้ตามสบายเชียวนะ”

ความเย็นชาจากตัวฉินมั่วไม่ได้ถูกกลบ เพียงแต่เขาแสดงความอ่อนน้อมอย่างที่ควรกระทำต่อผู้ใหญ่ “คุณอาป๋อพูดตลกแล้ว”

ป๋ออิ่นมองมาอย่างเนิบๆ เจ้าเด็กบ้านฉินยังเหมือนตอนเป็นเด็กเลย ไม่ว่าเห็นอะไรก็สุขุมไปหมด

“ถ้าตอนนี้นายไม่ห้ามเขาอีก เขาก็จะเอาแต่เกาะคนอื่น”

ตอนแรกฉินมั่วไม่เชื่อคำนี้ แต่พอเริ่มกินข้าว ก็เห็นว่าเจ้าหล่อนไม่ยอมอยู่ห่างจากคุณน้าโหลวเลย ดูอ้อนยิ่งกว่าตอนเป็นเด็กอีก

เขาจึงเคาะข้อมือเตือนเธอ “อย่าอ้อนมาก เธอเป็นแบบนี้จะทำให้คนอื่นตกใจหมด”

ป๋อจิ่วยิ้ม “ไม่หรอก หม่ามี้ฉันชอบเด็กดีขี้อ้อน”

ต้องบอกเลยว่าป๋อจิ่วเล่นบทไอ้หนุ่มหน้าอ่อนได้เก่งชนิดสืบทอดทางพันธุกรรม อ้อนได้ดูดีมีระดับ

ด้วยพรุ่งนี้จะแข่งกันแล้ว จ้าวซานพั่งที่นั่งด้านข้างไม่กล้าดื่มเหล้า ได้แต่กรอกน้ำเข้าปาก เตือนตัวเองว่าเจ้าแบล็กที่ดูเป็นเด็กดีเหลือเกินในเวลานี้ ต้องไม่ใช่เจ้าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าหล่อนที่พอได้ถือดาบก็คว้าเฟิร์สคิลได้ทันทีแน่นอน

ปกติแล้วเธอไม่ได้ว่าง่ายนัก กระทั่งเวลาอยู่ต่อหน้าฉินเจ้าแผนการ ยังหลุดความเจ้าเล่ห์ออกมาเป็นระยะๆ

แต่ทำไมกลับไร้เขี้ยวเล็บเมื่ออยู่ตรงหน้าประธานหญิงคนนี้?

……………………………………….