“อ้อ…”
สายตาของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เริ่มกลอกซ้ายขวาไปมา แสดงท่าทางของคนร้อนตัว
มือของจิวมั่วเหอเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ เตือนผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ว่า “ท่านพูดมาเถอะ คนนิสัยใจร้อนอย่างข้า ท่านก็รู้ว่าไม่ชอบให้คนอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่อย่างนั้น…”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้ จิวมั่วเหอเป็นพวกใจร้อน มีเรื่องอะไรพูดออกมาตรงๆ บางทีเขาอาจจะโมโหบ้าง แต่ว่าการอึกอักไม่ยอมพูดจานั้นท้าทายความอดทนของเขากว่ามาก พอพูดออกมาเขาก็พร้อมจะระเบิดทันที
ดังนั้น ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ตัดสินใจเอ่ยทันที “ทั้งหมด”
อากาศพลันหยุดนิ่งแล้ว บรรยากาศกดดัน
จิวมั่วเหอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เอ่ยว่า “อาจารย์ ข้าถามอะไรท่านได้ไหม นางวางยาอะไรหรือ ท่านถึงได้เห็นสตรีดีกว่าบุรุษเช่นนี้”
เวลานี้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองจิวมั่วเหอด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม “ข้าเห็นสตรีดีกว่าบุรุษตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
จิวมั่วเหอถอนหายใจ กวาดสายตามองเขา “อย่างนั้นไม่สู้ท่านบอกมาหน่อย หลายปีที่ผ่านมาท่านเคยเอาใจใส่ศิษย์คนไหนบ้าง กลับกันไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของข้าก็ดี ศิษย์น้องสามก็ช่าง แม้กระทั่งตัวข้าล้วนไม่เคยได้รับการดูแลจากท่านเช่นนี้เลยมิใช่หรือ”
“นั่น นั่น…อย่างมากภายหน้าข้าค่อยหาทางชดเชยให้พวกเจ้าก็ได้แล้ว” สายตาของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กวาดซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้ตัว เขาร้อนตัว…
ทั้งไม่อาจมิยอมรับ ตัวเองไม่เคยเอาใจใส่ศิษย์คนอื่นๆ เช่นนี้มาก่อน
เมื่อเอ่ยจบ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองจิวมั่วเหอทีหนึ่ง เลิกคิ้วถามว่า “ขายเจ้าได้หรือไม่ เจ้าก็พูดมาเถอะ กลัวอะไร เจ้าก็คิดเสียว่าศิษย์น้องเล็กอยากทำความเข้าใจศิษย์พี่รอง อีกอย่างนางแค่อยากได้ข้อมูลส่วนตัวของเจ้า หาใช่เรื่องการทหารของต้ามั่ว”
จิวมั่วเหอถอนใจยาว มองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ เขายืดบ่าตรง “ก็ได้ ท่านอยากบอกนางก็บอกเถอะ อย่างไรต่อให้ข้าไม่ยอม ท่านก็ยังจะบอก วันนี้ที่ท่านมาก็เพียงแค่บอกข้าเท่านั้น กันไม่ให้ข้าถูกท่านขายแล้วยังไม่รู้ตัว”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบกระแอมไอแก้ความกระอักกระอ่วน “ฮี่ๆ เจ้าดูออกซะแล้ว”
คราวนี้กลายเป็นจิวมั่วเหอที่ไม่ยินยอมเสียแล้ว
เขามองอาจารย์ของตนเอ่ยว่า “ข้าอยากรู้จริงๆว่า เยี่ยเม่ยผู้นั้นมีมนต์อะไร ทำให้เซียวชินประเมินนางสูงขนาดนั้นก็ช่างเถอะ ท่านเองก็ใส่ใจนางขนาดนี้ด้วย”
เขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ผู้นี้มาสิบกว่าปี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขอร้องให้อาจารย์ช่วยอะไรได้สำเร็จเลยสักครั้ง แต่แน่นอนว่า เขาจิวมั่วเหอมีเรื่องก็จัดการเองได้ ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ
ทว่าความลำเอียงของอาจารย์ ก็ชัดเจนเกินไปแล้ว
คราวนี้สีหน้าผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กลับขรึมลง มองจิวมั่วเหอเอ่ยว่า “ข้าบอกเจ้าได้แค่ประโยคเดียว นางเป็นคนที่มีชะตาเกี่ยวพันกับฟ้า”
ดูท่าทางจริงจังขึ้นมาอย่างกะทันหันของ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่แล้ว เมื่อเอ่ยถึงปัญหา จิวมั่วเหอที่มีสีหน้าไม่อินังขังขอบมาตลอดก็เปลี่ยนไป
เขาย่อมรู้ที่มาของอาจารย์ตน
เขาปรายตามองผู้เป็นอาจารย์ หยอกล้อประโยคหนึ่งเหมือนเคย “นางเกี่ยวพันกับชะตาฟ้า หรือว่าได้ตัวนางจะได้แผ่นดิน”
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่า สุดท้ายจะไม่ใช่นางที่ได้ครอบครองใต้หล้า” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ย้อนถาม
จิวมั่วเหอชะงักงัน
เสี้ยวนาทีถัดมา ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันหัวเราะมองจิวมั่วเหอ “ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ฮ่าๆๆๆ…”
จิวมั่วเหอเห็นเขาเอ่ยเช่นนี้ก็คลายใจ
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ลุกขึ้น พยักหน้าให้จิวมั่วเหอ เอ่ย “เอาล่ะ สิ่งที่สมควรพูดข้าก็พูดไปแล้ว ข้ายังมีเรื่อง ขอตัวก่อน”
พูดจบ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็รีบร้อนออกจากกระโจมของจิวมั่วเหอ
หลังจากเขาเดินออกไป ก็ใช้มือปาดเหงื่อบนหน้าผากออก บ่นอุบว่า “เกือบหลุดปากออกไป ยังดีที่ข้ามีไหวพริบ เผยความลับสวรรค์จะถูกลงโทษ ปากพล่อยๆ ของข้านี่มัน…”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พูดไป ยังเอามือบีบหน้าตัวเองไปด้วย
ในกระโจม
หลังจากผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ออกไป จิวมั่วเหอนั่งพิงกำแพง สองมือประสานไว้ด้านหลังหัว ยกขาขึ้นสูง ท่าทางนี้ช่างไม่เข้ากับชุดนักบวชที่เขาสวมใส่เลย
ส่วนดวงตาสีฟ้าชวนหลงใหลของเขาปรากฎแววสนุกสนาน “ศิษย์น้องเล็กเอ๋ย คนมากมายต่างเห็นเจ้าสำคัญ ศิษย์พี่อย่างข้า สนใจเจ้าขึ้นทุกทีแล้ว”
……
ในค่ายทหารของเป่ยเฉิน
เยี่ยเม่ยนั่งตำแหน่งประธาน แม่ทัพทั้งหลายนั่งลง แต่ละคนสีหน้าแตกตื่น เพราะพวกเขารู้ว่า เซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วได้รับคำสั่งของเยี่ยเม่ยให้ทำภารกิจแล้ว
เมื่อคิดถึงชัยชนะของศึกครั้งก่อน คนทั้งหมดก็ยินดีปรีดา คล้ายกับว่าชัยชนะของศึกต่อไปปรากฎอยู่เบื้องหน้าแล้ว
มีคนผู้หนึ่งทนความสงสัยในใจไม่ไหว ส่งสายตามองเยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าตามพวกเรามา เพื่อทำอะไรกัน”
คำพูดนี้ช่วยถามแทนใจของคนทั้งหมด
ความจริงพวกเขาเองก็แปลกใจ เพราะเซียวเยว่ชิงกับหลูเซียงฮั่วได้รับภารกิจลับ มีแต่พวกเขาแม่ทัพไม่กี่คนที่รู้เรื่อง ผู้ใต้บัญชาทั้งหลายไม่มีใครรู้
ดังนั้นเมื่อเยี่ยเม่ยส่งให้สองคนนั้นไปทำงานแล้ว ไฉนยังต้องเรียกตัวพวกเขามาอีกด้วยเล่า
เยี่ยเม่ยกวาดสายตามองคนทั้งหมด พ่นคำพูดออกมาอย่างมีความนัย “ทะเลาะกัน”
“เอ๋”
คนทั้งหมดตะลึงงัน มองเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อ
เห็นทุกคนสีหน้าตื่นตะลึงมองนาง เยี่ยเม่ยทวนคำพูดอีกครั้ง เรียกทุกคนมารวมกันเพราะเรื่องเดียว “ทะเลาะกัน”
แม่ทัพผู้หนึ่งลุกขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงง เอ่ยปากถามว่า “ไม่ทราบว่าคำพูดนี้ของแม่นางเยี่ยเม่ยหมายความว่าอย่างไร พวกเราในที่นี้ต่างก็ยินยอมฟังคำสั่งของแม่นาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนต้องทะเลาะกันด้วย”
“ถูกแล้ว ชัยชนะครั้งก่อน ก็บ่งบอกความสามารถของแม่นางมากพอแล้ว ดังนั้นพวกเราทั้งหมดล้วนเชื่อแม่นาง ของเพียงแม่นางสั่งมา พวกเราต่างเชื่อฟัง ไฉนยังต้องทะเลาะกันด้วย” แม่ทัพอีกคนหนึ่งลุกขึ้นเอ่ยบ้าง
ตอนแรกๆ ที่พวกเขารู้ว่าเยี่ยเม่ยได้รับตราพยัคฆ์ ต่างไม่เชื่อนาง แต่เวลานี้ ชัยชนะครั้งก่อนทำให้พวกเขาต่างเฝ้ารอกลยุทธ์ของเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของพวกเขา ก็พอใจมาก นางพยักหน้า เอ่ยว่า “ทุกท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ความหมายของข้าคือ พวกเราทะเลาะกัน เป็นการเล่นละครให้คนของต้ามั่วชม ต้องให้สายของต้ามั่วรับรู้ว่าพวกเราทะเลาะกันอย่างรุนแรงมาก เช่นนี้ก็จะช่วยชักนำพวกเขาให้เข้าใจผิด”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” แม่ทัพผู้หนึ่งตระหนักได้ทันที
เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองคนทั้งหมดถามว่า “ดังนั้น ต้องให้ข้าบอกหรือไม่ว่าจะทะเลาะกันยังไง”
“ไม่ต้อง”
แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยจบ ก็หันหน้าไปหาแม่ทัพอีกคนเอ่ยปากว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด จะออกรบเช่นนี้ได้หรือไง”
“ข้าพูดเหลวไหลที่ไหนกัน” แม่ทัพอีกคนรีบตอบรับทันที
เยี่ยเม่ยพยักหน้าอย่างพอใจ
ในขณะนี้เอง ซือหม่าหรุ่ยเดินเข้ามาจากประตู สีหน้าตื่นเต้นยินดี “แม่นางเยี่ยเม่ย เสี่ยวจิ่วกลับมาแล้ว”