ตอนที่ 151 เจ้าไม่ปลอบข้าก็ช่างเถอะ ข้าปลอบตัวเองก็ได้

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

“หืม” เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ยที่หน้าประตู 

 

 

เหล่าแม่ทัพที่กำลังตั้งใจแสดงละครอยู่ในที่นี้ พลันชะงักไปเล็กน้อย 

 

 

เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ย ถามว่า “เจ้ามั่นใจหรือ” 

 

 

ซือหม่าหรุ่ยรีบพยักหน้า จากนั้นเอ่ยกับเยี่ยเม่ย “ข้าจะไม่มั่นใจได้หรือ คนเป็นๆ ทั้งคนยืนอยู่ที่นั่น จะไม่มั่นใจได้อย่างไร” 

 

 

เยี่ยเม่ยมองแม่ทัพทั้งหลาย ลุกขึ้น “ข้าขอตัวก่อนแล้ว พวกเจ้าแสดงกันต่อไป จำไว้ ต้องสร้างภาพปลอมๆ ให้ทุกคนเข้าใจว่า ข้าไม่สนใจคำทัดทานดึงดันจะออกรบ คนครึ่งหนึ่งสนับสนุนข้า อีกครึ่งหนึ่งไม่สนับสนุน ดังนั้นเริ่มเถียงกันได้ หลังจากข้าจากไปแล้ว ก็เพิ่มความรุนแรงจนถึงขั้นลงมือต่อยตี สรุปแล้วยิ่งแสดงยิ่งเหมือนจริงยิ่งดี” 

 

 

 “รับทราบ พวกเราเข้าใจแล้ว” แม่ทัพทั้งหลายพยักหน้า  

 

 

แม่ทัพแต่ะคนในยามนี้ล้วนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะตนเองได้รับภารกิจที่เฝ้ารอ ทั้งยังเป็นเพราะคุณชายเสี่ยวจิ่วกลับมาแล้ว นับตั้งแต่คุณชายเสี่ยวจิ่วหายตัวไป พวกเขากังวลอยู่นาน ในที่สุดก็กลับมาเสียที  หากมิใช่เพราะพวกเขาต้องทำภารกิจทะเลาะกันของแม่นางเยี่ยเม่ยให้สำเร็จ ยามนี้พวกเขาต้องติดตามไปดูอย่างแน่นอน  

 

 

แม่ทัพผู้หนึ่งทนไม่ไหว ถามซือหม่าหรุ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “คุณชายเสี่ยวจิ่วกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่บาดเจ็บใช่หรือไม่”  

 

 

พวกเขาเป็นห่วงเสี่ยวจิ่วจริงๆ หนังสือรวบรวมรายชื่อเสนอชื่อเสี่ยวจิ่วเขียนเสร็จแล้ว  

 

 

ซือหม่าหรุ่ยส่ายหน้า “เขาไม่เป็นไร ดูแล้วปลอดภัยดี” 

 

 

แม่ทัพทั้งหลายวางใจ จากนั้นก็มีแม่ทัพอีกคนเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็ดี การศึกอีกหลายวันข้างหน้า คุณชายเสี่ยวจิ่วน่าจะช่วยเหลือได้” 

 

 

เยี่ยเม่ยไม่บอกความในใจกับพวกเขา สั่งการไปว่า “ทะเลาะกันให้ดีๆ ”  

 

 

จากนั้นนางก็เดินตามซือหม่าหรุ่ยออกไป 

 

 

ครั้นออกจากกระโจม ก็เป็นเวลาที่อาทิตย์อัสดง 

 

 

เยี่ยเม่ยถามซือหม่าหรุ่ย “เรื่องที่เสี่ยวจิ่วกลับมา ยังมีใครรู้อีกบ้าง” 

 

 

 “มีข้าคนเดียวที่เห็นเขาหน้าประตูห้องเจ้า นอกจากข้าแล้วน่าจะไม่มีใครอีก” ซือหม่าหรุ่ยเอ่ย เสริมขึ้นอีกว่า “การเคลื่อนไหวของเขาค่อยข้างลึกลับ ไม่ไปมาอย่างเอิกเกริก ดังนั้นข้าเดาว่าคนอื่นน่าจะไม่รู้” 

 

 

 “อืม” เยี่ยเม่ยรับคำหนึ่ง จากนั้นถาม “ใครพาเขากลับมา” 

 

 

หรือจะเป็นอาจารย์ที่นางเพิ่งยอมรับ 

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รับปากแล้วจริงๆ ว่าจะช่วยนางตามหาคน แต่ว่าเพิ่งจะผ่านไปวันเดียว ไม่น่าไวถึงขั้นนี้ อาจารย์ของนางพึ่งพาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ  

 

 

ซือหม่าหรุ่ยส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ เห็นแต่เขานั่งคุกเข่าหน้าประตูห้องเจ้าคนเดียว อย่างอื่นก็ไม่รู้แล้ว หลังจากข้าเห็น ก็รีบมาหาเจ้าในทันทีเลย” 

 

 

เพราะว่านางรู้ว่า เยี่ยเม่ยเป็นกังวลถึงเสี่ยวจิ่วอยู่ตลอด 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า เวลานี้นางไม่ถามอีก กวาดตามองซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่ง “ลำบากเจ้าแล้ว แต่ก่อนหน้าที่เจ้าจะไปหาข้า มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” 

 

 

ไม่อย่างนั้นอยู่ๆ จะวิ่งไปที่ห้องนางทำไมกัน อย่างไรเสียตอนนี้ ซือหม่าหรุ่ยกับ ซินเยว่เยี่ยนก็รับปากช่วยนางเตรียมของสำหรับรับศึก 

 

 

ซือหม่าหรุ่ยรีบยิ้มออกมา บอกว่า “ข้าอยากบอกเจ้าว่า ของที่เจ้าต้องการ เตรียมไว้ให้เจ้าครบตามคำสั่งแล้ว ตอนนี้กำลังเตรียมจัดทำ”  

 

 

นี่คือข่าวดี ย่อมต้องบอกเยี่ยเม่ยทันที ใบหน้าที่เย็นชามาโดยตลอดของเยี่ยเม่ยพลันมีรอยยิ้ม 

 

 

ไม่เลวเลย เสี่ยวจิ่วกลับ เรื่องราวก็ทำได้ง่ายขึ้น 

 

 

ดีมาก 

 

 

   …… 

 

 

 

 

 

ห้องขององค์ชายสี่  

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนอยู่บนหลังคา สองเท้าไขว้กันอย่างสบายอารมณ์ หัวหนุนสองมือเอาไว้ อวี้เหว่ยยืนอยู่ข้างกายเขา รายงานว่า “เตี้ยนเซี่ย ในวังมีข่าวว่า ซือถูเฟิงถูกเนรเทศแล้ว เป็นความต้องการของเสินเซ่อเทียน” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเบาๆ เอ่ยว่า “เดิมทีเสด็จพ่อก็ถูกจวนเสนาบดีกับเสด็จแม่ขัดขวาง ไม่อาจสังหารเขาอยู่แล้ว ประจวบกับที่เสินเซ่อเทียนเสนอขึ้นมาพอดีใช่หรือไม่” 

 

 

อวี้เหว่ยพยักหน้า “ข้าน้อยก็คิดเช่นนั้น จากนิสัยของเสินเซ่อเทียนไม่มีทางใส่ใจความเป็นตายของคนไม่สำคัญอย่างซือถูเฟิงแน่” 

 

 

แต่ว่า อวี้เหว่ยมองใบหน้าด้านข้างของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “เตี้ยนเซี่ย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในเมื่อเสินเซ่อเทียนเอ่ยปากแล้ว อย่างนั้น ซือถูเฟิงจะจัดการอย่างไรดี” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างนั้นก็เนรเทศเขาไปเถอะ ในทางกลับกันสำหรับพวกคุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง การเนรเทศก็ไม่ได้ดีไปกว่าการตายเท่าไหร่นัก ระหว่างทางเจ้าส่งนักฆ่าไปสักหลายคนหน่อย ส่วนที่ว่าเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ก็อยู่ที่โชคชะตาของเขาแล้ว”  

 

 

 “ขอรับ” อวี้เหว่ยพยักหน้า กล่าวต่อไปว่า “ยังมีอีก เตี้ยนเซี่ย แม่ทัพหลี่รับคำสั่งให้ไปสังหารซือถูเฉียง ถึงกับเข้าวังไปฟ้องฝ่าบาท สุดท้ายฝ่าบาทไม่สนใจเขา ให้เขากลับมาหาท่านที่ชายแดน ด้วยเหตุนี้เขาตกใจหวาดกลัวเสียเป็นบ้าไปแล้ว” 

 

 

ระหว่างเล่าไปอวี้เหว่ยก็รู้สึกจนปัญญา 

 

 

เขาไม่เข้าใจจริงๆว่า แม่ทัพหลี่คิดอะไรอยู่ ไม่กล้าเป็นศัตรูกับเตี้ยนเซี่ย อย่างนั้นสังหารซือถูเฉียงก็จบเรื่องแล้วมิใช่หรือ ถึงเวลาเอาผิดก็ผลักไสเรื่องราวไปให้เตี้ยนเซี่ยเสียก็พอแล้ว 

 

 

แต่ว่า เขาหนีไปฟ้องฝ่าบาท พระองค์ปกป้องซือถูเฟิงแล้ว ก็ไม่อาจปกป้องแม่ทัพหลี่ได้อีก หากปกป้องคนทั้งสองก็จะทำให้เตี้ยนเซี่ยเกิดโทสะ ดังนั้นแม่ทัพหลี่จึงถูกทอดทิ้งแล้ว นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก 

 

 

จากนั้นแม่ทัพหลี่… 

 

 

อวี้เหว่ยเล่าอย่างจนปัญญาว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านยังไม่ได้จัดการเขาเลย เขาก็บีบคั้นตัวเองจนเป็นบ้าไปแล้ว อีกทั้งยังตะโกนเอ่ยวาจาอย่างไร้สติว่า เสินเซ่อเทียนกุมอำนาจ ท่านทำร้ายคนบริสุทธิ์ ราชสำนักเป่ยเฉินจบสิ้นแล้ว ข้าน้อยคิดว่าต่อให้ท่านไม่สังหารเขา ฝ่าบาทก็ทนเขาได้ไม่กี่วันเท่านั้น” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ในโลกนี้ล้วนมีตัวโง่งม ความกล้าหาญและความสามารถอ่อนด้อย กลับไม่เชื่อฟัง สำหรับพวกเขาสติปัญญากับการรู้จักสถานการณ์ไม่มีหรืออย่างไงกัน” 

 

 

อวี้เหว่ยถอนใจ นั่นน่ะสิ หากแม่ทัพหลี่เชื่อฟังคำพูดของเตี้ยนเซี่ย ไม่ตีสองหน้า ก็ไม่ต้องอยู่ในสภาพอนาถขนาดนี้ โง่เขลาและไม่รู้จักสถานการณ์เอาเสียเลย 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองฟ้า เอ่ยว่า “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องเจ้าคนโง่นี่อีก ฟ้ามืดแล้ว เจ้าไปหาแม่นางเยี่ยเม่ยบอกว่าอาการบาดเจ็บข้ากำเริบ ขอให้นางมาช่วยดูแล” 

 

 

อวี้เหว่ย “…ขอรับ” 

 

 

   …… 

 

 

เยี่ยเม่ยเดินมาถึงหน้าประตูห้องตัวเอง 

 

 

ก็เห็น จิ่วหุนอยู่จริงๆ ตอนนั้นเขาไม่ได้นั่งคุกเข่า กลับยืนพิงกำแพงนอกห้องอยู่ 

 

 

หนุ่มน้อยยังคงสวมอาภรณ์สีขาวปลอด ผ้าคาดสีแดงรัดเอว ผ้าผูกผมสีแดง ดูแล้วงดงามเกินบรรยาย 

 

 

เสี้ยวนาทีที่เยี่ยเม่ยมองเห็นจิ่วหุน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยเม่ย  

 

 

ซือหม่าหรุ่ยยังมีเรื่องที่เยี่ยเม่ยมอบหมายแล้วยังทำไม่เสร็จ จึงเอ่ยว่า “ข้าขอตัวก่อน” 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า ซือหม่าหรุ่ยสาวเท้ากว้างๆ เดินจากไป 

 

 

เยี่ยเม่ยเดินมาถึงหน้าจิ่วหุน มองเขา ถามเสียงเย็นชาว่า “ไปไหนมา” 

 

 

จิ่วหุนไม่ตอบ 

 

 

เยี่ยเม่ยถามต่อ “เพราะอะไรต้องโมโหด้วย” 

 

 

จิ่วหุนก้มหน้า เสียงอู้อี้ตอบว่า “อย่างไรเจ้าก็ไม่ปลอบข้า” 

 

 

เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก เอ่ยถามปัญหาที่สอดคล้องกับความจริงออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าหนีออกจากบ้าน ข้าจะไปปลอบเจ้าที่ไหนกัน” 

 

 

จิ่วหุนไม่ค่อยพอใจคำพูดนี้ของนาง เหมือนกับเขาไม่ได้ยินคำนั้น มีแต่เสียงอึดอัดได้รับความไม่เป็นธรรมเอ่ย “เจ้าไม่ปลอบก็ช่างเถอะ ข้าปลอบตัวเองก็ได้”