“ทำไม ไม่วางใจเหรอ?” หลังทุกคนขึ้นเครื่องไปหมดแล้ว ทิลลีจึงเดินเข้ามาหาโรแลนด์
“เจ้าดูออกเหรอ?”
“ไปแค่วันเดียวเอง แต่ท่านพูดซะเหมือนต้องจากกันไปนาน ดูไม่ออกก็แปลกแล้ว” เธอยักไหล่ “ท่านกำลังสงสัยในฝีมือของข้า หรือสงสัยในความสามารถของอันนา?”
เมื่อเจอกับคำถามแบบนี้ โรแลนด์พลันยิ้มแห้งๆ ขึ้นมาทันที
โครงสร้างของซีกัลป์นั้นไม่มีอะไรซับซ้อน นอกจากพวกคันบังคับกับหางเสือแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่นั่งที่เอาไว้บรรทุกคน ความซับซ้อนของมันก็ไม่ได้มากไปกว่าเครื่องร่อนตัวต้นแบบซักเท่าไร ด้วยฝีมือในการประกอบของอันนาแล้ว เป็นไปได้ยากที่จะเกิดปัญหา
หลังสร้างเสร็จเรียบร้อยมันก็ถูกทดสอบอีกหลายครั้ง แถมยังจำลองเหตุการณ์เครื่องตกด้วย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก ทิลลีนั้นมีความสามารถในการบังคับอันสุดยอด ส่วนเวนดี้เองก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก เธอมักจะทำให้เครื่องกลับมารักษาสมดุลได้ทุกเมื่อ
และเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางครั้งนี้ คนที่โดยสารไปด้วยยังมีซาวีกับมอลลีด้วย เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังรู้สึกกังวล
การเอาแม่มดระดับสุดยอดของเนเวอร์วินเทอร์จำนวนหนึ่งไปรวมอยู่ในเครื่องบินใหม่ล่าสุด แถมยังเดินทางไปยังใจกลางดินแดนรกร้างที่อยู่ห่างออกไป 500 กิโลเมตร แค่นี่ก็เพียงพอให้เขารู้สึกเป็นกังวลแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ยังมีงานอีกจำนวนมากรอเขาอยู่ เขาก็คงจะนั่งเครื่องไปพร้อมพวกเธอแล้ว
หลังถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาจึงมองทิลลีแล้วพูดว่า “ข้าว่ามันไม่ใช่การสงสัย แต่เป็นเพราะข้าเป็นห่วงมากเกินไปมากกว่า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะได้อยู่ในยุคสมัยใหม่อย่างปลอดภัยหลังสงครามแห่งโชคชะตาจบลง
ทั้งสองคนสบตากันอยู่เสี้ยววินาที ก่อนที่ทิลลีจะเบือนหน้าไปอีกทาง “ข้ารู้แล้ว ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น…ถ้าเป็นข้า ข้าก็คงนั่งไม่ติดเหมือนกัน”
เธอหมุนตัวเดินขึ้นเครื่องโดยไม่รอให้โรแลนด์ตอบ
“อย่างนั้นข้าไปล่ะ พี่ชาย”
…..
หลังประตูห้องโดยสารปิดลง องครักษ์คนหนึ่งก็เดินเข้ามา “ฝ่าบาท ด้านนอกเตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โรแลนด์สูดหายใจแล้วสั่งการไปว่า “เริ่มได้”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
สิ้นเสียงคำสั่ง ทุกอย่างก็เริ่มขึ้นตามขั้นตอน
“เปิดตัวล็อก!”
“รันเวย์เคลียร์!”
“ทุกคนออกห่างจากรันเวย์!”
“เปิดประตูโรงเก็บ!”
ในตอนที่ประตูโรงเก็บเครื่องบินค่อยๆ เปิดออก แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างก็สาดเข้ามาด้านในจนสะท้อนให้เห็นพื้นรันเวย์
คนส่งสัญญาณยกธงสีเขียวขึ้นมา
“ซีกัล ขึ้นบินได้!”
ในเวลาเดียวกัน เสียงหวูดก็ดังไปทั่วทั้งลานบิน
โรแลนด์รู้สึกได้ถึงลมที่พัดขึ้นมา
นั่นเป็นความรู้สึกที่น่ามหัศจรรย์ เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่เดิมไม่ควรจะมีลมพัด แต่เขากลับยังรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านแก้มของเขาไป
ความจริงการจะมองว่าซีกัลนั้นเป็นแค่เครื่องร่อนธรรมดาแล้วเอามันไปเปรียบเทียบกับเครื่องร่อนอื่นๆ ดูจะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร เพราะสิ่งที่เครื่อ‘ร่อนอื่นๆ ต้องครุ่นคิดอย่างหนักกว่าจะได้มา ซีกัลกลับมีมันมาตั้งแต่เริ่มเลย
กระแสอากาศที่ไม่เป็นไปตามกฎการไหลปรากฏขึ้นตรงด้านหลังของปีกข้าง สายลมเบาๆ ผลักปีกที่เงยขึ้นเหมือนมือที่มองไม่เห็น พลังแบบนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่โรแลนด์รู้ว่านั่นเป็นผลจากการควบคุมของเวนดี้ สายลมที่พัดกระจายออกมาทั้งอ่อนโยนและนุ่มนวล แต่เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ปีกกลับสัมผัสได้ถึงสายลมอันรุนแรงที่ทำให้คนยากจะเดินต่อไปข้างหน้าได้
พูดอีกอย่างก็คือภายในขอบเขตพลังของเวนดี้ ทั้งทิศทางและความเร็วจะเป็นไปอย่างที่เธอต้องการ
นี่หมายความว่าซีกัลไม่จำเป็นต้องใช้ปีกสองชั้นเพื่อรักษาการบิน แล้วก็สามารถทำการบินในลักษณะที่เครื่องร่อนอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ อย่างเช่นการออกตัวหรือร่อนลงแนวดิ่งได้เลย ที่ปกติเครื่องร่อนจำเป็นต้องทำความเร็วก่อนออกตัวนั้นก็เพื่อทำให้ได้รับแรงยกที่มากขึ้น ถ้าสามารถทำให้เครื่องบินได้รับแรงยกตั้งแต่แรกเลย เช่นนั้นความเร็วก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
การที่เครื่องบินสามารถบินขึ้นได้สบายๆ แบบนี้ ในสายตาของคนที่อยู่ในแวดวงการบินคงเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงอย่างมาก แต่ในสายตาของคนนอกกลับมองว่ามันขาดสีสันไปหน่อย
แล้วจะมีอะไรที่น่าตกตะลึงไปกว่าการที่ได้เห็นเครื่องบินหนักหลายตันลอยขึ้นไปอยู่บนหัว ก่อนจะค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปแล้วบินหายไปจากสายตาล่ะ?
เมื่อคิดถึงสีหน้าของทิลลีตอนที่เสนอความคิดนี้อย่างตื่นเต้น โรแลนด์จึงส่ายหน้ายิ้มๆ ออกมา
ดูเหมือนเธอจะมองว่าซีกัลนั้นเป็นของเล่นของเธอ แล้วก็อยากจะเอามันไปอวดให้คนอื่นดูจนทนไม่ไหวแล้ว
……
“อูวววววว……อูววววว……”
ในขณะเดียวกับที่เสียงหวูดดังขึ้นมา กู๊ดก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงปลายสุดของถนนหินสีดำ เหล่าทหารพากันกระจายตัวออก ประตูเหล็กของอาคารขนาดใหญ่เปิดออก จากนั้น ‘นกยักษ์’ สีเทารูปร่างแปลกๆ ตัวหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนที่ออกมา มันหมุนวนเป็นรอบเล็กๆ ก่อนจะวิ่งตรงมาทางที่พวกเขาอยู่
“เฮ้ย พวกเจ้าดูนั่น นั่นมันอะไร?” เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่สังเกตเห็นเจ้านกยักษ์ตัวนั้น
“รถไฟเหรอ? ไม่เหมือนแฮะ…บนพื้นก็ไม่ได้มีรางเหล็กด้วย”
“น่าจะเป็นเครื่องจักรที่ฝ่าบาททรงประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ล่ะมั้ง?”
“หรือว่าที่ท่านอีเกิลเฟสบอกก็คือเจ้านี่?”
“มันเหมือนจะตรงมาหาพวกเรานะ”
เดี๋ยวๆ เขาเหมือนจะเคยเห็นเจ้านี่จากที่ไหนมาก่อน! กู๊ดครุ่นคิด ทันใดนั้นภายในหัวเขาเหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้นมา ในหนังสือที่องค์หญิงทิลลีพระราชทานให้เขาพวกนั้นนั้นมีหน้าปกหนังสือเล่มหนึ่งที่มีรูปคล้ายๆ เจ้านี่ไม่ใช่เหรอ? เหมือนนกแต่ก็ไม่ใช่นก ปีกสองชั้นที่ยาวใหญ่ ที่แล้วก็คล้ายๆ กับมันอยู่เหมือนกัน
แต่เมื่อคิดอีกเล็กน้อย เขาก็รู้สึกว่าเจ้าสองสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน ไม่เพียงแต่จะมีจำนวนปีกที่ต่างกัน แต่บนหน้าปกหนังสือนั่น อย่างน้อยเขาก็ยังมองเห็นคนขับ แถมยังพอจะเข้าใจสาเหตุที่เจ้าสิ่งที่อยู่ในภาพสามารถลอยอยู่ในอากาศด้วย เพราะโครงสร้างที่ใหญ่กว่าตัวคนไม่เท่าไรพร้อมปีกขนาดยักษ์สองชั้นของมัน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็เหมือนกับว่าวที่ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่ฝ่าบาทและองค์หญิงให้ความสำคัญจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่ แต่เขาก็ยังพอจะนึกภาพมันบินอยู่บนฟ้าได้อยู่
แต่เจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้จัดอยู่ในจำพวกที่เขาไม่มีวันจะเข้าใจได้
ถ้าเอาทหารที่อยู่รอบๆ มาเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมีขนาดใหญ่กว่าตัวคนมาก นอกจากปีกแล้ว ลำตัวกลมๆ ของมันก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้อย่างแน่นหนา ตรงส่วนท้องที่ยืดยาวเหมือนจะสามารถใส่ของได้เยอะแยะ รูปร่างแบบนี้อย่าว่าแต่บินเลย แม้แต่จะคลานไปบนพื้นก็ยังยาก
แต่ทันใดนั้นเอง กู๊ดก็พบว่าความคิดของตัวเองมันน่าขันแค่ไหน
เจ้านกยักษ์เริ่มเร่งความเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วของมันยังเร็วกว่าม้าในตอนที่วิ่งเสียอีก แถมไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อยด้วย
เหล่าทหารที่ส่งเสียงพูดคุยกันในตอนแรกพากันเงียบโดยไม่รู้ตัว
เสียงคำรามของมันค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“พระเจ้า…” ฟินกิ้นกลืนน้ำลาย “มันกำลังจะชนพวกเราแล้ว”
นี่คือสิ่งที่เหล่ากองกำลังสำรองต่างรู้สึกเหมือนกัน
ตามหลักแล้ว ขอเพียงอยู่เฉยๆ ทั้งสองฝ่ายไม่มีทางที่จะชนกันจริงๆ ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ร่างกายของทุกคนก็ยังสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเผชิญหน้ากับอสูรยักษ์ที่สามารถเหยียบตัวเองจนบี้แบนได้โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
และเจ้าสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาก็คืออสูรยักษ์ที่ว่า
พวกเขาตัวเล็กกว่าล้อของมันด้วยซ้ำ
เมื่อมันเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เสียงหวีดร้องก็เกือบจะกลายเป็นเสียงคำราม บนพื้นมีความรู้สึกสั่นสะเทือนเบาๆ ว่ากันว่าเวลาอัศวินบุกโจมตี เพียงแค่เสียงเท้าม้าก็พอจะทำให้ศัตรูหวาดกลัวจนขวัญเสียได้แล้ว แต่เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดที่กำลังจะทับมาที่ตัวเองเหมือนกับภูเขานี้ กู๊ดพลันพบว่าอัศวินนั้นดูไม่มีความน่ากลัวอะไร
เขาพลันนึกถึงรอยยิ้มแปลกๆ บนหน้าอีเกิลเฟสขึ้นมา
ครูฝึก…เคยเห็นมันมาก่อนแล้วเหรอ?
ยังไม่ทันที่จะได้ครุ่นคิดอย่างละเอียด สายลมอันรุนแรงพลันพัดเข้ามา!
ในระยะเวลาสั้นๆ มันสามารถวิ่งไปบนถนนได้หลายร้อยเมตร ก่อนจะพุ่งผ่านกลุ่มคนที่ยืนอยู่สองข้างทางไป
ภายใต้กระแสลมที่ปะทะเข้ามา กู๊ดไม่สามารถควบคุมเท้าทั้งสองข้างของตัวเองได้ ขาของเขาอ่อนเปลี้ยจนคุกเข่าลงไปบนพื้น บางทีในสายตาคนอื่นอาจจะมองว่านี่เป็นการหลบตามสัญชาตญาณก่อนที่สายลมอันรุนแรงจะปะทะเข้ามา
เขาไม่ได้สนใจที่จะลุกขึ้นยืน หากแต่หันมองไปทางด้านหลัง
ทว่าภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับทำให้เขาต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง!
เขาเห็นเจ้าอสูรยักษ์เชิดหน้าขึ้น สองเท้าของมันลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสีน้ำเงิน แสงอาทิตย์สะท้อนไปบนปีกของมัน กลายเป็นประกายระยิบระยับอยู่บนฟ้า
นี่คือ…อัศวินอากาศอย่างนั้นเหรอ?
กู๊ดกำหมัดแน่นขึ้นมา
เขาอยากจะขับเจ้าสัตว์ประหลาดนี่…ต่อให้เขาต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างก็ตาม!
……………………………………………………………